แต่หยุนเจิงไม่มีทางให้เขามีเวลามากถึงเพียงนั้น!เรื่องที่จินผู่ก่อให้ปวดหัวไม่น้อย แต่หยุนลี่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอย่างน้อย เขาก็สามารถทดสอบขอบเขตความอดทนของพวกขุนนางตระกูลใหญ่ได้แล้วพร้อมกันนั้น เรื่องที่จินผู่ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถเดินหน้าปราบปรามพวกมันแบบฮึกเหิมเกินไปจำเป็นต้องใช้วิธีที่นุ่มนวลกว่านี้ถือเป็นบทเรียนอันมีค่าเลยก็ว่าได้!“ทางฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”สวีสือฝู่เอ่ยถามหยุนลี่ตอบทันที “เสด็จพ่อทรงรับสั่งว่า จะไม่มีทางประนีประนอมกับพวกมันอย่างเด็ดขาด แต่ให้ลองหาวิธีแก้ปัญหาที่อ่อนโยนขึ้น หากไม่เป็นผล ค่อยใช้กำลังเข้าจัดการ”“ไม่ควรประนีประนอมจริงๆ”สวีสือฝู่ครุ่นคิด ก่อนกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากราชสำนักยอมอ่อนข้อ ฝ่าบาทก็จะสูญเสียอำนาจและบารมีในราชสำนักไปอย่างมหาศาล”“เสด็จพ่อก็ตรัสเช่นนี้เหมือนกัน” หยุนลี่พยักหน้า “ดังนั้น ข้าจึงลำบากใจนัก”สวีสือฝู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ความจริง เรื่องนี้ท่านอาจไปปรึกษาเซียวว่านโฉวได้”“เซียวว่านโฉว?”หยุนลี่ขมวดคิ้วทันที “ทำไมต้องไปถามเซียวว่านโฉว?”เ
หัวเมืองสี่ทิศแม้ว่าการปฏิรูปภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินจะได้รับแรงต่อต้านอย่างหนัก แต่หยุนเจิงก็ยังไม่ได้เดินทางไปยังจิงหยางฝู่เขามีแผนรับมืออยู่แล้ว แต่ก็อยากดูว่าทัวฮวนและจี้หรานจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรโหวซื่อไคยังมาไม่ถึงหัวเมืองสี่ทิศ แต่หยุนเจิงก็ไม่ได้เอาแต่นั่งอยู่ในจวนอ๋องขณะนี้แม้อากาศยังไม่อบอุ่นขึ้น แต่ในดินแดนตอนในของแผ่นดินก็เริ่มมีการเตรียมตัวสำหรับการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้วเมื่อมีเวลาว่างหยุนเจิงก็พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินออกไปเดินสำรวจตามพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อดูว่าภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในหัวเมืองสี่ทิศมากน้อยเพียงใดด้วยภูเขาในบริเวณเป่ยลู่กวานที่ช่วยกั้นลมหนาว ทำให้ดินแดนตอนในอบอุ่นกว่ามากพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว ไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเพื่อหว่านเมล็ดพืชเหมือนที่ซั่วเป่ยแต่เมื่อเงยหน้ามองออกไป เขากลับเห็นว่าพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีพืชผลขึ้น แต่กลับเห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังทำงานอยู่หยุนเจิงเดินเข้าไป
แน่นอนว่ามาตรฐานเหล่านี้ใช้กับที่ดินชั้นดีเท่านั้นส่วนที่ดินชั้นต่ำกว่านั้นมาตรฐานของการเก็บเกี่ยวที่ถือว่าผลผลิตดีจะต่ำกว่านี้อีกตามกฎของราชสำนักข้าวสาลีซึ่งเป็นพืชอาหารหลักจะต้องปลูกแต่ก็ไม่สามารถปลูกได้ตามอำเภอใจไม่ว่าจะปลูกมากหรือน้อยก็ล้วนมีการจำกัดสัดส่วนอย่างเข้มงวดนอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องใช้ปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียนกันไปเพราะหลังจากปลูกถั่วแล้วดินจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นทำให้ปีถัดไปเมื่อปลูกพืชอื่นผลผลิตก็จะงอกงามกว่าเดิมชาวนาเฒ่าพยายามอธิบายอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดว่าพวกเขาจงใจปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าในแคว้นต้าเฉียนการจงใจปล่อยที่ดินให้รกร้างโดยไม่มีเหตุผลอันควรเป็นความผิดที่ต้องได้รับโทษหนักเมื่อฟังคำอธิบายของชาวนาอาวุโสหยุนเจิงก็เข้าใจทันทีหากไม่ได้ลงมาดูด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่รู้ว่ามีเรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้เกี่ยวกับการเกษตรเรื่องของที่ดินนี่ก็มีความรู้แฝงอยู่ไม่น้อยเช่นกันไม่อาจแยกตัวออกจากประชาชนได้จริงๆหยุนเจิงคิดในใจพลางถามต่อ “ที่ดินเหล่านี้เป็นของพวกเจ้าเองหรือเป็นของนายท่านคนใด?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของชาวนาอาวุโสเผยรอย
“เหตุใดเจ้าจึงไม่มอบวัวไถนาให้พวกเขาทุกคนเล่า?”ระหว่างทางกลับ เมี่ยวอินมองหยุนเจิงด้วยความสงสัยอย่างมากเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็อยากถามคำถามนี้เช่นกัน แต่ถูกเมี่ยวอินชิงถามไปก่อน จึงได้แต่มองหยุนเจิงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจหยุนเจิงมิใช่คนตระหนี่ต่อให้มอบวัวไถนาให้ชาวนาเฒ่าเหล่านั้นคนละตัว สำหรับเขาแล้ว ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นกระทั่ง มิอาจนับเป็นเศษเสี้ยวเสียด้วยซ้ำ“ต้องมีการแลกเปลี่ยน จึงจะได้รับผลตอบแทน”หยุนเจิงอธิบายพลางยิ้ม “ชาวนาเฒ่าผู้นั้นตอบคำถามของข้า นั่นถือเป็นสิ่งที่เขาลงแรงไป เขาสมควรได้รับรางวัลตอบแทน! ส่วนชาวนาเฒ่าคนอื่นๆ มิได้พูดอะไร ก็ทำได้เพียงพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเล็กน้อยเท่านั้น…”วัวไถนาไม่กี่ตัว สำหรับเขาแล้ว นับเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างแท้จริงแต่เขามิอาจมอบวัวไถนาให้ทุกคนเพียงเพราะรู้สึกเวทนาในใต้หล้านี้ มีประชาชนที่ยากไร้เช่นนี้อีกมากมายเหลือคณา แล้วเขาจะมอบให้หมดได้อย่างไร?การช่วยเหลือที่แท้จริง คือการลดภาระของราษฎรทั้งหมดต่างหาก!ภาษีที่ดินที่แบ่งตามพื้นที่ของที่ดิน ก็ถูกกำหนดขึ้นด้วยจุดประสงค์นี้เช่นกันแววตาของเสิ่นลั่วเย
เยี่ยจื่อเคยช่วยหยุนเจิงบริหารกิจการภายในเมืองมาแล้ว จึงมีความเข้าใจในเรื่องเกษตรกรรมมากกว่าหยุนเจิงอยู่มาก เมื่อนางวิเคราะห์เรื่องนี้กับหยุนเจิง ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเป็นระบบและชัดเจนข้อเสนอหลายอย่างที่นางยกขึ้นมา หยุนเจิงก็เห็นว่าดีเช่นกันตลอดเวลาที่หารือกัน ส่วนใหญ่เป็นเพียงหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อที่พูดคุยกัน อวี๋ฝูแทบไม่ได้เอ่ยปาก กระทั่งเมื่อหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อสอบถามความเห็นของเขาเกี่ยวกับการตัดสินใจเบื้องต้น อวี๋ฝูก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ไม่ว่าดีหรือร้ายก็เพียงตอบรับว่า ตามแต่ท่านอ๋องและเยี่ยจื่อหยุนเจิงและเยี่ยจื่อหารือกันราวหนึ่งชั่วโมง จึงได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนการ“เอาล่ะ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”หยุนเจิงโบกมือให้กับอวี๋ฝู “ข้ายังต้องพูดคุยกับฮูหยินจื่ออีกสักหน่อย”“ข้าขอทูลลา!”