เมืองหลวงหลังจากเป็นประธานในที่ประชุมราชสำนักเสร็จ หยุนลี่ก็นั่งอยู่ในเกี้ยวด้วยสีหน้ามืดครึ้มพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่พวกนี้ ช่างกล้าท้าทายราชสำนักเสียจริง!เขาเพิ่งหาข้ออ้างถอดถอนอำนาจของแม่ทัพที่มาจากตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ไปไม่กี่คน ก็เกิดปัญหาโจรผู้ร้ายระบาดหนักในหลายพื้นที่พวกโจรไม่เพียงแค่ปล้นชิงชาวบ้านทั่วไป แต่ถึงขั้นบุกโจมตีที่ว่าการอำเภอ!มีอยู่แห่งหนึ่งถึงกับถูกพวกโจรตีแตก คลังหลวงถูกปล้นเงินไปจนหมด ข้าวสารในยุ้งฉางก็ถูกขนไปจนเกลี้ยง!แม่ทัพที่ทางราชสำนักส่งไปเพื่อเข้าควบคุมกองกำลังทหาร ก็เคยนำกำลังออกกวาดล้างโจรหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลวราวกับว่าเหล่าโจรรู้ความเคลื่อนไหวของทัพหลวงล่วงหน้า สามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ทำให้แผนกวาดล้างล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนนี้ แม่ทัพใหม่ที่ถูกส่งไปเริ่มไม่กล้าลงมือแล้วเพราะหากฝืนเคลื่อนไหว อาจจะตกเป็นเหยื่อของการซุ่มโจมตีก็เป็นได้!หยุนลี่มิใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าโจรพวกนี้คืออะไรมาแต่ต้นถึงตอนนี้กองทัพของราชสำนักยังไม่ถูกซุ่มโจมตี ก็เพราะพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ยังไม่อยากเปิดศึกกับราชสำนักโดยตรงเท่านั้น!
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่สุดจุดสำคัญก็คือ การที่หยุนเจิงพยายามผลักดันภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินในฟู่โจว กำลังเผชิญกับแรงต่อต้านมหาศาลโดยเฉพาะบรรดาตระกูลขุนนางและเศรษฐีใหญ่ที่นำโดยตระกูลซูแห่งจวีผิง ต่างก็ขายที่ดินในราคาต่ำ ใช้เล่ห์เหลี่ยมโอนกรรมสิทธิ์ไปยังพวกผู้เช่าที่ดินแทนตอนนี้ พวกขุนนางและเศรษฐีใหญ่ในฟู่โจวแทบไม่มีใครยืนอยู่ข้างหยุนเจิงเลย!กล่าวได้ว่าหยุนเจิงทำให้ตระกูลขุนนางใหญ่และขุนนางชั้นผู้น้อยทั้งแคว้นฟู่โจวเป็นศัตรูไปหมดแล้ว!หากไม่ใช่เพราะเขามีกองกำลังติดอาวุธในมือ ไม่ต้องรอให้ราชสำนักลงมือ เพียงแค่ขุนนางและตระกูลเศรษฐีของฟู่โจวเอง ก็คงสามารถขับไล่หยุนเจิงออกจากฟู่โจวได้แล้ว!และหากหยุนเจิงยังคงดึงดันบังคับใช้“ภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดิน”ต่อไป ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเพิ่มรายได้ภาษีของฟู่โจว แต่อาจทำให้รายได้ภาษีในปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้วเสียอีก!หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าการปฏิรูปภาษีของหยุนเจิงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!เมื่อถึงเวลานั้น ราชสำนักก็ไม่จำเป็นต้องผลักดันระบบภาษีนี้ต่อไป!สำหรับราชสำนัก นี่มันเหมือนโชคดีสองชั้น!เมื่อได้ยินคำของฮั่ว
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ
ซูเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ แม้ว่าลี่เออร์จะไม่เป็นไรมาก แต่…”“หุบปาก!”จักรพรรดิเหวินเบิกพระเนตรจ้องไปที่ซูเฟย “เจ้าหกนิสัยเช่นไร ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้ดี! หากวันนี้ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่อง เจ้าหกจะกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสามหรือ ข้าก็ไม่อยากไล่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”ซูเฟยชะงักงัน ตอนนี้นางยิ้มไม่ออกแล้วจักรพรรดิเหวินปรามซูเฟยแล้วก็โบกพระหัตถ์ไปยังหยุนเจิงอย่างเหนื่อยล้า “แล้วเจ้าก็กลับไปขอโทษที่สามของเจ้าด้วย เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเช่นนี้เถอะ!”