หยุนเจิงกรอกตามองบนใส่นาง รับถุงหนังวัวจากมือเกาเหอมา แล้วหยิบหอกสั้นมา“นี่คือหอกหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ่งดูแคลนขึ้นไปใหญ่ “นี่เจ้าแยกไม่ออกแม้กระทั่งระหว่างหอกกับแท่งเหล็กหรือไง?”หยุนเจิงคร้านจะตอบนาง แล้วค่อยหยิบหอกท่อนที่เหลือออกมาหยุนเจิงทำการต่อหอกทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันภายใต้สายตาที่สงสัยของพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนในทันใดนั้น หอกเหล็กยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าพวกนางหอกทั้งเล่มนั้นเป็นเหล็กลายบุปผา ไม่เพียงส่องแสงประกายระยิบระยับ แต่ยังมีลายดอกไม้แสงประณีตอีกด้วยทันใดนั้นสองตาของเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ส่องแสงประกาย รีบแย่งหอกในมือไปทันที นางออกแรงดึงออก แต่ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกเสียที “นี่เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปยังหยุนเจิงด้วยความตกใจและความประหลาดใจ “แล้วจะแยกอย่างไร?” หยุนเจิงกลอกตามองบนใส่นาง เอาหอกมาแล้วบิดซ้ายขวา หอกด้ามยาวถูกแยกออกเป็นสองท่อนอีกคราเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังอยากจะลองลงมือทำด้วยตนเอง หยุนเจิงกลับยื่นหอกที่ถูกออกแบ่งเป็นสองท่อนให้เกาเหอ “ในเมื่อลั่วเยี่ยนไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าก็แล้วกัน” พอเสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาท
เมื่อกลับมาถึงจวน หยุนเจิงก็นั่งคิดไตร่ตรองอยู่ลานหลังจวนเขาครุ่นคิดจนเคลิบเคลิ้มไป กระทั่งเยี่ยจื่อทอดน่องเข้ามาใกล้แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเยี่ยจื่อนั่งลงตรงหน้าเขา เขาถึงจะรู้สึกตัวขึ้น“คิดวางแผนเล่นงานผู้ใดอยู่อีกหรือ?”เยี่ยจื่อกล่าวถามหยอกล้อ“ข้าไม่ได้คิดวางแผนเล่นงานใครเลยจริงๆ”หยุนเจิงส่ายหน้า “ข้ากำลังวางกลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งอยู่ แต่มีบางอย่างที่ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่”เยี่ยจื่อประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านก็มีวันที่ไม่แน่ใจเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”“ก็มีน่ะสิ”หยุนเจิงยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็เล่าถึงเรื่องสำคัญที่ตนเองกำลังครุ่นคิดอยู่เขากำลังไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่าจะถวายวิธีการสร้างเหล็กลายบุปผาให้กับจักรพรรดิเหวินดีหรือไม่!นี่เป็นเรื่องที่เขาไตร่ตรองมาโดยตลอดหลังจากที่ออกมาจากจวนสกุลเสิ่นเขาตระหนักรู้ได้ว่าลำพังเพียงช่างเหล็กไม่กี่คน คุณภาพที่ผลิตออกมาต่ำมากเกินไป!ถวายวิธีการสร้างเหล็กให้กับจักรพรรดิเหวิน อย่างน้อยก็น่าจะมีรางวัลบ้าง และสิ่งที่ตามมาก็คือความนิยมของอาวุธที่ทำมาจากวัสดุเช่นนี้ มันไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาในอนาคตเลยแต่หากไม่ถว
เจ้าสารเลวไร้ยางอายผู้นี้!นับวันยิ่งไม่มีความเกรงใจเอาเสียเลยนี่เขาไม่สนใจฐานะอันสูงศักดิ์ของตนเองบ้างเลยหรือไรเจ้าสารเลวใจกล้าบ้าบิ่น ใจกล้าไม่กลัวแม้แต่เทวดาฟ้าดิน!ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!เยี่ยจื่อสบถด่าอยู่ในใจไม่หยุด ทว่า สีหน้ากลับร้อนผ่าวยิ่งขึ้น...การประชุมเช้าวันต่อมาขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังจะประกาศเลิกประชุม ทันใดนั้นองครักษ์หน้าตำหนักรีบเข้ามารายงานว่าหยุนเจิงต้องการเข้าวังประสงค์จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่กลับถูกทหารวังขวางเอาไว้“ขวางเขาด้วยเหตุใด?”จักรพรรดิเหวินขมวดพระขนงเล็กน้อย กล่าวเสียงดุดันว่า “ใครบังอาจสั่งทหารวังให้ขวางเจ้าหก?”