หัวเมืองสี่ทิศแม้ว่าการปฏิรูปภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินจะได้รับแรงต่อต้านอย่างหนัก แต่หยุนเจิงก็ยังไม่ได้เดินทางไปยังจิงหยางฝู่เขามีแผนรับมืออยู่แล้ว แต่ก็อยากดูว่าทัวฮวนและจี้หรานจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรโหวซื่อไคยังมาไม่ถึงหัวเมืองสี่ทิศ แต่หยุนเจิงก็ไม่ได้เอาแต่นั่งอยู่ในจวนอ๋องขณะนี้แม้อากาศยังไม่อบอุ่นขึ้น แต่ในดินแดนตอนในของแผ่นดินก็เริ่มมีการเตรียมตัวสำหรับการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้วเมื่อมีเวลาว่างหยุนเจิงก็พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินออกไปเดินสำรวจตามพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อดูว่าภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในหัวเมืองสี่ทิศมากน้อยเพียงใดด้วยภูเขาในบริเวณเป่ยลู่กวานที่ช่วยกั้นลมหนาว ทำให้ดินแดนตอนในอบอุ่นกว่ามากพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว ไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเพื่อหว่านเมล็ดพืชเหมือนที่ซั่วเป่ยแต่เมื่อเงยหน้ามองออกไป เขากลับเห็นว่าพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีพืชผลขึ้น แต่กลับเห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังทำงานอยู่หยุนเจิงเดินเข้าไป
แน่นอนว่ามาตรฐานเหล่านี้ใช้กับที่ดินชั้นดีเท่านั้นส่วนที่ดินชั้นต่ำกว่านั้นมาตรฐานของการเก็บเกี่ยวที่ถือว่าผลผลิตดีจะต่ำกว่านี้อีกตามกฎของราชสำนักข้าวสาลีซึ่งเป็นพืชอาหารหลักจะต้องปลูกแต่ก็ไม่สามารถปลูกได้ตามอำเภอใจไม่ว่าจะปลูกมากหรือน้อยก็ล้วนมีการจำกัดสัดส่วนอย่างเข้มงวดนอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องใช้ปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียนกันไปเพราะหลังจากปลูกถั่วแล้วดินจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นทำให้ปีถัดไปเมื่อปลูกพืชอื่นผลผลิตก็จะงอกงามกว่าเดิมชาวนาเฒ่าพยายามอธิบายอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดว่าพวกเขาจงใจปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าในแคว้นต้าเฉียนการจงใจปล่อยที่ดินให้รกร้างโดยไม่มีเหตุผลอันควรเป็นความผิดที่ต้องได้รับโทษหนักเมื่อฟังคำอธิบายของชาวนาอาวุโสหยุนเจิงก็เข้าใจทันทีหากไม่ได้ลงมาดูด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่รู้ว่ามีเรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้เกี่ยวกับการเกษตรเรื่องของที่ดินนี่ก็มีความรู้แฝงอยู่ไม่น้อยเช่นกันไม่อาจแยกตัวออกจากประชาชนได้จริงๆหยุนเจิงคิดในใจพลางถามต่อ “ที่ดินเหล่านี้เป็นของพวกเจ้าเองหรือเป็นของนายท่านคนใด?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของชาวนาอาวุโสเผยรอย
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ
ซูเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ แม้ว่าลี่เออร์จะไม่เป็นไรมาก แต่…”“หุบปาก!”จักรพรรดิเหวินเบิกพระเนตรจ้องไปที่ซูเฟย “เจ้าหกนิสัยเช่นไร ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้ดี! หากวันนี้ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่อง เจ้าหกจะกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสามหรือ ข้าก็ไม่อยากไล่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”ซูเฟยชะงักงัน ตอนนี้นางยิ้มไม่ออกแล้วจักรพรรดิเหวินปรามซูเฟยแล้วก็โบกพระหัตถ์ไปยังหยุนเจิงอย่างเหนื่อยล้า “แล้วเจ้าก็กลับไปขอโทษที่สามของเจ้าด้วย เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเช่นนี้เถอะ!”ซวยแล้ว!แสดงเกินบทบาท!หยุนเจิงค่อยๆ มองไปทางสวีสือฝู่กับซูเฟย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสองพี่น้องนี้จะกระโดดขึ้นมาคัดค้านแม้ว่าสวีสือฝู่กับซูเฟยไม่กล้าดื้อดึงสุดขีดอีก แต่คำพูดของจักรพรรดิเหวินเมื่อครู่นี้ได้ตัดความคิดที่จะเรียกร้องให้จักรพรรดิเหวินลดหยุนเจิงเป็นเพียงสามัญชนแล้วจากนี้ย่อมมีโอกาสจัดการหยุนเจิง!พอหยุนเจิงเห็นว่าคาดหวังอะไรจากคนตัวดีสองคนนี้ไม่ได้เลย เขาจึงคุกเข่าลง “ตุ้บ“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มีพระทัยกว้างขวาง!”หยุนเจิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต
แน่นอนว่ามาตรฐานเหล่านี้ใช้กับที่ดินชั้นดีเท่านั้นส่วนที่ดินชั้นต่ำกว่านั้นมาตรฐานของการเก็บเกี่ยวที่ถือว่าผลผลิตดีจะต่ำกว่านี้อีกตามกฎของราชสำนักข้าวสาลีซึ่งเป็นพืชอาหารหลักจะต้องปลูกแต่ก็ไม่สามารถปลูกได้ตามอำเภอใจไม่ว่าจะปลูกมากหรือน้อยก็ล้วนมีการจำกัดสัดส่วนอย่างเข้มงวดนอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องใช้ปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียนกันไปเพราะหลังจากปลูกถั่วแล้วดินจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นทำให้ปีถัดไปเมื่อปลูกพืชอื่นผลผลิตก็จะงอกงามกว่าเดิมชาวนาเฒ่าพยายามอธิบายอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดว่าพวกเขาจงใจปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าในแคว้นต้าเฉียนการจงใจปล่อยที่ดินให้รกร้างโดยไม่มีเหตุผลอันควรเป็นความผิดที่ต้องได้รับโทษหนักเมื่อฟังคำอธิบายของชาวนาอาวุโสหยุนเจิงก็เข้าใจทันทีหากไม่ได้ลงมาดูด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่รู้ว่ามีเรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้เกี่ยวกับการเกษตรเรื่องของที่ดินนี่ก็มีความรู้แฝงอยู่ไม่น้อยเช่นกันไม่อาจแยกตัวออกจากประชาชนได้จริงๆหยุนเจิงคิดในใจพลางถามต่อ “ที่ดินเหล่านี้เป็นของพวกเจ้าเองหรือเป็นของนายท่านคนใด?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของชาวนาอาวุโสเผยรอย
หัวเมืองสี่ทิศแม้ว่าการปฏิรูปภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินจะได้รับแรงต่อต้านอย่างหนัก แต่หยุนเจิงก็ยังไม่ได้เดินทางไปยังจิงหยางฝู่เขามีแผนรับมืออยู่แล้ว แต่ก็อยากดูว่าทัวฮวนและจี้หรานจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรโหวซื่อไคยังมาไม่ถึงหัวเมืองสี่ทิศ แต่หยุนเจิงก็ไม่ได้เอาแต่นั่งอยู่ในจวนอ๋องขณะนี้แม้อากาศยังไม่อบอุ่นขึ้น