ซวยแล้ว!แสดงเกินบทบาท!หยุนเจิงค่อยๆ มองไปทางสวีสือฝู่กับซูเฟย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสองพี่น้องนี้จะกระโดดขึ้นมาคัดค้านแม้ว่าสวีสือฝู่กับซูเฟยไม่กล้าดื้อดึงสุดขีดอีก แต่คำพูดของจักรพรรดิเหวินเมื่อครู่นี้ได้ตัดความคิดที่จะเรียกร้องให้จักรพรรดิเหวินลดหยุนเจิงเป็นเพียงสามัญชนแล้วจากนี้ย่อมมีโอกาสจัดการหยุนเจิง!พอหยุนเจิงเห็นว่าคาดหวังอะไรจากคนตัวดีสองคนนี้ไม่ได้เลย เขาจึงคุกเข่าลง “ตุ้บ“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มีพระทัยกว้างขวาง!”หยุนเจิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่จุดสำคัญที่สุดจุดสำคัญก็คือ การที่หยุนเจิงพยายามผลักดันภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินในฟู่โจว กำลังเผชิญกับแรงต่อต้านมหาศาลโดยเฉพาะบรรดาตระกูลขุนนางและเศรษฐีใหญ่ที่นำโดยตระกูลซูแห่งจวีผิง ต่างก็ขายที่ดินในราคาต่ำ ใช้เล่ห์เหลี่ยมโอนกรรมสิทธิ์ไปยังพวกผู้เช่าที่ดินแทนตอนนี้ พวกขุนนางและเศรษฐีใหญ่ในฟู่โจวแทบไม่มีใครยืนอยู่ข้างหยุนเจิงเลย!กล่าวได้ว่าหยุนเจิงทำให้ตระกูลขุนนางใหญ่และขุนนางชั้นผู้น้อยทั้งแคว้นฟู่โจวเป็นศัตรูไปหมดแล้ว!หากไม่ใช่เพราะเขามีกองกำลังติดอาวุธในมือ ไม่ต้องรอให้ราชสำนักลงมือ เพียงแค่ขุนนางและตระกูลเศรษฐีของฟู่โจวเอง ก็คงสามารถขับไล่หยุนเจิงออกจากฟู่โจวได้แล้ว!และหากหยุนเจิงยังคงดึงดันบังคับใช้“ภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดิน”ต่อไป ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเพิ่มรายได้ภาษีของฟู่โจว แต่อาจทำให้รายได้ภาษีในปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีที่แล้วเสียอีก!หากเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าการปฏิรูปภาษีของหยุนเจิงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!เมื่อถึงเวลานั้น ราชสำนักก็ไม่จำเป็นต้องผลักดันระบบภาษีนี้ต่อไป!สำหรับราชสำนัก นี่มันเหมือนโชคดีสองชั้น!เมื่อได้ยินคำของฮั่ว
เมืองหลวงหลังจากเป็นประธานในที่ประชุมราชสำนักเสร็จ หยุนลี่ก็นั่งอยู่ในเกี้ยวด้วยสีหน้ามืดครึ้มพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่พวกนี้ ช่างกล้าท้าทายราชสำนักเสียจริง!เขาเพิ่งหาข้ออ้างถอดถอนอำนาจของแม่ทัพที่มาจากตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ไปไม่กี่คน ก็เกิดปัญหาโจรผู้ร้ายระบาดหนักในหลายพื้นที่พวกโจรไม่เพียงแค่ปล้นชิงชาวบ้านทั่วไป แต่ถึงขั้นบุกโจมตีที่ว่าการอำเภอ!มีอยู่แห่งหนึ่งถึงกับถูกพวกโจรตีแตก คลังหลวงถูกปล้นเงินไปจนหมด ข้าวสารในยุ้งฉางก็ถูกขนไปจนเกลี้ยง!แม่ทัพที่ทางราชสำนักส่งไปเพื่อเข้าควบคุมกองกำลังทหาร ก็เคยนำกำลังออกกวาดล้างโจรหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลวราวกับว่าเหล่าโจรรู้ความเคลื่อนไหวของทัพหลวงล่วงหน้า สามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ทำให้แผนกวาดล้างล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนนี้ แม่ทัพใหม่ที่ถูกส่งไปเริ่มไม่กล้าลงมือแล้วเพราะหากฝืนเคลื่อนไหว อาจจะตกเป็นเหยื่อของการซุ่มโจมตีก็เป็นได้!หยุนลี่มิใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าโจรพวกนี้คืออะไรมาแต่ต้นถึงตอนนี้กองทัพของราชสำนักยังไม่ถูกซุ่มโจมตี ก็เพราะพวกตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ยังไม่อยากเปิดศึกกับราชสำนักโดยตรงเท่านั้น!
