เรื่องของเมื่อวาน นางเองก็โดนหางเลขไปด้วยนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิเหวินเย็นชาต่อนางขึ้นไม่น้อยหากเป็นเช่นนี้อีกต่อไป เกรงว่านางจะสูญเสียความโปรดปรานเสียแล้ว!“เฮ้อ!”สวีสือฝู่ถอนหายใจด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง “สถานการณ์ของลี่เออร์ตอนนี้ไม่ดีเอาเป็นอย่างมาก ต้องให้ลี่เออร์สร้างผลงานมาสร้างความพึงพอพระทัยแด่ฝ่าบาท...”“ประเด็นคือจะทำเรื่องอย่างไรเล่า!”หยุนลี่กัดฟันแล้วแค่นเสียงต่ำ “แล้วท่านคิดว่าตอนนี้ต้องทำอะไรถึงจะทำให้เสด็จพ่อพอพระทัยเล่า?”ไร้สาระ!คิดว่าเขาไม่อยากทำให้เสด็จพ่อพอพระทัยหรืออย่างไร?แต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจถึงอารมณ์ของจักรพรรดิเหวินเลยสักนิด ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรตอนนี้เขาโดนจักรพรรดิเหวินตีจนกลัวแล้วเกรงว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้จักรพรรดิเหวินพอพระทัย แต่จะโดนด่าโดนโบยแทนหากเป็นเช่นนี้ไปอีกสองสามครั้ง เขาคงถูกตีถูกโบยจนพิการไปแล้ว!สวีสือฝู่ครุ่นคิดเพียงครู่ รีบตอบว่า “ก่อนอื่น เจ้าไม่สามารถหาเรื่องหยุนเจิงได้อีก ไม่เพียงแต่จะหาเรื่องเขาไม่ได้เท่านั้น ยังต้องทำดีต่อเขาด้วย!”“อะไรนะ?”หยุนลี่พอได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่อยากทำแล้ว เขากัดฟันกรอดแล้วพูดว่
เมื่อหยุนเจิงมาถึงที่ร้านตีเหล็ก ที่นี่กำลังยุ่งจนเปลวไฟแทบลุกหลังจากที่ช่างตีเหล็กสองสามคนทำการคาราวะหยุนเจิงแล้วก็นำหอกยาวที่เพิ่งหลอมเสร็จยื่นไปข้างหน้าราวกับว่ากำลังถวายสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นหอกยาวนี้มีสองส่วนบริเวณตรงกลางมีรูยามไม่ใช้งาน สามารถแบ่งหอกยาวนี้เป็นสองส่วน เก็บใส่เข้าไปในกระเป๋าหนังวัวได้ สะดวกต่อการพกพายามใช้งานก็สามารถนำมาประกอบกันเป็นหอกยาวหยุนเจิงมองหอกยาวที่อยู่ตรงหน้า ก็ดีใจเป็นอย่างมาก“ตบรางวัล! คนละยี่สิบตำลึงเงิน!”แม้ว่าหยุนเจิงจะไม่ค่อยสบอารมณ์ เขาก็ยังใจกว้างขวางกว่าปกติด้วยเขาคิดว่าพวกช่างตีเหล็กพวกนี้จะไม่สามารถทำรูเชื่อมตรงกลางออกมาได้เสียอีก!คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถเจาะรูตรงกลางจากแรงงานคนออกมาได้จริงๆเขาพบว่า ตนดูถูกสติปัญญาของพวกช่างตีเหล็กพวกนี้เกินไปเสียแล้ว“ขอบพระทัยองค์ชายหก!”พวกเขาสองสามคนรีบกล่าวขอบคุณอย่างตื้นตัน“นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าควรได้!”หยุนเจิงมองไปยังคนเหล่านี้อย่างพึงพอใจในใจเขาเข้าใจดีว่า มันยากเย็นเพียงใดในหลายวันมานี้กว่าจะหล่อหอกมาได้คาดว่า สองสามคนนี้คงไม่ได้หลับตานอนเลยในหลายวันมานี้หยุนเ