องครักษ์หน้าตำหนักรีบรายงานว่า “กราบทูลฝ่าบาท ทหารวังไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ลำบากพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าองค์ชายหกพกอาวุธมาด้วย ทหารวังไม่กล้าให้องค์ชายหกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทหารวังให้องค์ชายหกปลดอาวุธออก แต่องค์ชายหกยืนกรานไม่ยอมปลดออก บอกว่าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้พ่ะย่ะค่ะ...”พกอาวุธเข้าวังอย่างนั้นหรือนี่มันเป็นกฎข้อห้ามเด็ดขาด!เมื่อได้ยินองครักษ์หน้าตำหนักรายงานเช่นนี้ หยุนลี่ที่อาการบาดเจ็บเพิ่งจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แทบจะอ
จักรพรรดิเหวินตรวจสอบดาบที่หยุนเจิงถวายให้อย่างละเอียดเขาไม่สนใจมองลวดลายอันงดงามประณีตบนตัวดาบเลย มองเพียงแค่คมของดาบและตรวจสอบอย่างละเอียดแม้ดาบนี้จะบางไปสักหน่อย แต่เมื่อใช้ฟันแล้ว คมดาบกลับดูเหมือนว่าไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดเลย!จักรพรรดิเหวินถือดาบล้ำค่าไว้ในมือ ฟันตัดผ่านอากาศเบาๆ สองสามครั้ง รู้สึกว่าน้ำหนักกำลังพอดีเลย“ฝ่าบาท หยุดร่ายรำได้แล้ว ขอกระหม่อมดูหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวพรวดพราดไปข้างหน้า มองดาบอันล้ำค่าในพระหัตถ์จักรพรรดิเหวินอย่างคุ้นหูคุ้นตา ในฐานะที่เป็นแม่ทัพ เขาย่อมรู้ดีเป็นที่สุดว่าดาบใดได้เปรียบในการทำศึก“ได้! ย่อมได้!”จักรพรรดิเหวินเหลือบมองเซียวว่านโฉวด้วยรอยยิ้ม และตรัสด้วยสีหน้าดีใจว่า “อวี้กั๋วกง เจ้าอย่าดูคนเดียว ดาบล้ำค่าเช่นนี้ ต้องให้ขุนนางคนอื่นๆ ดูด้วย!”“พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวตอบรับหลังจากรับดาบล้ำค่ามาแล้ว ขุนนางฝ่ายบู้กลุ่มหนึ่งรีบรวมกลุ่มรุมตรวจสอบด้วยกันส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นก็อยากดูเช่นกัน ทว่า ช่วยไม่ได้ร่างกายของพวกเขาบอบบางนัก จึงไม่อาจแทรกตัวเข้าไปได้“ดาบชั้นยอดเลย!”“ความคมของดาบเช่นนี้ช่างหาได้ย
“ลูกเองก็หวังใช้โอกาสนี้ปรับตัวทำดีต่อน้องหก...”หยุนลี่กล่าวอย่างจริง แม้แต่หยุนเจิงที่ฟังอยู่ก็เกือบจะเชื่อแต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่าที่หยุนลี่ทำไปเพื่อต้องการทำให้จักรพรรดิเหวินรู้สึกดีต่อเขาเจ้าปัญญาอ่อนนี่ ในที่สุดก็รู้จักใช้สมองบ้างแล้ว!“อย่างนั้นหรือ?”จักรพรรดิเหวินหรี่ตาเล็กน้อย “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรตบรางวัลให้เจ้าหกเช่นไรล่ะ?”“เอ่อ...”หยุนลี่ชะงักงันไปเล็กน้อย ทำท่าทางไม่กล้าเอ่ยปากกล่าว“เจ้าพูดมาเถอะ!”จักรพรรดิเหวินเอ่ยปากตรัส และดูเหมือนว่าจะพึงพอใจการประพฤติตัวของอยู่ลี่ในวันนี้มากเมื่อจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้แล้ว หยุนลี่จึงกล่าวลองเชิงว่า “อีกไม่นานน้องหกก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว ลูกขอบังอาจทูลขอเสด็จพ่อคัดเลือกผู้แข็งแกร่งบางส่วนจากหกองครักษ์ของวังหลวงติดตามไปคุ้มกันน้องหก เพื่อความปลอดภัยของน้องหกพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากหยุนลี่กล่าวจบ แม้แต่หยุนเจิงเองก็ตกตะลึงขึ้นแล้วมีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือนี่เพื่อทำเพื่อเอาใจเสด็จพ่อ เจ้านี่ยอมทำทุกอย่างจริงๆ!นี่เขาไม่กลัวว่าตนเองจะทำให้หยุนเจิงยิ่งใหญ่ขึ้นหรือหรือว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้ส่งคนของเขาใ
