“ลูกเองก็หวังใช้โอกาสนี้ปรับตัวทำดีต่อน้องหก...”หยุนลี่กล่าวอย่างจริง แม้แต่หยุนเจิงที่ฟังอยู่ก็เกือบจะเชื่อแต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่าที่หยุนลี่ทำไปเพื่อต้องการทำให้จักรพรรดิเหวินรู้สึกดีต่อเขาเจ้าปัญญาอ่อนนี่ ในที่สุดก็รู้จักใช้สมองบ้างแล้ว!“อย่างนั้นหรือ?”จักรพรรดิเหวินหรี่ตาเล็กน้อย “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรตบรางวัลให้เจ้าหกเช่นไรล่ะ?”“เอ่อ...”หยุนลี่ชะงักงันไปเล็กน้อย ทำท่าทางไม่กล้าเอ่ยปากกล่าว“เจ้าพูดมาเถอะ!”จักรพรรดิเหวินเอ่ยปากตรัส และดูเหมือนว่าจะพึงพอใจการประพฤติตัวของอยู่ลี่ในวันนี้มากเมื่อจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้แล้ว หยุนลี่จึงกล่าวลองเชิงว่า “อีกไม่นานน้องหกก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว ลูกขอบังอาจทูลขอเสด็จพ่อคัดเลือกผู้แข็งแกร่งบางส่วนจากหกองครักษ์ของวังหลวงติดตามไปคุ้มกันน้องหก เพื่อความปลอดภัยของน้องหกพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากหยุนลี่กล่าวจบ แม้แต่หยุนเจิงเองก็ตกตะลึงขึ้นแล้วมีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือนี่เพื่อทำเพื่อเอาใจเสด็จพ่อ เจ้านี่ยอมทำทุกอย่างจริงๆ!นี่เขาไม่กลัวว่าตนเองจะทำให้หยุนเจิงยิ่งใหญ่ขึ้นหรือหรือว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้ส่งคนของเขาใ
สีหน้าจักรพรรดิเหวินเรียบนิ่ง แต่หยุนถิงสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิเหวิน“ความ ความ...ความดีพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนถิงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ลูก...ลูก ลูกใช้อคติคิดไปเองว่าน้องหกเป็นเช่นนั้น ได้โปรดเสด็จพ่อลงโทษลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าคร้านจะลงโทษเจ้าเต็มที!”จักรพรรดิเหวินมองหยุนถิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าก็เหมือนกับพี่สามของเจ้า ในวันอภิเษกของเจ้าหก มอบของขวัญไปชุดหนึ่ง หากกล้าบังอาจทำพอผ่านไปทีแล้วล่ะก็ ข้าไม่อภัยให้เจ้าง่ายๆ เป็นแน่!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนถิงรีบเอ่ยปากขอบคุณ และแอบโล่งใจไปเปราะหนึ่งยังดีที่แค่ส่งมอบของขวัญ ไม่ได้ลงโทษหนักแต่อย่างใดดูสภาพของหยุนถิงแล้ว หยุนลี่ก็แอบครุ่นคิดในใจไม่ได้วันนี้เจ้าหกทำให้เจ้าสี่ต้องอับอายขายหน้าต่าหน้าเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรงบางที อาจจะยุแยงให้เจ้าสี่ไปรับมือกับเจ้าหกได้ก็ได้!อืม ส่วนตนเองจะสวมบทเป็นคนดีเอง!ส่วนบทคนร้าย ก็ปล่อยให้เจ้าสี่รับไปก็แล้วกัน!“ลุกขึ้นได้แล้ว!”จักรพรรดิเหวินโบกมือ มู่ซุ่นจึงประกาศเลิกการประชุม“อวี้กั๋วกง เจ้าจะไปที่ใด?”ทันใดนั้นจักรพรรด