หยุนเจิงกรอกตามองบนใส่นาง รับถุงหนังวัวจากมือเกาเหอมา แล้วหยิบหอกสั้นมา“นี่คือหอกหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ่งดูแคลนขึ้นไปใหญ่ “นี่เจ้าแยกไม่ออกแม้กระทั่งระหว่างหอกกับแท่งเหล็กหรือไง?”หยุนเจิงคร้านจะตอบนาง แล้วค่อยหยิบหอกท่อนที่เหลือออกมาหยุนเจิงทำการต่อหอกทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันภายใต้สายตาที่สงสัยของพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนในทันใดนั้น หอกเหล็กยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าพวกนางหอกทั้งเล่มนั้นเป็นเหล็กลายบุปผา ไม่เพียงส่องแสงประกายระยิบระยับ แต่ยังมีลายดอกไม้แสงประณีตอีกด้วยทันใดนั้นสองตาของเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ส่องแสงประกาย รีบแย่งหอกในมือไปทันที นางออกแรงดึงออก แต่ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกเสียที “นี่เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปยังหยุนเจิงด้วยความตกใจและความประหลาดใจ “แล้วจะแยกอย่างไร?” หยุนเจิงกลอกตามองบนใส่นาง เอาหอกมาแล้วบิดซ้ายขวา หอกด้ามยาวถูกแยกออกเป็นสองท่อนอีกคราเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังอยากจะลองลงมือทำด้วยตนเอง หยุนเจิงกลับยื่นหอกที่ถูกออกแบ่งเป็นสองท่อนให้เกาเหอ “ในเมื่อลั่วเยี่ยนไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าก็แล้วกัน” พอเสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาท
เมื่อกลับมาถึงจวน หยุนเจิงก็นั่งคิดไตร่ตรองอยู่ลานหลังจวนเขาครุ่นคิดจนเคลิบเคลิ้มไป กระทั่งเยี่ยจื่อทอดน่องเข้ามาใกล้แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเยี่ยจื่อนั่งลงตรงหน้าเขา เขาถึงจะรู้สึกตัวขึ้น“คิดวางแผนเล่นงานผู้ใดอยู่อีกหรือ?”เยี่ยจื่อกล่าวถามหยอกล้อ“ข้าไม่ได้คิดวางแผนเล่นงานใครเลยจริงๆ”หยุนเจิงส่ายหน้า “ข้ากำลังวางกลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งอยู่ แต่มีบางอย่างที่ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่”เยี่ยจื่อประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านก็มีวันที่ไม่แน่ใจเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”“ก็มีน่ะสิ”หยุนเจิงยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็เล่าถึงเรื่องสำคัญที่ตนเองกำลังครุ่นคิดอยู่เขากำลังไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่าจะถวายวิธีการสร้างเหล็กลายบุปผาให้กับจักรพรรดิเหวินดีหรือไม่!นี่เป็นเรื่องที่เขาไตร่ตรองมาโดยตลอดหลังจากที่ออกมาจากจวนสกุลเสิ่นเขาตระหนักรู้ได้ว่าลำพังเพียงช่างเหล็กไม่กี่คน คุณภาพที่ผลิตออกมาต่ำมากเกินไป!ถวายวิธีการสร้างเหล็กให้กับจักรพรรดิเหวิน อย่างน้อยก็น่าจะมีรางวัลบ้าง และสิ่งที่ตามมาก็คือความนิยมของอาวุธที่ทำมาจากวัสดุเช่นนี้ มันไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาในอนาคตเลยแต่หากไม่ถว