แต่ในดินแดนตอนในของแผ่นดินก็เริ่มมีการเตรียมตัวสำหรับการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้วเมื่อมีเวลาว่างหยุนเจิงก็พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินออกไปเดินสำรวจตามพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อดูว่าภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในหัวเมืองสี่ทิศมากน้อยเพียงใดด้วยภูเขาในบริเวณเป่ยลู่กวานที่ช่วยกั้นลมหนาว ทำให้ดินแดนตอนในอบอุ่นกว่ามากพื้นที่แถบนี้ส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว ไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเพื่อหว่านเมล็ดพืชเหมือนที่ซั่วเป่ยแต่เมื่อเงยหน้ามองออกไป เขากลับเห็นว่าพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แม้จะไม่มีพืชผลขึ้น แต่กลับเห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังทำงานอยู่หยุนเจิงเดินเข้าไป
แต่หยุนเจิงไม่มีทางให้เขามีเวลามากถึงเพียงนั้น!เรื่องที่จินผู่ก่อให้ปวดหัวไม่น้อย แต่หยุนลี่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอย่างน้อย เขาก็สามารถทดสอบขอบเขตความอดทนของพวกขุนนางตระกูลใหญ่ได้แล้วพร้อมกันนั้น เรื่องที่จินผู่ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถเดินหน้าปราบปรามพวกมันแบบฮึกเหิมเกินไปจำเป็นต้องใช้วิธีที่นุ่มนวลกว่านี้ถือเป็นบทเรียนอันมีค่าเลยก็ว่าได้!“ทางฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”สวีสือฝู่เอ่ยถามหยุนลี่ตอบทันที “เสด็จพ่อทรงรับสั่งว่า จะไม่มีทางประนีประนอมกับพวกมันอย่างเด็ดขาด แต่ให้ลองหาวิธีแก้ปัญหาที่อ่อนโยนขึ้น หากไม่เป็นผล ค่อยใช้กำลังเข้าจัดการ”“ไม่ควรประนีประนอมจริงๆ”สวีสือฝู่ครุ่นคิด ก่อนกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากราชสำนักยอมอ่อนข้อ ฝ่าบาทก็จะสูญเสียอำนาจและบารมีในราชสำนักไปอย่างมหาศาล”“เสด็จพ่อก็ตรัสเช่นนี้เหมือนกัน” หยุนลี่พยักหน้า “ดังนั้น ข้าจึงลำบากใจนัก”สวีสือฝู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ความจริง เรื่องนี้ท่านอาจไปปรึกษาเซียวว่านโฉวได้”“เซียวว่านโฉว?”หยุนลี่ขมวดคิ้วทันที “ทำไมต้องไปถามเซียวว่านโฉว?”เ
ยามบ่าย สวีสือฝู่เพิ่งเสร็จงาน กำลังคิดจะกลับจวนเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ แต่ทันใดนั้นเองก็มีคนของหยุนลี่มาแจ้งข่าว องค์รัชทายาทมีรับสั่งให้เขาไปประชุมที่จวนรัชทายาทแม้ว่าสวีสือฝู่จะรู้สึกเหนื่อยล้าเพียงใด แต่เมื่อหยุนลี่เรียกตัว เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้เขารู้ดีว่า เหตุผลที่องค์รัชทายาทเรียกพบเขา คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลขุนนางที่เมืองจินผู่ในมณฑลหยวนโจวแน่และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สวีสือฝู่ก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อยนี่เป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการลดทอนอำนาจของตระกูลขุนนางใหญ่และตระกูลขุนนางท้องถิ่นเขาเองก็ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้จะให้ตระกูลขุนนางและตระกูลขุนนางท้องถิ่นรับใช้ราชสำนักไปพร้อมกับหาทางลดทอนอำนาจของพวกมันไปด้วยหรือ? หากคนเหล่านั้นไม่ต่อต้าน เช่นนั้นจะให้พวกเขายื่นคอรอให้ราชสำนักเชือดกระนั้นหรือ?สิ่งเดียวที่นับว่าเป็นโชคดี ก็คือตระกูลขุนนางและตระกูลขุนนางท้องถิ่นยังคงรู้ขอบเขตของตนเอง พวกเขายังไม่ได้ถึงขั้นตัดสัมพันธ์กับราชสำนักโดยสิ้นเชิงหรือถึงขั้นยกทัพก่อกบฏแท้จริงแล้วหยุนเจิงไม่เห็นด้วยกับการลดทอนอำนาจของตระกูลขุนนางเหล่านี้ แต่ไม่ว่าองค์จักรพรรดิหรือองค์รัชท