“อีกอย่าง เสด็จพ่อก็บอกแล้วว่าไม่มีทางแต่งตั้งเจ้ให้เป็นองค์รัชทายาทแน่นอน หลายวันที่ผ่านมานี้ข้าก็คิดนะ ว่าในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะตั้งตนขัดแย้งกับเจ้าด้วยเหตุใดอีกเล่า”“แค่ข้าคิดว่าเจ้าจะเดินทางไปซั่วเป่ย ต่อไปก็เกรงว่าเราสองพี่น้องจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ข้าก็เลยรู้สึกขอโทษเจ้าจริงๆ...”หยุนลี่ทำสีหน้าท่าทางกล้าวอย่างจริงใจ!หยุนเจิงที่ฟังอยู่แทบจะเชื่อจริงๆ แล้ว“พี่สามกล่าวออกมาเช่นนี้ ทำให้ข้าดีใจมากจริงๆ”หยุนเจิงคล้อยตามหยุนลี่ และแสร้งทำท่าทางซาบซึ้งใจ“ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็คือพี่น้องกันอยู่วันยังค่ำ!”หยุนลี่ตบไหล่หยุนเจิงเบาๆ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ต่อไปหากใครกล้ามารังแกเจ้า พี่สามจะออกหน้าแทนเจ้าเอง!”“จริงหรือ?” หยุนเจิงแสร้งเป็นซาบซึ้งจนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว“จริงแน่นอน!”ไหยุนลี่พยักหน้าอย่างมั่นใจ และจู่ๆ ก็กล่าวอย่างโศกเศร้าว่า “เจ้าจะไปซั่วเป่ยแล้ว หากพี่สามอย่างข้าไม่ทำดีต่อเจ้าให้มากๆ เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสทำดีกับเจ้าแล้ว!”“พี่สาม!”หยุนเจิงเรียกชื่อออกมาด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจ และคว้าตัวหยุนลี่มากอด “พี่สามคนดีของข้า เม
ในยามบ่าย หยุนเจิงฟังเซียวติ้งอู่สอนเรื่องการตั้งค่ายกลในการทำศึกอย่างตั้งใจ ตลอดไปจนถึงวิธีการตั้งรับมือหากศึกบุกทะลวงค่ายกลมาได้หลายวันที่ได้เรียนกับเซียวติ้งอู่ หยุนเจิงได้ความรู้ไปไม่น้อยเขาค่อยๆ ปรับตัวและความคิดขึ้น จากแรกเริ่มที่ทำตัวสบายๆ เขาก็จริงจังมากขึ้นเพียงแต่ว่า เขาความตั้งใจของแอบซ่อนอยู่ภายใน แต่ภายนอกทำตัวสบายๆหากคนอื่นเห็นท่าทางนี้ของเขาล่ะก็ เขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นแมทัพนำทัพไปออกรบเลยและในขณะที่เซียวติ้งอู่กำลังอธิบายจะน้ำลายกระเด็น จู่ๆ ก็เกิดเสียงอันโกลาหลขึ้นข้างนอก“ท่านผู้บัญชาการเซียว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว...”เซียวติ้งอู่ขมวดคิ้วขึ้นทันใดเมื่อทหารเข้ามา เซียวติ้งอู่ก็ตำหนิด้วยสีหน้าดำคล้ำ “ตื่นตระหนกโหวกเหวกโวยวายมีเรื่องอันใดกัน?”ทหารตื่นตระหนกมาก “ท่านผู้บัญชาการเซียว หรง หรง หรงกั๋วกงบุกเข้ามาแล้วขอรับ...”“เจ้าว่าใครมานะ?”สีหน้าของเซียวติ้งอู่พลันเปลี่ยนไปทันทีราวกับว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูก็มิปาน“หรง หรงกั๋วกงขอรับ!”ทหารกล่าวย้ำอีกครั้ง“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นเขา?”เซียวติ้งอู่กล่าวถามอย่างตื่นตระหนก“จะไม