เจ้าสารเลวไร้ยางอายผู้นี้!นับวันยิ่งไม่มีความเกรงใจเอาเสียเลยนี่เขาไม่สนใจฐานะอันสูงศักดิ์ของตนเองบ้างเลยหรือไรเจ้าสารเลวใจกล้าบ้าบิ่น ใจกล้าไม่กลัวแม้แต่เทวดาฟ้าดิน!ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!เยี่ยจื่อสบถด่าอยู่ในใจไม่หยุด ทว่า สีหน้ากลับร้อนผ่าวยิ่งขึ้น...การประชุมเช้าวันต่อมาขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังจะประกาศเลิกประชุม ทันใดนั้นองครักษ์หน้าตำหนักรีบเข้ามารายงานว่าหยุนเจิงต้องการเข้าวังประสงค์จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่กลับถูกทหารวังขวางเอาไว้“ขวางเขาด้วยเหตุใด?”จักรพรรดิเหวินขมวดพระขนงเล็กน้อย กล่าวเสียงดุดันว่า “ใครบังอาจสั่งทหารวังให้ขวางเจ้าหก?”องครักษ์หน้าตำหนักรีบรายงานว่า “กราบทูลฝ่าบาท ทหารวังไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ลำบากพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าองค์ชายหกพกอาวุธมาด้วย ทหารวังไม่กล้าให้องค์ชายหกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทหารวังให้องค์ชายหกปลดอาวุธออก แต่องค์ชายหกยืนกรานไม่ยอมปลดออก บอกว่าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้พ่ะย่ะค่ะ...”พกอาวุธเข้าวังอย่างนั้นหรือนี่มันเป็นกฎข้อห้ามเด็ดขาด!เมื่อได้ยินองครักษ์หน้าตำหนักรายงานเช่นนี้ หยุนลี่ที่อาการบาดเจ็บเพิ่งจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แทบจะอ
จักรพรรดิเหวินตรวจสอบดาบที่หยุนเจิงถวายให้อย่างละเอียดเขาไม่สนใจมองลวดลายอันงดงามประณีตบนตัวดาบเลย มองเพียงแค่คมของดาบและตรวจสอบอย่างละเอียดแม้ดาบนี้จะบางไปสักหน่อย แต่เมื่อใช้ฟันแล้ว คมดาบกลับดูเหมือนว่าไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดเลย!จักรพรรดิเหวินถือดาบล้ำค่าไว้ในมือ ฟันตัดผ่านอากาศเบาๆ สองสามครั้ง รู้สึกว่าน้ำหนักกำลังพอดีเลย“ฝ่าบาท หยุดร่ายรำได้แล้ว ขอกระหม่อมดูหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวพรวดพราดไปข้างหน้า มองดาบอันล้ำค่าในพระหัตถ์จักรพรรดิเหวินอย่างคุ้นหูคุ้นตา ในฐานะที่เป็นแม่ทัพ เขาย่อมรู้ดีเป็นที่สุดว่าดาบใดได้เปรียบในการทำศึก“ได้! ย่อมได้!”จักรพรรดิเหวินเหลือบมองเซียวว่านโฉวด้วยรอยยิ้ม และตรัสด้วยสีหน้าดีใจว่า “อวี้กั๋วกง เจ้าอย่าดูคนเดียว ดาบล้ำค่าเช่นนี้ ต้องให้ขุนนางคนอื่นๆ ดูด้วย!”“พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวว่านโฉวตอบรับหลังจากรับดาบล้ำค่ามาแล้ว ขุนนางฝ่ายบู้กลุ่มหนึ่งรีบรวมกลุ่มรุมตรวจสอบด้วยกันส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นก็อยากดูเช่นกัน ทว่า ช่วยไม่ได้ร่างกายของพวกเขาบอบบางนัก จึงไม่อาจแทรกตัวเข้าไปได้“ดาบชั้นยอดเลย!”“ความคมของดาบเช่นนี้ช่างหาได้ย