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่สุดจุดสำคัญก็คือ การที่หยุนเจิงพยายามผลักดันภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินในฟู่โจว กำลังเผชิญกับแรงต่อต้านมหาศาลโดยเฉพาะบรรดาตระกูลขุนนางและเศรษฐีใหญ่ที่นำโดยตระกูลซูแห่งจวีผิง ต่างก็ขายที่ดินในราคาต่ำ ใช้เล่ห์เหลี่ยมโอนกรรมสิทธิ์ไปยังพวกผู้เช่าที่ดินแทนตอนนี้ พวกขุนนางและเศรษฐีใหญ่ในฟู่โจวแทบไม่มีใครยืนอยู่ข้างหยุนเจิงเลย!กล่าวได้ว่าหยุนเจิงทำให้ตระกูลขุนนางใหญ่และขุนนางชั้นผู้น้อยทั้งแคว้นฟู่โจวเป็นศัตรูไปหมดแล้ว!หากไม่ใช่เพราะเขามีกองกำลังติดอาวุธในมือ ไม่ต้องรอให้ราชสำนักลงมือ เพียงแค่ขุนนางและตระกูลเศรษฐีของฟู่โจวเอง ก็คงสามารถขับไล่หยุนเจิงออกจากฟู่โจวได้แล้ว!และหากหยุนเจิงยังคงดึงดันบังคับใช้“ภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดิน”ต่อไป ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเพิ่มรายได้ภาษีของฟู่โจว แต่อาจทำให้รายได้ภาษีในปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้วเสียอีก!หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าการปฏิรูปภาษีของหยุนเจิงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!เมื่อถึงเวลานั้น ราชสำนักก็ไม่จำเป็นต้องผลักดันระบบภาษีนี้ต่อไป!สำหรับราชสำนัก นี่มันเหมือนโชคดีสองชั้น!เมื่อได้ยินคำของฮั่ว
เมืองหลวงหลังจากเป็นประธานในที่ประชุมราชสำนักเสร็จ หยุนลี่ก็นั่งอยู่ในเกี้ยวด้วยสีหน้ามืดครึ้มพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่พวกนี้ ช่างกล้าท้าทายราชสำนักเสียจริง!เขาเพิ่งหาข้ออ้างถอดถอนอำนาจของแม่ทัพที่มาจากตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ไปไม่กี่คน ก็เกิดปัญหาโจรผู้ร้ายระบาดหนักในหลายพื้นที่พวกโจรไม่เพียงแค่ปล้นชิงชาวบ้านทั่วไป แต่ถึงขั้นบุกโจมตีที่ว่าการอำเภอ!มีอยู่แห่งหนึ่งถึงกับถูกพวกโจรตีแตก คลังหลวงถูกปล้นเงินไปจนหมด ข้าวสารในยุ้งฉางก็ถูกขนไปจนเกลี้ยง!แม่ทัพที่ทางราชสำนักส่งไปเพื่อเข้าควบคุมกองกำลังทหาร ก็เคยนำกำลังออกกวาดล้างโจรหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลวราวกับว่าเหล่าโจรรู้ความเคลื่อนไหวของทัพหลวงล่วงหน้า สามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ทำให้แผนกวาดล้างล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนนี้ แม่ทัพใหม่ที่ถูกส่งไปเริ่มไม่กล้าลงมือแล้วเพราะหากฝืนเคลื่อนไหว อาจจะตกเป็นเหยื่อของการซุ่มโจมตีก็เป็นได้!หยุนลี่มิใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าโจรพวกนี้คืออะไรมาแต่ต้นถึงตอนนี้กองทัพของราชสำนักยังไม่ถูกซุ่มโจมตี ก็เพราะพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ยังไม่อยากเปิดศึกกับราชสำนักโดยตรงเท่านั้น!