อวี๋ฝูลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบออกไปอย่างกับได้รับอภัยโทษหยุนเจิงมองตามแผ่นหลังที่จากไป ดวงตาฉายแววสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย“เขาน่าจะมีปัญหาจริงๆ”เยี่ยจื่อดูเหมือนจะเดาออกว่าหยุนเจิงคิดอะไรอยู่หยุนเจิงหันกลับมา “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ?”เยี่ยจื่อแย้มยิ้มบางๆ “เขาเป็นพ่อบ้าน แต่กลับไม่รู้อ
โหวซื่อไคมาถึงเร็วกว่าที่หยุนเจิงคาดไว้เสียอีกในช่วงเที่ยงของวันถัดมา โหวซื่อไคก็มาถึงจวนอ๋องของหัวเมืองสี่ทิศหยุนเจิงรับเขาที่ห้องหนังสือของตนเอง“เจ้ามาได้เร็วไม่เบานี่!”หยุนเจิงมองโหวซื่อไคพลางยิ้ม “เดินทางมาเหนื่อยมากหรือไม่?”“ไม่เท่าไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เท่าไร” โหวซื่อไครีบแสร้งยิ้มเอาใจ “ท่านอ๋องมีรับสั่ง กระหม่อมย่อมไม่กล้าล่าช้า”จริงๆ แล้วเหนื่อยแทบขาดใจเขาขี่ม้าตลอดทางจากซั่วฟางมาที่นี่แม้จะเทียบไม่ได้กับการส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ แต่ก็เร่งรีบสุดชีวิตแล้วดีที่ตอนนี้อากาศยังหนาวเย็น เขาสวมเสื้อผ้าหนา ไม่เช่นนั้น ขาของเขาคงถลอกปอกเปิกไปแล้ว“นั่งลงเถิด”หยุนเจิงชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ ก่อนจะสั่งให้คนชงชาให้โหวซื่อไค“ขอบพระคุณท่านอ๋อง”โหวซื่อไครู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขอบคุณซ้ำๆหยุนเจิงพยักหน้าเป็นเชิงให้สาวใช้ที่ชงชาถอยออกไป จากนั้นจึงหันไปมองโหวซื่อไคแล้วกล่าวว่า “เวลามีจำกัด ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว! เจ้าสนิทสนมกับตระกูลซูแห่งจวีผิงเพียงใด?”ตระกูลซูแห่งจวีผิง?โหวซื่อไคชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบอย่างซื่อตรงว่า “กระหม่อมพอจ
หลังจากฟังคำพูดของหยุนเจิงจบ โหวซื่อไคพลันตระหนักได้ในทันทีหยุนเจิงต้องการให้เขาร่วมมือกันหลอกตระกูลซูแห่งจวีผิง!เขาไม่รู้ว่าตระกูลซูแห่งจวีผิงไปล่วงเกินหยุนเจิงอย่างไร แต่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ หากหยุนเจิงลงมือเอง ตระกูลซูแห่งจวีผิงย่อมไม่มีทางลงเอยด้วยดีดีไม่ดี ตระกูลซูแห่งจวีผิงอาจถึงขั้นล่มสลายก็เป็นได้!หากให้เขาเลือกระหว่างหยุนเจิงกับตระกูลซูแห่งจวีผิง แน่นอนว่าเขาจะเลือกช่วยหยุนเจิงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยอย่างไรก็ตาม โหวซื่อไคตอนนี้เรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นแล้วหากทำสำเร็จก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากไม่สำเร็จเล่า? เขาไม่รู้ว่าหยุนเจิงจะถือโทษโกรธเขาหรือไม่โหวซื่อไคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองหยั่งเชิงถามว่า “ท่านอ๋อง หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จเล่า…”“วางใจเถิด!” หยุนเจิงรู้ดีว่าโหวซื่อไคกังวลเรื่องใด จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าทำเต็มที่แล้ว ต่อให้ไม่สำเร็จ ข้าก็จะมอบรางวัลให้เจ้าหนึ่งหมื่นตำลึง! แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด!”เช่นนั้นหรือ?หากไม่สำเร็จก็ไม่ต้องรับโทษ แถมยังได้รับหนึ่งหมื่นตำลึง?แม้ว่าหนึ่งหมื่นตำลึงจะไม่ใช่จ