“ก็จริง! เพื่อให้เสียภาษีน้อยลง คนพวกนี้คิดหาทางได้ทุกวิถีทางจริงๆ”หยุนเจิงลูบคางพลางครุ่นคิด “พวกเราต้องหาทางโต้กลับให้ได้! หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นโยบายภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินก็คงล้มเหลวโดยสมบูรณ์!”“ข้าก็คิดหาทางแก้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ออก” เยี่ยจื่อพูดขึ้นอย่างปวดหัว “ตอนนี้ต่อให้เรายกเลิกภาษีที่ดินแบ่งตามพื้นที่ดินแล้วกลับไปใช้ระบบภาษีแบบเดิม มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกที่ขายที่ดินออกไปเลย”ที่ดินเหล่านั้น แม้ว่าภายนอกจะถูกขายไปแล้ว แต่แท้จริงแล้ว มันก็แค่ทำให้ผู้ซื้อกลายเป็นผู้เช่าที่ดินของพวกเศรษฐี ค่าเช่าที่ควรเก็บก็ยังคงเก็บได้ตามเดิม!ในสถานการณ์นี้ พวกเศรษฐีเหล่านี้ทำให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังแม้แต่เยี่ยจื่อก็ยังอดชื่นชมความฉลาดแกมโกงของพวกเขาไม่ได้หากพวกเขานำไหวพริบเช่นนี้ไปใช้กับการบริหารแผ่นดินหรือการศึกสงคราม เกรงว่าต้าเฉียนคงสามารถกวาดล้างแคว้นเป่ยหวนได้หมดแล้ว!“ดูท่าแล้ว ตระกูลซูแห่งจวีผิงจะจงใจสร้างปัญหาให้ข้าจริงๆ!”ดวงตาของหยุนเจิงฉายแววเย็นเยียบ “ข้าให้โอกาสพวกเขาแล้ว แต่พวกเขายังคิดจะบีบให้ข้าลงมือกับพว
เมื่อหยุนเจิงมาถึงศาลา ก็พบว่าเยี่ยจื่อนั่งอยู่ที่นั่น พลางลูบท้องที่นูนออกมา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลเพียงแค่เห็นท่าทางของเยี่ยจื่อ หยุนเจิงก็รู้สึกไม่พอใจทันที เร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งข้างนาง ก่อนจะโอบรอบเอวที่ตอนนี้อวบขึ้นชั่วคราวของนาง “ใครมันกล้ามาก่อเรื่องให้ข้าหงุดหงิด ดูสิทำให้ชายาของข้ากลุ้มใจถึงเพียงนี้!”กล่าวจบ หยุนเจิงยังบีบเบาๆ ที่เอวของเยี่ยจื่ออีกด้วย“อย่ามัวเล่นอยู่เลย!”เยี่ยจื่อสะบัดมือหยุนเจิงออกเบาๆ ก่อนจะยื่นจดหมายในมือให้อย่างเคร่งเครียด “เจ้าดูจดหมายฉบับนี้ก่อน แล้วดูว่ายังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกหรือไม่”อย่างไรก็ตาม “นิสัยจักรพรรดิผู้รักความสำราญ” ของหยุนเจิงก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้รีบร้อนดูจดหมายนั้น กลับยกมือขึ้นประคองใบหน้าของเยี่ยจื่อพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงฟ้าจะถล่มลงมา ข้าก็เป็นคนแบกรับเอง เจ้ากังวลไปไย? ยิ้มสักหน่อยเถิด”เยี่ยจื่อเผยอปาก ทำท่าจะกัดมือหยุนเจิง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่หลบ นางก็ทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา ซึ่งดูเหมือนจะยากยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก“พอเถอะๆ!”หยุนเจิงบีบแก้มของเยี่ยจื่อเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่ากังวลไปเลย”จากนั้น เ