“ไม่เลว เจ้าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนแล้ว”ฉินลิ่วก่านมองเซียวติ้งอู่ด้วยความพึงพอใจ“ขอบคุณท่านอาที่ชื่นชมขอรับ”เซียวติ้งอู่ยิ้ม และกล่าวถามอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านอามาถึงที่นี่กะทันหันเช่นนี้ ไม่ทราบมีเรื่อวอันใดขอรับ?”“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”ฉินลิ่วก่านเม้มปากเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ไป ไปตามองค์ชายหกมา”องค์ชายหกอย่างนั้นหรือ?สีหน้าของเซียวติ้งอู่พลันเปลี่ยนไปมาก และหันไปมองหยุนเจิงอันธพาลเฒ่านี่เรียกหาองค์ชายหกด้วยเหตุอันใดกันหรือว่าองค์ชายหกไปทำสิ่งใดให้เขาขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือเมื่อเห็นเซียวติ้งอู่นิ่งไปเช่นนี้ ฉินลิ่วก่านจึงถลึงตาจ้องมอง ส่งเสียงตะคอกว่า “ยังยื่นนิ่งอยู่ทำไม หูเจ้าหนวกไปแล้วหรือไง?”หยุนเจิงเห็นเช่นนี้ก็รีบเดินมาด้านหน้าและกล่าวว่า “ข้าคือองค์ชายหกหยุนเจิง ไม่ทราบว่าหรงกั๋วกงเรียกหาข้ามีเรื่องอันใด?”“เจ้านะหรือองค์ชายหก?”ฉินลิ่วก่านหันหน้าไปมองหยุนเจิงอย่างพิจารณา ก่อนจะตบไหล่เซียวติ้งอู่ เผยให้เห็นฟันขาวอันแข็งแกร่งของเขา “เจ้าหาคนมาหลอกข้าให้ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?”เซียวติ้งอู่รีบส่ายหน้า “หลานไม่กล้าขอรับ ผู้นี้คือองค์ชายหกจริงๆ ขอรับ”“หากเจ
หลังจากการควบม้าพุ่งไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ฉินลิ่วก่านก็พาหยุนเจิงมาถึงหน่วยตีเหล็กแล้ว อันธพาลเฒ่าผู้นี้ยังคงควบม้าบุกเข้าไป องครักษ์หน่วยตีเหล็กเหล่านั้นก็ไม่กล้าขวางเขาเมื่อมาถึงหน่วยตีเหล็ก หยุนเจิงก็เจอกับคนคุ้นเคยจักรพรรดิเหวินช่างรวดเร็วทันใจจริงๆช่างเหล็กที่อยู่ที่ร้านตีเหล็กเหล่านั้น ตอนนี้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในหน่วยตีเหล็กของกรมโยธาแล้วหลังจากสอบถามเล็กน้อย หยุนเจิงก็เข้าใจถึงสถานการณ์ชัดเจนแล้ว ที่แท้อันธพาลเฒ่าฉินลิ่วก่านผู้นี้ไม่รู้ไปรู้ข่าวเรื่องเหล็กลวดลายบุปผานี้มาจากที่ใด จึงได้พรวดพราดบุกเข้ามาในหน่วยตีเหล็ก และต้องการให้พวกเขาตีดาบกวนอูให้เขาเล่มหนึ่งในขณะที่ช่างเหล็กเหล่านี้กำลังสอนให้คนในหน่วยตีเหล็กลวดลายบุปผา พวกเขาพลั้งปากพูดมากไปหน่อย พูดถึงเรื่องเหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกที่หยุนเจิงเคยกล่าวถึงให้กับช่างเหล็กในหน่วยฟังสุดท้ายเรื่องนี้ดันไปเข้าหูของฉินลิ่วก่านเข้าฉินลิ่วก่านต้องการให้ช่างเหล็กเหล่านี้สร้างอาวุธเหล็กลวดลายบุปผาชนิดให้เขาแต่ตอนนั้นหยุนเจิงเอ่ยถึงเหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกให้พวกเขาฟังเพียงคร่าวๆ เท่านั้น พวกเขาไม่สามารถสร้างออกมาไ
จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์อย่างเหลืออด ดวงตาจ้องมองไปที่ฉินลิ่วก่าน ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเฒ่า เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”เส้นเลือดผุดพรายขึ้นบนหน้าผากจักรพรรดิเหวินด้วยความโกรธ โกรธจนตัวสั่น จ้องมองไปที่ฉินลิ่วก่านอย่างดุร้ายดูจากท่าทางวางมาดเช่นนี้ ราวกับว่าจะลงดาบต่อสู้กับฉินลิ่วก่านแล้ว“ฝ่าบาท รู้อยู่แล้วยังแกล้งถามอีกหรือ?”ฉินลิ่วก่านทำสีหน้าท่าทางเล่นหน้าเล่นตายิ้มขี้เล่น “ฝ่าบาท ทอดพระเนตรดูสิ ดาบอันล้ำค่าเล่มแรกแห่งต้าเฉียนเรา องค์ชายหกประทานให้พระองค์แล้ว ในฐานะที่กระหม่อมเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญคนแรกแห่งต้าเฉียน ควรได้รับดาบล้ำค่าเล่มที่สองถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“เจ้าเนี่ยนะขุนพลผู้ห้าวหาญคนแรก?”จักรพรรดิเหวินทั้งโกรธ อีกทั้งยังรู้สึกตลกขบขัน ดุด่าด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่วยรักษายางอายตัวเองเอาไว้สักหน่อยได้หรือไม่?”“ขุนพลผู้ห้าวหาญคนแรกใยถึงไม่ใช่ข้ากันเล่า?” ฉินลิ่วก่านทำท่าทางขมึงทึงพลางกล่าว “พระองค์ก็ลองไปถามเหล่าขุนนางบู้บุ๋นดูสิ ว่ามีใครกล้าสู้กับข้าหรือไม่”ในขณะที่กล่าวนั้น อันธพาลเฒ่าผู้นี้หันไปมองรอบๆ หน่วยตีเหล็กราวกับว่ากำลังบอก หากใครกล้าบอกว่าเขาไ
อันที่จริงแล้วเหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกนั้นทำยากมากจนกระทั่งวันที่สามช่วงตะวันขึ้นอยู่เหนือศีรษะ ช่างเหล็กหลายพันคนทำล้มเหลวไปจนนับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะทำดาบล้ำค่าที่อันธพาลเฒ่าผู้นี้ต้องการออกมาได้อีกอย่าง เหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกนี้ สำหรับหยุนเจิงแล้วยังนับว่าไม่ได้มาตรฐานสักเท่าไหร่อย่างไรก็ตาม หยุนเจิงก็ไม่กล้าคุยโวโอ้อวดอีกต่อไปแล้วขืนคุยโวโอ้อวดต่อไป ตาเฒ่าผู้นี้ต้องให้เขาทำดาบล้ำค่าให้อีกเล่มเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้น เอาชีวิตข้าไปเสียดีกว่าดาบทั้งเล่มถูกสร้างมาจากเหล็กลวดลายบุปผา อีกทั้งยังตีออกมาเป็นชิ้นเดียวอีกด้วยหยุนเจิงรู้สึกว่า ของสิ่งนี้แสดงถึงการตีเหล็กขั้นสูงสุดแห่งราชวงศ์ต้าเฉียนแล้ว โชคดีที่มาสร้างที่หน่วยตีเหล็กของกรมโยธา หากสร้างที่ร้านตีเหล็กของเขาแล้วล่ะก็ คาดว่าเวลาสองเดือนก็สร้างออกมาไม่ได้เมื่อสร้างดาบล้ำค่าออกมาได้สำเร็จ ฉินลิ่วก่านก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความดีใจ“วะฮ่าๆๆ ดาบล้ำค่า คู่ควรกับวีรบุรุษ!”ฉินลิ่วก่านเงยหน้ามองฟ้าหัวเราะเสียงกัง “เจ้าหนู ดูดีๆ ล่ะ ข้าจะสอนวิชาดาบสามสิบหกท่าสะท้านวายุให้เจ้า เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่รักษาคำ