สามวันให้หลัง โหวซื่อไคเดินทางถึงจวีผิงสิ่งแรกที่โหวซื่อไคทำเมื่อมาถึง ก็คือไปเยี่ยมเยียนตระกูลซูตระกูลโหวและตระกูลซูมีความสัมพันธ์ด้านการค้าขายต่อกันไม่น้อย ดังนั้นตระกูลซูจึงให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นซูซ่งฝู่ หนึ่งในผู้อาวุโสเจ็ดคนของตระกูลซู เป็นผู้มาต้อนรับโหวซื่อไค“คารวะท่านลุงซู”เมื่อโหวซื่อไคพบหน้าซูซ่งฝู่ เขารีบโค้งคำนับให้ซูซ่งฝู่หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามานั่งเถิด”“ขอบพระคุณท่านลุงซู”โหวซื่อไคกล่าวขอบคุณ ก่อนจะยื่นกล่องของขวัญที่สวยงามออกไป พร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “ของกำนัลเล็กน้อย มิอาจแสดงความเคารพได้มาก หวังว่าท่านลุงจะรับไว้”“หลานชาย เจ้านี่ช่างเกรงใจนัก”ซูซ่งฝู่รับกล่องมา ก่อนจะสั่งให้คนชงชาให้โหวซื่อไค จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “บิดาของเจ้าสบายดีหรือไม่?”ขณะกล่าว เขาก็เปิดกล่องออกดู ภายในเป็นหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่ง ประเมินคร่าวๆ น่าจะมีมูลค่าราวหลายร้อยตำลึงสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซูกับตระกูลโหว ของกำนัลนี้แม้มิใช่สิ่งล้ำค่ามากนัก แต่ก็ถือว่าเหมาะสมไม่น้อย!“ขอบพระคุณท่านลุงซูที่เป็นห่วง บิดาของข้าสุขสบายดี” โหวซื่อไ
“ลูก…ลูกสาวเพคะ”หมอตำแยที่ตกใจกับท่าทางของหยุนเจิงก่อนหน้านี้ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ลูกสาวดี! ลูกสาวดี!”หยุนเจิงพึมพำกับตัวเอง ก่อนก้มลงมองเด็กน้อยที่ยังคงร้องไห้เสียงดังไม่เหมือนหยุนชางเลย เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เกิดมาโดยแทบไม่มีริ้วรอยบนผิวเลย เพียงแค่ตัวแดงระเรื่อเท่านั้น“เจ้าตัวน้อย เจ้านี่เกือบทำให้แม่ของเจ้าสิ้นชีวิตเลยนะ…”เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หัวใจของหยุนเจิงยังคงสั่นไหวเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากเขาสูญเสียเยี่ยจื่อไป เขาจะต้องเจ็บปวดเพียงใดโชคดีที่มันเป็นเพียงความหวาดกลัวลวงตา!“อุแว๊ๆ…”เด็กน้อยยังคงร้องไห้ และดูเหมือนเสียงของนางจะแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆหยุนเจิงลูบแผ่วเบาบนผ้าห่อตัวของนาง ก่อนหันไปมองหมอตำแยทั้งสามที่ยังยืนไม่มั่นใจ “ให้รางวัล! ให้รางวัลทุกคน! คนละห้าร้อยตำลึง!”ห้าร้อยตำลึง!?หมอตำแยทั้งสามแทบไม่เชื่อหูตัวเองท่านอ๋องผู้นี้ ช่างใจกว้างนัก!แค่เอ่ยปาก ก็แจกเงินรางวัลมากมายถึงเพียงนี้!“เอาล่ะ พวกเจ้าทำความสะอาดให้เรียบร้อยเถิด”หยุนเจิงเรียกสติหมอตำแย “เสร็จแล้วก็ไปรับรางวัลได้เลย”หยุนเจิงกล่าวจบ ก็กอดลูกสาวไปนั่งลงที่
“อ๊าก…”เสียงกรีดร้องของเยี่ยจื่อสะท้อนก้องอยู่ในหูของหยุนเจิง ราวกับสามารถฉีกหัวใจของเขาออกเป็นเสี่ยงๆ“พอแล้ว! อย่าคลอดแล้ว! ข้าไม่ต้องการลูกแล้ว! ข้าต้องการแค่เจ้า!”หยุนเจิงน้ำตาคลอเบ้า ส่ายศีรษะไปมาอย่างร้อนรน ก่อนจะหันไปตะโกนลั่นใส่หมอตำแยข้างๆ “ช่วยนางไว้! อย่าไปสนใจเด็ก!”เขากลัว!เขากลัวจริงๆ!แม้ว่าเขาจะไม่ใช่หมอ แต่เขาก็รู้ดีว่า หากพลาดแม้แต่นิดเดียว นางอาจตกเลือดหนักได้แม้แต่ในยุคปัจจุบัน การตกเลือดมากก็ยังยากที่จะรักษา แล้วนี่เป็นยุคโบราณ“ออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว!”ขณะนั้นเอง หมอตำแยก็ร้องขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น“อุแว๊…”เสียงร้องแหลมใสของทารกดังขึ้นภายในห้องคลอด แต่ในขณะเดียวกัน เสียงของเยี่ยจื่อกลับเงียบลงอย่างกะทันหัน!หมอตำแยคนหนึ่งรีบเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนตัวทารก ขณะที่อีกคนเตรียมห่อทารกในผ้าห่ม และหันไปแสดงความยินดีกับหยุนเจิง “ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง เด็กน้อยเป็น…”“ช่างลูกก่อน! ดูจื่อเอ๋อร์ก่อนว่านางเป็นอย่างไรบ้าง!”หยุนเจิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะและความหวาดหวั่น มือของเขาที่กุมมือเยี่ยจื่อไว้สั่นเทาอย่างรุนแรงตอน
เสียงร้องของเยี่ยจื่อ ทำให้หัวใจของหยุนเจิงบีบรัดตามไปด้วย“จื่อเอ๋อร์! ข้ากลับมาแล้ว!”หยุนเจิงไม่สนใจพูดคุยกับเสิ่นลั่วเยี่ยนและคนอื่นๆ เขารีบพุ่งไปที่ประตู แล้วตะโกนเข้าไปข้างใน“สามี!”เสียงร้องเจ็บปวดของเยี่ยจื่อดังขึ้นอีกครั้งแม้หยุนเจิงจะมองไม่เห็นสถานการณ์ภายในห้อง แต่เขาก็นึกภาพออกว่าเยี่ยจื่อต้องเจ็บปวดเพียงใดหากเป็นไปได้ เขาอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดของนาง“จื่อเอ๋อร์ อย่ากลัว! สามีอยู่ที่นี่กับเจ้า!”หยุนเจิงกล่าวปลอบ แล้วรีบหันไปถามเสิ่นลั่วเยี่ยน “จื่อเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนที่ดวงตาแดงก่ำ แอบมองไปทางประตูห้อง ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา “หมอตำแยบอกว่า ตำแหน่งของทารกไม่ค่อยปกติ อาจคลอดได้ยาก เมี่ยวอินก็กำลังช่วยอยู่ เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนร้อนใจอยู่ข้างนอก……”ตำแหน่งทารกผิดปกติ!เมื่อได้ยินคำนี้ หัวใจของหยุนเจิงพลันเต้นรัวขึ้นมาทันที เขาหันขวับไปมองฮูหยินเสิ่นและเว่ยซวงที่ยืนอยู่ใกล้ๆพบว่าทั้งสองต่างมีดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่ากระวนกระวายใจไม่น้อยหยุนเจิงเข้าใจทันทีว่า เสิ่นลั่วเยี่ยนคงไม่อยากให้เขากังวลเกินไป จึงบอกเพียงว่าคลอ
ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่หยุนเจิงอยู่ที่จิงหยางฝู่ เขาได้รับข่าวสารฮั่วเหวินจิ้งตายแล้ว!ไม่ได้ถูกฆ่าปิดปาก แต่ตายเพราะป่วย!หยุนเจิงคาดว่า ฮั่วเหวินจิ้งคงเสียชีวิตเพราะบาดแผลติดเชื้อเมื่อได้รับข่าวนี้ หยุนเจิงแทบอยากจะด่าหยุนลี่ว่าโง่เง่าเป็นหมูเสียจริงทำไมเขาถึงไม่ใช้วิธีทรมานก่อน แล้วค่อยให้หมอรักษาไว้ล่ะ?อีกแค่ก้าวเดียว เขากำลังจะสาวไปถึงตัวการเบื้องหลังได้อยู่แล้วแท้ๆ แต่ฮั่วเหวินจิ้งกลับมาตายเสียก่อนมันเหมือนกับฟ้ากำลังเล่นตลกกับเขา!สิ่งเดียวที่พอทำให้โล่งใจได้บ้างคือ อีกาดำและอีกาขาวต่างได้รับความเสียหายหนัก คนของเขาที่แทรกซึมอยู่ในอีกาดำ น่าจะสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งได้หากสามารถทำให้คนของเขากลายเป็นหัวหน้าของอีกาดำได้ ก็คงดี!