“เช่นนี้หรือ…”หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเลาะไปตามแนวสันเขาของหุบเขาเมี่ยวอินและคนอื่นๆ ติดตามอยู่ไม่ห่างพวกเขาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จึงไปถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันตกของหุบเขาจากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของทั้งหุบเขาได้อย่างชัดเจนหุบเขาแห่งนี้กว้างใหญ่ รอบด้านล้อมด้วยแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนภายในหุบเขายังมีร่องรอยถูกเหยียบย่ำเป็นวงกว้าง คาดว่าเป็นรอยที่จ้าวจี๋และกองทัพของเขาทิ้งไว้เมื่อครั้งมาตั้งค่ายที่นี่หยุนเจิงกวาดตามองทั่วบริเวณคร่าวๆ ก็พบว่าหุบเขาแห่งนี้เหมาะสมกับการใช้เป็นสถานที่ตั้งสถาบันวิจัยยุทโธปกรณ์อย่างมากเพียงแต่ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ที่นี่อยู่ห่างจากติ้งเป่ยมากเกินไปเขาคงไม่สามารถเดินทางมาที่นี่บ่อยๆ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพวกช่างฝีมือได้อย่างไรก็ตาม งานพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ ต่อให้เขาคิดค้นแนวคิดใหม่ๆ ได้มากมาย สุดท้ายแล้วก็ยังต้องพึ่งพาฝีมือของพวกช่างเป็นหลัก เขาเป็นเพียงคนที่ให้แนวทางและแนวคิดเท่านั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็หันไปสั่งหวังเหิง “ไป นำทางข้าไปดูที่ลำธารสายเล็ก
เช้าตรู่ เสิ่นควานและพวกก็เริ่มวุ่นวายกันแล้วผู้ที่ดูแลม้าก็รีบให้อาหารม้า ผู้ที่ดูแลอาวุธก็รีบตรวจสอบอาวุธเพียงแค่ดูจากท่าทางของพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่า วันนี้หยุนเจิงจะต้องออกเดินทางแน่นอนอวี๋ฝู กำลังจัดการงานภายในจวนอ๋องอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนที่เสิ่นควานส่งมาตามตัว “พ่อบ้านอวี๋ แม่ทัพเสิ่นให้เจ้าช่วยเตรียมถั่วเลี้ยงม้าสองหาบ พวกเราจะนำไปด้วยในภายหลัง”ถั่วเลี้ยงม้า?อวี๋ฝูอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ได้ๆ ข้าจะสั่งให้คนเตรียมให้เดี๋ยวนี้! ท่านอ๋องจะเดินทางไกลรึ? สองหาบถั่วเลี้ยงม้าจะพอหรือ?”เขารู้ดีว่า หากต้องเดินทางไกล จำเป็นต้องมีถั่วเลี้ยงม้าเพื่อช่วยเพิ่มพละกำลังให้กับม้าแต่แค่สองหาบมันนับเป็นอะไรได้?เพียงแค่กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงก็มีกว่าสองพันนาย!คงจะไม่แบ่งกันแค่คนละหนึ่งถึงสองกำมือก็หรอกนะ?กองทหารองครักษ์ที่มารับคำสั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับว่า “แม่ทัพเสิ่นให้เตรียมสองหาบ ก็คงพอแล้ว”“ก็ได้!”อวี๋ฝูพยักหน้า “แต่ถ้าหากไม่พอ ก็บอกข้าล่วงหน้า ข้าจะได้ให้คนเตรียมเพิ่มเติม”“เข้าใจแล้ว!”กองทหารองครักษ์รับคำ ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินจากไปอวี๋ฝูมอง
แม้ว่าทุกคนในจวนอ๋องจะไม่ได้ถือว่าซินเซิงเป็นคนนอก แต่ไม่ว่าอย่างไร ซินเซิงก็เป็นเพียงสาวรับใช้ใหญ่หยุนเจิงอาจไม่ใส่ใจเรื่องยศศักดิ์ฐานะ แต่ซินเซิงกลับไม่อาจไม่ใส่ใจได้!เมื่อได้ยินคำของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงถึงกับหมดคำพูดส่วนซินเซิงใบหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนก “บ่าวไม่กล้าเพคะ!”“พอเถิด ข้าเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มพลางรับตัวหยุนชางจากมือซินเซิง “ชางเอ๋อร์คงหิวแล้ว ข้าจะให้นมเขา เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”“บ่าวขอตัวเพคะ!”ซินเซิงกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเดินออกไปด้วยท่าทางคล้ายกับหนีเอาตัวรอดเมื่อเห็นท่าทีของซินเซิง เสิ่นลั่วเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ นางอุ้มหยุนชางนั่งลงให้นมเด็กน้อย ก่อนจะหันไปเย้าแหย่หยุนเจิง “เจ้ามิได้คิดจะรับนางเข้าห้องหอจริงๆ หรือ?”“…”หยุนเจิงหมดคำพูด “เจ้าถึงกับหวังให้ข้ารับนางขนาดนั้นเลยหรือ?”พูดตามตรง หยุนเจิงไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นกับซินเซิงมาก่อนด้านหนึ่งก็เพราะตอนที่เขาซื้อนางเข้าจวนมา นางยังเด็กนัก จึงมองนางเป็นเหมือนน้องสาวมากกว่าอีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาพบพานหญิงงามมามากมายอีกด้านหนึ่งหากพูดถึ