“ลูก…ลูกสาวเพคะ”หมอตำแยที่ตกใจกับท่าทางของหยุนเจิงก่อนหน้านี้ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ลูกสาวดี! ลูกสาวดี!”หยุนเจิงพึมพำกับตัวเอง ก่อนก้มลงมองเด็กน้อยที่ยังคงร้องไห้เสียงดังไม่เหมือนหยุนชางเลย เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เกิดมาโดยแทบไม่มีริ้วรอยบนผิวเลย เพียงแค่ตัวแดงระเรื่อเท่านั้น“เจ้าตัวน้อย เจ้านี่เกือบทำให้แม่ของเจ้าสิ้นชีวิตเลยนะ…”เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หัวใจของหยุนเจิงยังคงสั่นไหวเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากเขาสูญเสียเยี่ยจื่อไป เขาจะต้องเจ็บปวดเพียงใดโชคดีที่มันเป็นเพียงความหวาดกลัวลวงตา!“อุแว๊ๆ…”เด็กน้อยยังคงร้องไห้ และดูเหมือนเสียงของนางจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆหยุนเจิงลูบแผ่วเบาบนผ้าห่อตัวของนาง ก่อนหันไปมองหมอตำแยทั้งสามที่ยังยืนไม่มั่นใจ “ให้รางวัล! ให้รางวัลทุกคน! คนละห้าร้อยตำลึง!”ห้าร้อยตำลึง!?หมอตำแยทั้งสามแทบไม่เชื่อหูตัวเองท่านอ๋องผู้นี้ ช่างใจกว้างนัก!แค่เอ่ยปาก ก็แจกเงินรางวัลมากมายถึงเพียงนี้!“เอาล่ะ พวกเจ้าทำความสะอาดให้เรียบร้อยเถิด”หยุนเจิงเรียกสติหมอตำแย “เสร็จแล้วก็ไปรับรางวัลได้เลย”หยุนเจิงกล่าวจบ ก็กอดลูกสาวไปนั่งลงที่
“อ๊าก…”เสียงกรีดร้องของเยี่ยจื่อสะท้อนก้องอยู่ในหูของหยุนเจิง ราวกับสามารถฉีกหัวใจของเขาออกเป็นเสี่ยงๆ“พอแล้ว! อย่าคลอดแล้ว! ข้าไม่ต้องการลูกแล้ว! ข้าต้องการแค่เจ้า!”หยุนเจิงน้ำตาคลอเบ้า ส่ายศีรษะไปมาอย่างร้อนรน ก่อนจะหันไปตะโกนลั่นใส่หมอตำแยข้างๆ “ช่วยนางไว้! อย่าไปสนใจเด็ก!”เขากลัว!เขากลัวจริงๆ!แม้ว่าเขาจะไม่ใช่หมอ แต่เขาก็รู้ดีว่า หากพลาดแม้แต่นิดเดียว นางอาจตกเลือดหนักได้แม้แต่ในยุคปัจจุบัน การตกเลือดมากก็ยังยากที่จะรักษา แล้วนี่เป็นยุคโบราณ“ออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว!”ขณะนั้นเอง หมอตำแยก็ร้องขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น“อุแว๊…”เสียงร้องแหลมใสของทารกดังขึ้นภายในห้องคลอด แต่ในขณะเดียวกัน เสียงของเยี่ยจื่อกลับเงียบลงอย่างกะทันหัน!หมอตำแยคนหนึ่งรีบเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนตัวทารก ขณะที่อีกคนเตรียมห่อทารกในผ้าห่ม และหันไปแสดงความยินดีกับหยุนเจิง “ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง เด็กน้อยเป็น…”“ช่างลูกก่อน! ดูจื่อเอ๋อร์ก่อนว่านางเป็นอย่างไรบ้าง!”หยุนเจิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะและความหวาดหวั่น มือของเขาที่กุมมือเยี่ยจื่อไว้สั่นเทาอย่างรุนแรงตอน