“ลูกเองก็หวังใช้โอกาสนี้ปรับตัวทำดีต่อน้องหก...”หยุนลี่กล่าวอย่างจริง แม้แต่หยุนเจิงที่ฟังอยู่ก็เกือบจะเชื่อแต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่าที่หยุนลี่ทำไปเพื่อต้องการทำให้จักรพรรดิเหวินรู้สึกดีต่อเขาเจ้าปัญญาอ่อนนี่ ในที่สุดก็รู้จักใช้สมองบ้างแล้ว!“อย่างนั้นหรือ?”จักรพรรดิเหวินหรี่ตาเล็กน้อย “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรตบรางวัลให้เจ้าหกเช่นไรล่ะ?”“เอ่อ...”หยุนลี่ชะงักงันไปเล็กน้อย ทำท่าทางไม่กล้าเอ่ยปากกล่าว“เจ้าพูดมาเถอะ!”จักรพรรดิเหวินเอ่ยปากตรัส และดูเหมือนว่าจะพึงพอใจการประพฤติตัวของอยู่ลี่ในวันนี้มากเมื่อจักรพรรดิเหวินตรัสเช่นนี้แล้ว หยุนลี่จึงกล่าวลองเชิงว่า “อีกไม่นานน้องหกก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว ลูกขอบังอาจทูลขอเสด็จพ่อคัดเลือกผู้แข็งแกร่งบางส่วนจากหกองครักษ์ของวังหลวงติดตามไปคุ้มกันน้องหก เพื่อความปลอดภัยของน้องหกพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากหยุนลี่กล่าวจบ แม้แต่หยุนเจิงเองก็ตกตะลึงขึ้นแล้วมีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือนี่เพื่อทำเพื่อเอาใจเสด็จพ่อ เจ้านี่ยอมทำทุกอย่างจริงๆ!นี่เขาไม่กลัวว่าตนเองจะทำให้หยุนเจิงยิ่งใหญ่ขึ้นหรือหรือว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้ส่งคนของเขาใ
สีหน้าจักรพรรดิเหวินเรียบนิ่ง แต่หยุนถิงสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิเหวิน“ความ ความ...ความดีพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนถิงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ลูก...ลูก ลูกใช้อคติคิดไปเองว่าน้องหกเป็นเช่นนั้น ได้โปรดเสด็จพ่อลงโทษลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“ข้าคร้านจะลงโทษเจ้าเต็มที!”จักรพรรดิเหวินมองหยุนถิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าก็เหมือนกับพี่สามของเจ้า ในวันอภิเษกของเจ้าหก มอบของขวัญไปชุดหนึ่ง หากกล้าบังอาจทำพอผ่านไปทีแล้วล่ะก็ ข้าไม่อภัยให้เจ้าง่ายๆ เป็นแน่!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนถิงรีบเอ่ยปากขอบคุณ และแอบโล่งใจไปเปราะหนึ่งยังดีที่แค่ส่งมอบของขวัญ ไม่ได้ลงโทษหนักแต่อย่างใดดูสภาพของหยุนถิงแล้ว หยุนลี่ก็แอบครุ่นคิดในใจไม่ได้วันนี้เจ้าหกทำให้เจ้าสี่ต้องอับอายขายหน้าต่าหน้าเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรงบางที อาจจะยุแยงให้เจ้าสี่ไปรับมือกับเจ้าหกได้ก็ได้!อืม ส่วนตนเองจะสวมบทเป็นคนดีเอง!ส่วนบทคนร้าย ก็ปล่อยให้เจ้าสี่รับไปก็แล้วกัน!“ลุกขึ้นได้แล้ว!”จักรพรรดิเหวินโบกมือ มู่ซุ่นจึงประกาศเลิกการประชุม“อวี้กั๋วกง เจ้าจะไปที่ใด?”ทันใดนั้นจักรพรรด
อย่างไรก็ตาม กำแพงของป้อมซิ่งอันค่อนข้างเรียบง่าย กำแพงลักษณะนี้ ด้านนอกเป็นหิน ด้านในอัดด้วยดินอัดแน่น ดูคล้ายขนมปังกรอบไส้ใน ป้อมซิ่งอันไม่ได้ใหญ่โตมาก สามารถรองรับกองกำลังทหารประมาณห้าถึงหกพันนายก็ถือว่าเต็มที่แล้ว เมื่อหยุนเจิงนำกองทัพมาถึง ฉินชีหู่ก็นำคนออกมาต้อนรับทันที “เสบียงแห้งเตรียมพร้อมหรือยัง?” ทันทีที่เห็นฉินชีหู่ หยุนเจิงก็ถามขึ้น “เตรียมพร้อมแล้ว!” ฉินชีหู่กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “รอเพียงพวกเจ้าพักฟื้นเสร็จ เราก็สามารถเคลื่อนพลได้!” “ดีมาก!” หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจ “ให้กองทัพพักฟื้นหนึ่งวัน เช้าหลังจากวันพรุ่งนี้ เจ้านำกองทหารโลหิตร่วมกับกองของเติ่งเป่าเคลื่อนพล จงสร้างความโกลาหลให้ใหญ่เข้าไว้ ให้ชนเผ่าโม่ซีรู้ว่าเราบุกมาแล้ว!” แม้ว่ากองทหารโลหิตจะไม่เหมาะกับการเดินทางไกล แต่จำเป็นต้องส่งไป ต้องให้ชนเผ่าโม่ซีได้เห็นกำลังพลทหารม้าหนักแห่งต้าเฉียน! แสดงให้พวกเขาเห็นก่อนสักสองพันนาย! ส่วนจำนวนทหารม้าหนักที่แท้จริง มีเท่าไหร่นั้น ปล่อยให้ชนเผ่าโม่ซีเดาเอาเอง! ฉินชีหู่ขยับเข้าใกล้เล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้องชาย ข้าคิดว่าครั้งน
สองวันให้หลัง หยุนเจิงมอบหมายให้ตู๋กูเช่อจัดการงานที่เหลือ แล้วนำทัพ 80,000 นาย ซึ่งกล่าวอ้างว่าเป็น 100,000 นาย มุ่งหน้าสู่ป้อมซิ่งอัน บริเวณชายแดนตอนใต้ของโฉวฉือ ในกองทัพ 80,000 นายนี้ มีเพียง 20,000 นายที่เป็นกำลังจากกองทหารมณฑณทางเหนือ อีก 20,000 นายคือกองทัพบริวารที่ขยายกำลังขึ้นโดยใช้โครงสร้างจากกลุ่มของต่งกัง สิ่งนี้ต้องขอบคุณตู๋กูเช่อที่ก่อนหน้านี้โจมตีอย่างรวดเร็วใส่กองทัพใหญ่ของโหลวอี้ และยึดอาวุธและเกราะมาได้ไม่น้อย ไม่เช่นนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะระดมกำลังกองทัพบริวาร 20,000 นายนี้ได้ ส่วนอีก 40,000 คนล้วนเป็นแรงงานที่คอยขนส่งเสบียงและของใช้อย่างไรก็ตาม แรงงานเหล่านี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ ในยามจำเป็น สามารถดึงชายฉกรรจ์เหล่านี้มาเสริมกำลังในกองทัพได้ทันที หยวนเว่ย ซึ่งเดิมถูกหยวนซู่จับขังคุก ก็ถูกหยุนเจิงพาตัวมาด้วย ตามที่จี้เหมี่ยวกล่าว ผู้บัญชาการป้อมซิ่งอัน หลี่เหวินโจว เป็นคนสนิทของหยวนเว่ย หวังว่าหลี่เหวินโจวจะรู้ความ และไม่ทำให้พวกเขาต้องใช้กำลัง หลังจากออกจากเมืองอวี้เฟิง หยุนเจิงสั่งการให้ฉินชีหู่นำกองทหารม้า 2,000 นาย คุมตัวหยวนเว่ยไปพบกับหลู
“เจ้าก็เลิกประจบข้าเถอะ” หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม ก่อนสั่งว่า “กลับไปให้แต่ละแผนกจัดทำสถิติคร่าวๆ ดูว่ามีกำลังพลที่ยังไม่ได้แต่งงานและสร้างครอบครัวเท่าไหร่ คนที่เหลือไว้เพื่อรักษาความสงบต้องเน้นที่ยังไม่ได้สร้างครอบครัวเป็นหลัก…” คนเหล่านี้สามารถแต่งงานกับหญิงสาวแห่งโฉวฉือได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตคู่ของพวกเขา และยังช่วยเร่งการผสมผสานระหว่างชนเผ่า อีกข้อหนึ่งคือ ทหารที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ ต้องมีบ้านอยู่ในซั่วเป่ย อย่างน้อยต้องมีพ่อแม่หรือพี่น้องที่บ้าน ไม่ใช่ตัวคนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขากำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวจากแคว้นที่พวกเขาพึ่งทำลาย พวกเขาต้องทำให้ทหารเหล่านี้มีสิ่งที่ต้องพะวง ไม่เช่นนั้นอาจถูกคำพูดสตรีเคียงหมอนเป่าจนหลงผิดได้ อย่างไรก็ตาม หยุนเจิงยังคงยึดถือกฎเดิม การสร้างครอบครัวและตั้งหลักปักฐานนั้นทำได้ แต่ต้องแต่งงานด้วยการสู่ขอตามประเพณีอย่างถูกต้อง ห้ามไม่ให้ใครกระทำการผิดศีลธรรมเด็ดขาด หากกล้าทำ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีความดีความชอบมากแค่ไหน จะต้องถูกประหารสถานเดียว การพิชิตดินแดนแห่งนี้เป็นเพียงก้าวแรก การปกครองดินแดนนี้ใ