แต่ไม่รู้ว่าเงาสอง ที่ร่วมเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อฆ่าปิดปาก ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ขอให้รอดปลอดภัยเถอะ!หยุนเจิงถอนหายใจเงียบๆ ก่อนลุกขึ้นยืนในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งตายไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องรอสอบสวนอะไรอีกเรื่องที่เหลือ ก็ปล่อยให้ทัวฮวนจัดการไปก็แล้วกัน!“ส่งคำสั่งถึงอวี่ซื่อจง ให้เหลือทหารห้าพันนายประจำการอยู่ที่นี่ ภายใต้การบัญชาของรองแม่ท
“ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่รีบรับคำสั่ง“จำไว้! ฮั่วเหวินจิ้งถูกนักฆ่าสังหาร ไม่ใช่ตายเพราะป่วย!”จักรพรรดิเหวินกล่าวเตือนหยุนลี่ด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนเสด็จออกจากจวนองค์รัชทายาทแม้จะนั่งอยู่ในเกี้ยวแล้ว แต่เพลิงโทสะของจักรพรรดิเหวินยังคงลุกโชนไม่มอดอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวในพระทัย ก็ยังมีความรู้สึกซับซ้อนบางอย่างซ่อนอยู่เขารู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งไม่ใช่คนของหยุนเจิงหากสามารถเค้นเอาความจริงจากฮั่วเหวินจิ้งได้ จนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง บางทีพระองค์เองอาจไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไรหากเป็นพระโอรสองค์ใดองค์หนึ่ง หรือแม้แต่นางสนมคนใดคนหนึ่งของพระองค์ พระองค์จะต้องลงพระอาญาสังหารพวกเขาด้วยพระองค์เองอย่างนั้นหรือ?หากเรื่องนี้ทำให้คนที่รอดพ้นจากเคราะห์ครั้งนี้ได้สำนึกและเลิกล้มความคิดที่จะก่อความวุ่นวาย นั่นก็คงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตัวการเบื้องหลังของฮั่วเหวินจิ้ง จักรพรรดิเหวินเองก็พอมีข้อสันนิษฐานอยู่ในพระทัยแต่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน พระองค์ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดยิ่งไปกว่านั้น คนที่พระองค์สงสัยมีอยู่หลายคน ทำให้ไม่อาจฟันธงได้ว่าเป็นผู้ใดกันแน่ดูเหมือ
ภายในพระราชวัง จักรพรรดิเหวินและหยุนลี่กำลังตรวจสอบข่าวเร่งด่วนจากเมืองฝูโจวอย่างไรก็ตาม ทั้งสองเพียงกวาดตามองก็ขว้างเอกสารฉบับนั้นทิ้งด้วยความโกรธอย่าว่าแต่หยุนลี่เลย แม้แต่จักรพรรดิเหวินก็อดด่าหยุนเจิงในใจไม่ได้ลูกอกตัญญูผู้นี้ ชักจะเหลวไหลขึ้นทุกวันเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็กล้าใช้ชื่อข่าวเร่งด่วนทางทหารส่งมาถึงเมืองหลวงนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว!ข่าวเร่งด่วนทางทหารถูกเขาใช้เป็นของเล่นไปแล้ว!คราวหน้า ถ้าเจอตัวเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ข้าจะเตะมันให้กระอักสองทีแน่!“กราบทูลฝ่าบาท องค์รัชทายาทฝ่าบาท กองกำลังของกระหม่อมถูกลอบโจมตีโดยนักฆ่าที่ถนนเป่ยเจีย……”ขณะที่จักรพรรดิเหวินและหยุนลี่กำลังเดือดดาลกับหยุนเจิง เฉียวเหยียนเซียนก็ส่งคนมาแจ้งข่าวนักฆ่าหลายสิบคนที่ร่วมมือกันสังหารฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัว ถูกสังหารหรือถูกจับกุมเป็นส่วนใหญ่มีเพียงไม่กี่คนที่ฉวยโอกาสความชุลมุนหลบหนีไปได้ครั้งนี้ การวางแผนของพวกเขารัดกุมยิ่งนักหากไม่ใช่เพราะพลส่งสารข่าวเร่งด่วนโผล่มาขัดจังหวะ คงไม่มีทางที่นักฆ่าจะรอดไปได้เลยนอกจากนี้ พวกเขายังพบหน้าไม้ทรงอานุภาพจำนวนมากในที่เกิดเหตุเมื่อรายงานมาถ