“ก็จริง! เพื่อให้เสียภาษีน้อยลง คนพวกนี้คิดหาทางได้ทุกวิถีทางจริงๆ”หยุนเจิงลูบคางพลางครุ่นคิด “พวกเราต้องหาทางโต้กลับให้ได้! หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นโยบายภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินก็คงล้มเหลวโดยสมบูรณ์!”“ข้าก็คิดหาทางแก้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ออก” เยี่ยจื่อพูดขึ้นอย่างปวดหัว “ตอนนี้ต่อให้เรายกเลิกภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินแล้วกลับไปใช้ระบบภาษีแบบเดิม มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกที่ขายที่ดินออกไปเลย”ที่ดินเหล่านั้น แม้ว่าภายนอกจะถูกขายไปแล้ว แต่แท้จริงแล้ว มันก็แค่ทำให้ผู้ซื้อกลายเป็นผู้เช่าที่ดินของพวกเศรษฐี ค่าเช่าที่ควรเก็บก็ยังคงเก็บได้ตามเดิม!ในสถานการณ์นี้ พวกเศรษฐีเหล่านี้ทำให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังแม้แต่เยี่ยจื่อก็ยังอดชื่นชมความฉลาดแกมโกงของพวกเขาไม่ได้หากพวกเขานำไหวพริบเช่นนี้ไปใช้กับการบริหารแผ่นดินหรือการศึกสงคราม เกรงว่าต้าเฉียนคงสามารถกวาดล้างแคว้นเป่ยหวนได้หมดแล้ว!“ดูท่าแล้ว ตระกูลซูแห่งจวีผิงจะจงใจสร้างปัญหาให้ข้าจริงๆ!”ดวงตาของหยุนเจิงฉายแววเย็นเยียบ “ข้าให้โอกาสพวกเขาแล้ว แต่พวกเขายังคิดจะบีบให้ข้าลงมือกับพว
เมื่อหยุนเจิงมาถึงศาลา ก็พบว่าเยี่ยจื่อนั่งอยู่ที่นั่น พลางลูบท้องที่นูนออกมา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลเพียงแค่เห็นท่าทางของเยี่ยจื่อ หยุนเจิงก็รู้สึกไม่พอใจทันที เร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งข้างนาง ก่อนจะโอบรอบเอวที่ตอนนี้อวบขึ้นชั่วคราวของนาง “ใครมันกล้ามาก่อเรื่องให้ข้าหงุดหงิด ดูสิทำให้ชายาของข้ากลุ้มใจถึงเพียงนี้!”กล่าวจบ หยุนเจิงยังบีบเบาๆ ที่เอวของเยี่ยจื่ออีกด้วย“อย่ามัวเล่นอยู่เลย!”เยี่ยจื่อสะบัดมือหยุนเจิงออกเบาๆ ก่อนจะยื่นจดหมายในมือให้อย่างเคร่งเครียด “เจ้าดูจดหมายฉบับนี้ก่อน แล้วดูว่ายังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกหรือไม่”อย่างไรก็ตาม “นิสัยจักรพรรดิผู้รักความสำราญ” ของหยุนเจิงก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้รีบร้อนดูจดหมายนั้น กลับยกมือขึ้นประคองใบหน้าของเยี่ยจื่อพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงฟ้าจะถล่มลงมา ข้าก็เป็นคนแบกรับเอง เจ้ากังวลไปไย? ยิ้มสักหน่อยเถิด”เยี่ยจื่อเผยอปาก ทำท่าจะกัดมือหยุนเจิง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่หลบ นางก็ทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา ซึ่งดูเหมือนจะยากยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก“พอเถอะๆ!”หยุนเจิงบีบแก้มของเยี่ยจื่อเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่ากังวลไปเลย”จากนั้น เ
“เช่นนี้หรือ…”หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเลาะไปตามแนวสันเขาของหุบเขาเมี่ยวอินและคนอื่นๆ ติดตามอยู่ไม่ห่างพวกเขาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จึงไปถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันตกของหุบเขาจากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของทั้งหุบเขาได้อย่างชัดเจนหุบเขาแห่งนี้กว้างใหญ่ รอบด้านล้อมด้วยแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนภายในหุบเขายังมีร่องรอยถูกเหยียบย่ำเป็นวงกว้าง คาดว่าเป็นรอยที่จ้าวจี๋และกองทัพของเขาทิ้งไว้เมื่อครั้งมาตั้งค่ายที่นี่หยุนเจิงกวาดตามองทั่วบริเวณคร่าวๆ ก็พบว่าหุบเขาแห่งนี้เหมาะสมกับการใช้เป็นสถานที่ตั้งสถาบันวิจัยยุทโธปกรณ์อย่างมากเพียงแต่ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ที่นี่อยู่ห่างจากติ้งเป่ยมากเกินไปเขาคงไม่สามารถเดินทางมาที่นี่บ่อยๆ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพวกช่างฝีมือได้อย่างไรก็ตาม งานพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ ต่อให้เขาคิดค้นแนวคิดใหม่ๆ ได้มากมาย สุดท้ายแล้วก็ยังต้องพึ่งพาฝีมือของพวกช่างเป็นหลัก เขาเป็นเพียงคนที่ให้แนวทางและแนวคิดเท่านั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็หันไปสั่งหวังเหิง “ไป นำทางข้าไปดูที่ลำธารสายเล็ก