เสียงร้องของเยี่ยจื่อ ทำให้หัวใจของหยุนเจิงบีบรัดตามไปด้วย“จื่อเอ๋อร์! ข้ากลับมาแล้ว!”หยุนเจิงไม่สนใจพูดคุยกับเสิ่นลั่วเยี่ยนและคนอื่นๆ เขารีบพุ่งไปที่ประตู แล้วตะโกนเข้าไปข้างใน“สามี!”เสียงร้องเจ็บปวดของเยี่ยจื่อดังขึ้นอีกครั้งแม้หยุนเจิงจะมองไม่เห็นสถานการณ์ภายในห้อง แต่เขาก็นึกภาพออกว่าเยี่ยจื่อต้องเจ็บปวดเพียงใดหากเป็นไปได้ เขาอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดของนาง“จื่อเอ๋อร์ อย่ากลัว! สามีอยู่ที่นี่กับเจ้า!”หยุนเจิงกล่าวปลอบ แล้วรีบหันไปถามเสิ่นลั่วเยี่ยน “จื่อเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนที่ดวงตาแดงก่ำ แอบมองไปทางประตูห้อง ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา “หมอตำแยบอกว่า ตำแหน่งของทารกไม่ค่อยปกติ อาจคลอดได้ยาก เมี่ยวอินก็กำลังช่วยอยู่ เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนร้อนใจอยู่ข้างนอก……”ตำแหน่งทารกผิดปกติ!เมื่อได้ยินคำนี้ หัวใจของหยุนเจิงพลันเต้นรัวขึ้นมาทันที เขาหันขวับไปมองฮูหยินเสิ่นและเว่ยซวงที่ยืนอยู่ใกล้ๆพบว่าทั้งสองต่างมีดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่ากระวนกระวายใจไม่น้อยหยุนเจิงเข้าใจทันทีว่า เสิ่นลั่วเยี่ยนคงไม่อยากให้เขากังวลเกินไป จึงบอกเพียงว่าคลอ
ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่หยุนเจิงอยู่ที่จิงหยางฝู่ เขาได้รับข่าวสารฮั่วเหวินจิ้งตายแล้ว!ไม่ได้ถูกฆ่าปิดปาก แต่ตายเพราะป่วย!หยุนเจิงคาดว่า ฮั่วเหวินจิ้งคงเสียชีวิตเพราะบาดแผลติดเชื้อเมื่อได้รับข่าวนี้ หยุนเจิงแทบอยากจะด่าหยุนลี่ว่าโง่เง่าเป็นหมูเสียจริงทำไมเขาถึงไม่ใช้วิธีทรมานก่อน แล้วค่อยให้หมอรักษาไว้ล่ะ?อีกแค่ก้าวเดียว เขากำลังจะสาวไปถึงตัวการเบื้องหลังได้อยู่แล้วแท้ๆ แต่ฮั่วเหวินจิ้งกลับมาตายเสียก่อนมันเหมือนกับฟ้ากำลังเล่นตลกกับเขา!สิ่งเดียวที่พอทำให้โล่งใจได้บ้างคือ อีกาดำและอีกาขาวต่างได้รับความเสียหายหนัก คนของเขาที่แทรกซึมอยู่ในอีกาดำ น่าจะสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งได้หากสามารถทำให้คนของเขากลายเป็นหัวหน้าของอีกาดำได้ ก็คงดี!แต่ไม่รู้ว่าเงาสอง ที่ร่วมเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อฆ่าปิดปาก ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ขอให้รอดปลอดภัยเถอะ!หยุนเจิงถอนหายใจเงียบๆ ก่อนลุกขึ้นยืนในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งตายไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องรอสอบสวนอะไรอีกเรื่องที่เหลือ ก็ปล่อยให้ทัวฮวนจัดการไปก็แล้วกัน!“ส่งคำสั่งถึงอวี่ซื่อจง ให้เหลือทหารห้าพันนายประจำการอยู่ที่นี่ ภายใต้การบัญชาของรองแม่ท
“ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่รีบรับคำสั่ง“จำไว้! ฮั่วเหวินจิ้งถูกนักฆ่าสังหาร ไม่ใช่ตายเพราะป่วย!”จักรพรรดิเหวินกล่าวเตือนหยุนลี่ด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนเสด็จออกจากจวนองค์รัชทายาทแม้จะนั่งอยู่ในเกี้ยวแล้ว แต่เพลิงโทสะของจักรพรรดิเหวินยังคงลุกโชนไม่มอดอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวในพระทัย ก็ยังมีความรู้สึกซับซ้อนบางอย่างซ่อนอยู่เขารู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งไม่ใช่คนของหยุนเจิงหากสามารถเค้นเอาความจริงจากฮั่วเหวินจิ้งได้ จนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง บางทีพระองค์เองอาจไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไรหากเป็นพระโอรสองค์ใดองค์หนึ่ง หรือแม้แต่นางสนมคนใดคนหนึ่งของพระองค์ พระองค์จะต้องลงพระอาญาสังหารพวกเขาด้วยพระองค์เองอย่างนั้นหรือ?หากเรื่องนี้ทำให้คนที่รอดพ้นจากเคราะห์ครั้งนี้ได้สำนึกและเลิกล้มความคิดที่จะก่อความวุ่นวาย นั่นก็คงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตัวการเบื้องหลังของฮั่วเหวินจิ้ง จักรพรรดิเหวินเองก็พอมีข้อสันนิษฐานอยู่ในพระทัยแต่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน พระองค์ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดยิ่งไปกว่านั้น คนที่พระองค์สงสัยมีอยู่หลายคน ทำให้ไม่อาจฟันธงได้ว่าเป็นผู้ใดกันแน่ดูเหมือ
ภายในพระราชวัง จักรพรรดิเหวินและหยุนลี่กำลังตรวจสอบข่าวเร่งด่วนจากเมืองฝูโจวอย่างไรก็ตาม ทั้งสองเพียงกวาดตามองก็ขว้างเอกสารฉบับนั้นทิ้งด้วยความโกรธอย่าว่าแต่หยุนลี่เลย แม้แต่จักรพรรดิเหวินก็อดด่าหยุนเจิงในใจไม่ได้ลูกอกตัญญูผู้นี้ ชักจะเหลวไหลขึ้นทุกวันเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็กล้าใช้ชื่อข่าวเร่งด่วนทางทหารส่งมาถึงเมืองหลวงนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว!ข่าวเร่งด่วนทางทหารถูกเขาใช้เป็นของเล่นไปแล้ว!คราวหน้า ถ้าเจอตัวเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ข้าจะเตะมันให้กระอักสองทีแน่!“กราบทูลฝ่าบาท องค์รัชทายาทฝ่าบาท กองกำลังของกระหม่อมถูกลอบโจมตีโดยนักฆ่าที่ถนนเป่ยเจีย……”ขณะที่จักรพรรดิเหวินและหยุนลี่กำลังเดือดดาลกับหยุนเจิง เฉียวเหยียนเซียนก็ส่งคนมาแจ้งข่าวนักฆ่าหลายสิบคนที่ร่วมมือกันสังหารฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัว ถูกสังหารหรือถูกจับกุมเป็นส่วนใหญ่มีเพียงไม่กี่คนที่ฉวยโอกาสความชุลมุนหลบหนีไปได้ครั้งนี้ การวางแผนของพวกเขารัดกุมยิ่งนักหากไม่ใช่เพราะพลส่งสารข่าวเร่งด่วนโผล่มาขัดจังหวะ คงไม่มีทางที่นักฆ่าจะรอดไปได้เลยนอกจากนี้ พวกเขายังพบหน้าไม้ทรงอานุภาพจำนวนมากในที่เกิดเหตุเมื่อรายงานมาถ