สีหน้าจักรพรรดิเหวินเรียบนิ่ง แต่หยุนถิงสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิเหวิน“ความ ความ...ความดีพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนถิงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ลูก...ลูก ลูกใช้อคติคิดไปเองว่าน้องหกเป็นเช่นนั้น ได้โปรดเสด็จพ่อลงโทษลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าคร้านจะลงโทษเจ้าเต็มที!”จักรพรรดิเหวินมองหยุนถิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าก็เหมือนกับพี่สามของเจ้า ในวันอภิเษกของเจ้าหก มอบของขวัญไปชุดหนึ่ง หากกล้าบังอาจทำพอผ่านไปทีแล้วล่ะก็ ข้าไม่อภัยให้เจ้าง่ายๆ เป็นแน่!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนถิงรีบเอ่ยปากขอบคุณ และแอบโล่งใจไปเปราะหนึ่งยังดีที่แค่ส่งมอบของขวัญ ไม่ได้ลงโทษหนักแต่อย่างใดดูสภาพของหยุนถิงแล้ว หยุนลี่ก็แอบครุ่นคิดในใจไม่ได้วันนี้เจ้าหกทำให้เจ้าสี่ต้องอับอายขายหน้าต่าหน้าเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรงบางที อาจจะยุแยงให้เจ้าสี่ไปรับมือกับเจ้าหกได้ก็ได้!อืม ส่วนตนเองจะสวมบทเป็นคนดีเอง!ส่วนบทคนร้าย ก็ปล่อยให้เจ้าสี่รับไปก็แล้วกัน!“ลุกขึ้นได้แล้ว!”จักรพรรดิเหวินโบกมือ มู่ซุ่นจึงประกาศเลิกการประชุม“อวี้กั๋วกง เจ้าจะไปที่ใด?”ทันใดนั้นจักรพรรด
“อีกอย่าง เสด็จพ่อก็บอกแล้วว่าไม่มีทางแต่งตั้งเจ้ให้เป็นองค์รัชทายาทแน่นอน หลายวันที่ผ่านมานี้ข้าก็คิดนะ ว่าในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะตั้งตนขัดแย้งกับเจ้าด้วยเหตุใดอีกเล่า”“แค่ข้าคิดว่าเจ้าจะเดินทางไปซั่วเป่ย ต่อไปก็เกรงว่าเราสองพี่น้องจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ข้าก็เลยรู้สึกขอโทษเจ้าจริงๆ...”หยุนลี่ทำสีหน้าท่าทางกล้าวอย่างจริงใจ!หยุนเจิงที่ฟังอยู่แทบจะเชื่อจริงๆ แล้ว“พี่สามกล่าวออกมาเช่นนี้ ทำให้ข้าดีใจมากจริงๆ”หยุนเจิงคล้อยตามหยุนลี่ และแสร้งทำท่าทางซาบซึ้งใจ“ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็คือพี่น้องกันอยู่วันยังค่ำ!”หยุนลี่ตบไหล่หยุนเจิงเบาๆ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ต่อไปหากใครกล้ามารังแกเจ้า พี่สามจะออกหน้าแทนเจ้าเอง!”“จริงหรือ?” หยุนเจิงแสร้งเป็นซาบซึ้งจนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว“จริงแน่นอน!”ไหยุนลี่พยักหน้าอย่างมั่นใจ และจู่ๆ ก็กล่าวอย่างโศกเศร้าว่า “เจ้าจะไปซั่วเป่ยแล้ว หากพี่สามอย่างข้าไม่ทำดีต่อเจ้าให้มากๆ เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสทำดีกับเจ้าแล้ว!”“พี่สาม!”หยุนเจิงเรียกชื่อออกมาด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจ และคว้าตัวหยุนลี่มากอด “พี่สามคนดีของข้า เม
ในยามบ่าย หยุนเจิงฟังเซียวติ้งอู่สอนเรื่องการตั้งค่ายกลในการทำศึกอย่างตั้งใจ ตลอดไปจนถึงวิธีการตั้งรับมือหากศึกบุกทะลวงค่ายกลมาได้หลายวันที่ได้เรียนกับเซียวติ้งอู่ หยุนเจิงได้ความรู้ไปไม่น้อยเขาค่อยๆ ปรับตัวและความคิดขึ้น จากแรกเริ่มที่ทำตัวสบายๆ เขาก็จริงจังมากขึ้นเพียงแต่ว่า เขาความตั้งใจของแอบซ่อนอยู่ภายใน แต่ภายนอกทำตัวสบายๆหากคนอื่นเห็นท่าทางนี้ของเขาล่ะก็ เขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นแมทัพนำทัพไปออกรบเลยและในขณะที่เซียวติ้งอู่กำลังอธิบายจะน้ำลายกระเด็น จู่ๆ ก็เกิดเสียงอันโกลาหลขึ้นข้างนอก“ท่านผู้บัญชาการเซียว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว...”เซียวติ้งอู่ขมวดคิ้วขึ้นทันใดเมื่อทหารเข้ามา เซียวติ้งอู่ก็ตำหนิด้วยสีหน้าดำคล้ำ “ตื่นตระหนกโหวกเหวกโวยวายมีเรื่องอันใดกัน?”ทหารตื่นตระหนกมาก “ท่านผู้บัญชาการเซียว หรง หรง หรงกั๋วกงบุกเข้ามาแล้วขอรับ...”“เจ้าว่าใครมานะ?”สีหน้าของเซียวติ้งอู่พลันเปลี่ยนไปทันทีราวกับว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูก็มิปาน“หรง หรงกั๋วกงขอรับ!”ทหารกล่าวย้ำอีกครั้ง“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นเขา?”เซียวติ้งอู่กล่าวถามอย่างตื่นตระหนก“จะไม