ในตอนกลางคืน หยุนเจิงตั้งใจที่จะลงโทษเมี่ยวอินในพระตำหนักของหยวนซู่อย่างหนัก แต่น่าเสียดาย ที่มีคนมาหาเขาเพื่อรายงานเรื่องต่างๆ อยู่เรื่อยๆ เขาจึงต้องระงับเรื่องการลงโทษเมี่ยวอินเอาไว้ชั่วคราวอย่างไม่มีทางเลือก จนกระทั่งเกือบถึงรุ่งเช้า ตู๋กูเช่อก็ได้มาหาเขา ไฟใหญ่ในเมืองทั้งหมดถูกดับลงแล้ว พวกเขาได้เข้าควบคุมการป้องกันเมืองอย่างสมบูรณ์ ทหารที่ยอมจำนนส่วนใหญ่ถูกยึดอาวุธและเกราะ และถูกควบคุมดูแลรวมกันไว้พวกเขายังได้สอบปากคำทหารพิทักษ์พระราชวังที่ยอมจำนนและรายละเอียดทั้งหมดระหว่างสังหารหยวนซู่ การสังหารหยวนซู่ ความดีใหญ่ที่สุดยังคงเป็นของจี้เหมี่ยว เหยาชั่ว ซาติงสามคนนี้ เหยาชั่วและซาติงใช้โอกาสที่หยวนซู่หลับ โดยการอุดหายใจจนหยวนซู่ตาย จากนั้นเหยาชั่วก็สั่งการแทนหยวนซู่ และย้ายทหารพิทักษ์พระราชวังส่วนใหญ่ไปจับกุมเถียนถงที่ดูแลเมือง แล้วมอบหมายให้คนของจี้เหมี่ยว มาทำหน้าที่แทน จากนั้นใช้ชื่อของหยวนซู่ในการเรียกประชุมขุนนาง และใช้โอกาสนี้ในการฆ่าขุนนางที่ไม่ยอมจำนน แต่ว่าขุนนางเหล่านั้นไม่ได้ยอมให้ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย พวกเขาต่อสู้กลับ หลังจากนั้นในเมืองก็เกิดการจลา
สีหน้าของจี้เหมี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วหลังจากที่เฝิงอวี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า "งาม งามมาก!"หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปมองจี้เหมี่ยว "นี่คือเฝิงอวี้ เป็นแม่ทัพใหญ่ของข้า ข้าต้องการให้ท่านมอบบุตรีของท่านให้เขา เจ้าคิดว่าอย่างไร?" "ตามที่ท่านอ๋องต้องการ" จี้เหมี่ยวแม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน เขาเคยหวังว่า หยุนเจิงจะให้ความสนใจกับบุตรีของเขา ไม่คิดเลยว่า หยุนเจิงจะมอบบุตรีของเขาให้เฝิงอวี้โดยตรง แต่เมื่อคิดว่า เฝิงอวี้คือแม่ทัพของหยุนเจิง จี้เหมี่ยวจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย การได้พึ่งพิงแม่ทัพใหญ่ภายใต้บัญชาของหยุนเจิงก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ถือว่ามีที่พึ่งพิงแล้วด้วยความสัมพันธ์นี้ บวกกับความดีที่เขามีในการยอมมอบเมืองให้ เขาก็ยังมั่นใจว่า ตระกูลจี้จะไม่ถึงขั้นล่มจม "ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้ง เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน!" หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ "เฝิงอวี้ ยังไม่ไปทักทายพ่อตาของเจ้าหรือ?" เฝิงอวี้รีบหันไปคำนับจี้เหมี่ยวและพูดว่า "ขอคำนับพ่อตาขอรับ!"