ขณะที่เฉียวเหยียนเซียนนำกำลังคุมตัวนักโทษผ่านถนนเป่ยเจีย หน้าต่างบนหอคอยของอาคารสองหลังที่อยู่สองฟากถนนค่อยๆ เปิดออกเล็กน้อยหน้าไม้จำนวนมากถูกเล็งออกมาจากช่องหน้าต่างโดยไร้เสียง เพียงแค่รอให้กรงนักโทษเข้าสู่ระยะยิง พวกเขาก็จะลงมือทันทีขบวนคุ้มกันเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ เงาสองก็เตรียมพร้อมเช่นกันเขาไม่รู้ว่าฮั่วเหวินจิ้งมีความสำคัญต่อหยุนเจิงเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากอีกาดำมากขึ้น เขาจำเป็นต้องร่วมมือสังหารเหล่านักโทษเหล่านี้แต่เขาก็รู้ดีว่า หากลงมือแล้ว การจะหลบหนีออกจากเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เขาต้องรอด!ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่ต้องการตาย อีกส่วนหนึ่งก็เพราะ หากเขารอด เขาจะมีโอกาสพบกับผู้ที่คอยสนับสนุนการหลบหนีของพวกเขาและบุคคลนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง!เงาสองครุ่นคิดเงียบๆ พร้อมเหลือบมองหน้าไม้ในมือพวกเขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าเพื่อแฝงตัวเข้าเมืองหลวง ย่อมไม่สามารถพกพาอาวุธเหล่านี้มาเองได้หน้าไม้เหล่านี้ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า ถูกซุกซ่อนไว้ที่เนินเขาเหมียวเอ่อร์ซานสิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธของกองทัพ!แม้ทางราชสำนักจะควบคุมอาวุธประเภทนี
“ฝ่าบาท เงาสามแจ้งข่าวด่วน!”จิงหยางฟู่ เสิ่นควานถือจดหมายฉบับหนึ่ง รีบรุดเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบเงาสาม?นี่เป็นหนึ่งในคนที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในอีกาดำได้สำเร็จเงาสามส่งข่าวด่วนมา ดูท่าแล้ว อีกาดำคงจะลงมือแล้วแน่หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกาดำน่าจะต้องการสังหารฮั่วเหวินจิ้งเพื่อกำจัดภัยร้ายอย่างสิ้นซาก!หยุนเจิงครุ่นคิดไปพลาง รับจดหมายจากเสิ่นควานและเปิดออกดูเมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย หยุนเจิงก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวข่าวที่เงาสามส่งมา ตรงกับที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดหัวหน้าอีกาดำและอีกาขาวนำทัพมาด้วยตนเอง ต้องการฆ่าฮั่วเหวินจิ้งให้ได้!แม้แต่เงาสองก็ถูกเลือกให้เข้าร่วมภารกิจลอบสังหารครั้งนี้ตอนนี้ พวกเขาได้รับเพียงคำสั่งให้เตรียมพร้อม แต่ยังไม่รู้เวลาและสถานที่ลงมือที่แน่ชัดหัวหน้าอีกาดำและอีกาขาวตั้งใจปกปิดข้อมูล ไม่ให้ผู้ใดซักถาม ใครที่ร่วมภารกิจก็แค่ทำตามคำสั่งในขณะลงมือเท่านั้นพวกเขากลัวว่าจะถูกสงสัย จึงไม่กล้าไต่ถามอะไรมากข่าวที่เงาสามส่งกลับมา สำหรับหยุนเจิงแล้ว ไม่ใช่ข่าวดีเลยเขายอมจ่ายเงินกว่าล้านตำลึงเพื่อให้ครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งปลอดภัยและมาถึงมือเขาแต่ตอนนี
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่