เมื่อพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนสามคนเข้ามาแล้ว จวนอ๋องนี้ก็มีนายหญิงเสียทีแน่นอนว่าหลังจากพวกนางมาถึง หยุนเจิงก็ยิ่งเพิ่มมาตรการป้องกันให้กับจวนอ๋องมากขึ้นตกค่ำ หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยล้า หยุนเจิงแม้จะกระหายมานาน แต่ก็เกรงใจเกินกว่าจะรบกวนเสิ่นลั่วเยี่ยนและเยี่ยจื่อที่เดินทางไกลมา จึงคว้าตัวเมี่ยวอินมาจัดการเสียแทนดีที่เมี่ยวอินเกิดมาพร้อมความอ่อนหวานเย้ายวน สามารถรับมือกับหยุนเจิงได้อย่างทัดเทียมรุ่งเช้า เมื่อหยุนเจิงตื่นขึ้นมา เมี่ยวอินยังคงหลับใหลมองดูหญิงงามในห้วงนิทรา หยุนเจิงอดมิได้ที่จะเกิดความเอ็นดูขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงจุมพิตเบาๆบนแก้มงามของเมี่ยวอิน“อืม…”เมี่ยวอินส่งเสียงครางแผ่วเบาแฝงความเย้ายวน พลางพึมพำอย่างสะลึมสะลือ “ไม่เอาแล้ว…เจ้าไปหาเสิ่นลั่วเยี่ยนหรือเยี่ยจื่อเถอะ! ไม่อย่างนั้นก็ไปหาซินเซิงนั่นก็ได้…”ได้ยินเช่นนี้ หยุนเจิงถึงกับหมดคำพูดหรือว่าแม้แต่ในยามหลับ เมี่ยวอินก็ยังคงคิดว่าเขากำลังประลองฝีมืออยู่หยุนเจิงหัวเราะเบาๆมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแต่งกายให้เรียบร้อยทันทีที่ออกจากห้อง ก็พบว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังฝึกยุทธ์อยู่ในลานเรือ
หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสั่งให้คนไปเรียกอวี๋ฝูมา “พระชายาอ๋อง กล่าวว่าพวกเราไม่ได้พักอยู่ที่นี่บ่อยนัก การมีข้ารับใช้มากเกินไปในจวนอ๋อง ก็ไม่ใช่เรื่องดี! เช่นนี้แล้ว เจ้าจงคัดเลือกข้ารับใช้ที่มีไหวพริบดีสักห้าคนให้อยู่ต่อ ส่วนที่เหลือ แจกเงินให้คนละห้าตำลึง แล้วปล่อยพวกเขาไปเถอะ!”เมื่อจำนวนคนลดลง การจับตาดูก็จะง่ายขึ้นก่อนหน้านี้มีข้ารับใช้มากมาย หากต้องจับตาทุกคน คงเป็นเรื่องยากไม่น้อยอวี๋ฝูตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมา ก็กระวนกระวายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง จะให้เหลือเพียงห้าคนเท่านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? จะให้ข้าเก็บไว้มากกว่านี้อีกหน่อยดีหรือไม่?”“เก็บไว้มากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์”หยุนเจิงส่ายหน้า “ครั้งนี้พวกเราจะพักอยู่ที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจวนนี้ก็จะถูกปล่อยว่างเป็นส่วนใหญ่ ขอแค่มีคนดูแลทำความสะอาดก็เพียงพอแล้ว”อวี๋ฝูได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโค้งคำนับกล่าวว่า “ข้าน้อยขอขอบพระคุณในพระกรุณาธิคุณแทนพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางยิ้ม “อย่าขอบคุณข้า หากจะขอบคุณ ก็ไปขอบคุณ พระชายาอ๋องเถอะ”“ขอบพระคุณพระชายาอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”อวี๋ฝูรีบหันไปโค้ง