ดูแล้วอายุของจี้หย่าเอ๋อร์ไม่น่าจะมากนัก คาดว่านางน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ หยวนซู่นี่จริงๆ แล้วก็เหมือนวัวแก่กินหญ้าอ่อน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ใครให้เขาเป็นราชาโฉวฉือล่ะ?ไม่ต้องพูดถึงแค่สมัยโบราณ แม้แต่สมัยปัจจุบัน ถ้ามีเงินมีอำนาจ ก็มักจะมีการแต่งงานกับสาวรุ่นๆ เห็นหยุนเจิงจ้องมองไปที่จี้หย่าเอ๋อร์ จี้เหมี่ยวในใจรู้สึกดีใจทันที จึงรีบพูดแสดงความสุภาพ “ท่านอ๋อง จริงๆ แล้วบุตรีของข้าน้อยยังคงบริสุทธิ์อยู่...” “บริสุทธิ์?” หยุนเจิงมองไปที่จี้เหมี่ยวด้วยความประหลาดใจ นี่มันไม่จริงใช่ไหม? จี้หย่าเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง หยวนซู่ไม่ให้ความโปรดปรานนางหรือ? หรือว่า หยวนซู่ไม่สามารถทำได้แล้วหรือ? เห็นหยุนเจิงไม่เชื่อ จี้เหมี่ยวจึงรีบอธิบาย ความจริงแล้วจี้หย่าเอ๋อร์อายุไม่ถึงยี่สิบปี เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งอายุครบสิบแปดปี เดิมทีจี้หย่าเอ๋อร์จะถูกหมั้นกับหลานชายของขุนนางในราชสำนัก แต่เนื่องจากความบังเอิญ หยวนซู่ได้พบกับจี้หย่าเอ๋อร์ และจึงตัดสินใจแต่งตั้งนางเป็นสนมครอบครัวของจี้หย่าเอ๋อร์ไม่กล้าขัดขืน ต้องยอมรับตามที่หยวนซู่ต้องการ ผลก็คือ
“ขอรับ!” ตู๋กูเช่อรับคำทันที ไม่นาน ทหารม้าสามร้อยนายก็ขี่ม้าออกไป พุ่งตัวไปที่ประตูเมืองทันทีจนกระทั่งพวกเขามาถึงประตูเมือง ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองก็ยังไม่เริ่มโจมตี เมื่อแน่ใจว่าเหล่าศัตรูยอมแพ้จริงๆ หยุนเจิงจึงสั่งให้กองทัพหลักเริ่มเข้าสู่เมืองเพื่อเข้าควบคุมการป้องกันเมือง จนกระทั่งทหารจากกองทัพเหนือขึ้นไปยึดกำแพงเมืองและเริ่มควบคุมการป้องกันเมือง หยุนเจิงจึงนำผู้ติดตามเดินเข้าไปข้างหน้า เมื่อเห็นหยุนเจิงเดินมากับการล้อมรอบจากผู้ติดตาม คนในเมืองต่างก็กลัวและก้มตัวลงต่ำ แม้จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหยุนเจิง แต่พวกเขาก็เกือบจะมั่นใจได้ทันทีว่าเป็นจิ้งเป่ยอ๋องหยุนเจิง หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมองคนที่คุกเข่าลงและกลัวกลัว “พวกเจ้าเปิดประตูเมืองและยอมแพ้ ข้าพอใจมาก! ต้าเฉียนเรามีแค่ประโยคเดียวว่า ผู้ที่รู้จักสถานการณ์เป็นคนที่มีความสามารถ! ลุกขึ้นเถิด!” “ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” คนทั้งหลายกล่าวพร้อมกันและลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เมื่อยืนขึ้นแล้ว จี้เหมี่ยวยังคงยกหัวหยวนซู่มาด้วยความเคารพและพูดว่า “นี่คือหัวหยวนซู่ ท่านอ๋องกรุณาตรวจสอบ” ทหารองครักษ์เดินเข้ามาข้างหน