ขณะที่เฉียวเหยียนเซียนนำกำลังคุมตัวนักโทษผ่านถนนเป่ยเจีย หน้าต่างบนหอคอยของอาคารสองหลังที่อยู่สองฟากถนนค่อยๆ เปิดออกเล็กน้อยหน้าไม้จำนวนมากถูกเล็งออกมาจากช่องหน้าต่างโดยไร้เสียง เพียงแค่รอให้กรงนักโทษเข้าสู่ระยะยิง พวกเขาก็จะลงมือทันทีขบวนคุ้มกันเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ เงาสองก็เตรียมพร้อมเช่นกันเขาไม่รู้ว่าฮั่วเหวินจิ้งมีความสำคัญต่อหยุนเจิงเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากอีกาดำมากขึ้น เขาจำเป็นต้องร่วมมือสังหารเหล่านักโทษเหล่านี้แต่เขาก็รู้ดีว่า หากลงมือแล้ว การจะหลบหนีออกจากเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เขาต้องรอด!ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่ต้องการตาย อีกส่วนหนึ่งก็เพราะ หากเขารอด เขาจะมีโอกาสพบกับผู้ที่คอยสนับสนุนการหลบหนีของพวกเขาและบุคคลนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง!เงาสองครุ่นคิดเงียบๆ พร้อมเหลือบมองหน้าไม้ในมือพวกเขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าเพื่อแฝงตัวเข้าเมืองหลวง ย่อมไม่สามารถพกพาอาวุธเหล่านี้มาเองได้หน้าไม้เหล่านี้ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า ถูกซุกซ่อนไว้ที่เนินเขาเหมียวเอ่อร์ซานสิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธของกองทัพ!แม้ทางราชสำนักจะควบคุมอาวุธประเภทนี
“ฝ่าบาท เงาสามแจ้งข่าวด่วน!”จิงหยางฟู่ เสิ่นควานถือจดหมายฉบับหนึ่ง รีบรุดเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบเงาสาม?นี่เป็นหนึ่งในคนที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในอีกาดำได้สำเร็จเงาสามส่งข่าวด่วนมา ดูท่าแล้ว อีกาดำคงจะลงมือแล้วแน่หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกาดำน่าจะต้องการสังหารฮั่วเหวินจิ้งเพื่อกำจัดภัยร้ายอย่างสิ้นซาก!หยุนเจิงครุ่นคิดไปพลาง รับจดหมายจากเสิ่นควานและเปิดออกดูเมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย หยุนเจิงก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวข่าวที่เงาสามส่งมา ตรงกับที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดหัวหน้าอีกาดำและอีกาขาวนำทัพมาด้วยตนเอง ต้องการฆ่าฮั่วเหวินจิ้งให้ได้!แม้แต่เงาสองก็ถูกเลือกให้เข้าร่วมภารกิจลอบสังหารครั้งนี้ตอนนี้ พวกเขาได้รับเพียงคำสั่งให้เตรียมพร้อม แต่ยังไม่รู้เวลาและสถานที่ลงมือที่แน่ชัดหัวหน้าอีกาดำและอีกาขาวตั้งใจปกปิดข้อมูล ไม่ให้ผู้ใดซักถาม ใครที่ร่วมภารกิจก็แค่ทำตามคำสั่งในขณะลงมือเท่านั้นพวกเขากลัวว่าจะถูกสงสัย จึงไม่กล้าไต่ถามอะไรมากข่าวที่เงาสามส่งกลับมา สำหรับหยุนเจิงแล้ว ไม่ใช่ข่าวดีเลยเขายอมจ่ายเงินกว่าล้านตำลึงเพื่อให้ครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งปลอดภัยและมาถึงมือเขาแต่ตอนนี
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่