หยุนเจิงและตู๋กูเช่อมาถึงแนวหน้าในทันที แม้ว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าเมือง แต่ก็สามารถได้ยินเสียงความวุ่นวายที่ดังมาจากในเมืองอวี้เฟิง ศัตรูได้จุดไฟบนกำแพงเมืองเพื่อป้องกันพวกเขาโจมตีในเวลากลางคืน หยุนเจิงใช้ดวงตาพันลี้ สามารถเห็นความตื่นตระหนกของทหารบนกำแพงอย่างชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองอวี้เฟิง แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่า การโจมตีในช่วงกลางวันของพวกเขาประสบผลสำเร็จ “มารดามันสิ อย่าทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายเลยนะ!” หยุนเจิงวางดวงตาพันลี้ลงและบ่นพึมพำ ฉินชีหู่ยิ้มเยาะเย้ยได้ใจ "พ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละดี เช่นนั้น เราก็จะได้..." “จะได้บ้าอะไรล่ะ” ตู๋กูเช่อขัดคำพูดของฉินชีหู่ "ทั้งหมดนี้คือเชลยของพวกเรา! เมืองก็ของพวกเรา เสบียงและสมบัติก็ของพวกเรา คนในเมืองก็ของพวกเรา..." "ถูกต้อง!" หยุนเจิงพยักหน้าแรงๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโลภ "ของพวกเราทั้งหมด ล้วนเป็นของพวกเรา!" ฉินชีหู่เห็นหยุนเจิงและตู๋กูเช่อที่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล จึงรู้สึกงงงวย พวกศัตรูโกลาหล พวกเขายังต้องเป็นกังวลด้วยหรือ? ทว่า หากตามที่พวกเขาพูด มันก
“ฝ่าบาท กระหม่อมทำผิดสิ่งใดกัน?”ขุนนางฝ่ายบรรณาการคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึก "กระหม่อมทำทุกอย่างก็เพื่อฝ่าบาททั้งสิ้น..."“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? เจ้าน่ะอยากบุกออกไปยอมจำนนใช่หรือไม่?” หยวนซู่ในสภาพเหมือนคนเสียสติ จ้องขุนนางคนนั้นตาเขม็ง “เจ้าคิดจะยอมแพ้? ข้าจะไม่มีวันให้โอกาสเจ้า!”พูดจบ หยวนซู่ก็เร่งองครักษ์ด้วยความโมโห “รีบลากขุนนางกบฏคนนี้ไปตัดหัวเดี๋ยวนี้!”ไม่ว่าขุนนางคนนั้นจะวิงวอนอย่างไร หยวนซู่ก็ไม่ไหวติงเมื่อเห็นว่าการวิงวอนไม่เป็นผล ขุนนางคนนั้นก็ระเบิดความโกรธออกมา ปล่อยให้องครักษ์ลากตัวเขาออกไปพลางตะโกนด่าทอเสียงดัง “หยวนซู่! ไอ้ราชาหน้าโง่! เจ้าตายอย่างสงบไม่ได้แน่! ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ปรโลก...”หยวนซู่โกรธจนคุมตัวเองไม่อยู่ พุ่งลงมาจากบัลลังก์ วิ่งออกจากท้องพระโรงพร้อมตะโกนสั่งองครักษ์เสียงดัง “จับกบฏคนนี้มาประหารแบบม้าลากแยกร่าง! ข้าจะให้มันตายโดยไม่มีชิ้นดี!!!”เมื่อเห็นหยวนซู่ที่แทบจะเสียสติ ขุนนางจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้สึกหวาดผวาในใจไม่มีใครรู้ว่าคำพูดไหนของตัวเองอาจไปกระตุ้นความโกรธของหยวนซู่ที่เกือบจะคลุ้มคลั่งไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นคนต่อไปที่ถูก