“ขอโทษหรือเพคะ?”เยี่ยจื่อทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ กัดฟันกรอดและถามว่า “มือของท่านยังเป็นตะคริวหรือไม่เพคะ?”“เป็นตะคริว?” หยุนเจิงงุนงง และพูดโดยไม่รู้ตัวว่า “มือของข้าไม่ได้...”เมื่อพูดได้เพียงครึ่งเดียว หยุนเจิงก็ชะงักในทันทีให้ตายเถอะ!เจ้าเด็กซินเซิงคงไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาทำท่าทางแบบนั้นให้เยี่ยจื่อฟังหรอกนะ?ตายๆ!อย่าได้ทำเรื่องน่าอายต่อผู้อื่นจะได้หรือไม่!เจ้าเด็กคนนี้ก็เหลือทน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดให้คนนอกฟังเสียหมด!“แค่กๆ...”หยุนเจิงยังคงหน้าแดงก่ำ หัวเราะแห้งๆ และพูดว่า “ดี... ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้เป็นตะคริวแล้ว!”เยี่ยจื่อจ้องไปที่มือของหยุนเจิงด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร “ให้ข้าช่วยนวดให้ท่านดีกว่าเพคะ!”นวดงั้นหรือ?ข้าไม่ได้อยากนวดขนาดนั้นเสียหน่อย!หยุนเจิงแอบบ่นอยู่ในใจ แต่กลับโบกมือและพูดด้วยความเคร่งขรึมว่า “ไม่ต้องหรอก หากมีคนมาเห็นว่าเจ้านวดให้ข้า เกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็นเอาได้”เยี่ยจื่อจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ และนั่งลงด้วยความเดือดพล่านจนหายใจไม่ทันหยุนเจิงหัวเราะออกมาด้วยความอึดอัดใจ และหยิบไหเหล้าเพื่อรินเหล้าให้แก่เยี่ยจื่อเมื่อเห็น
ค่ำคืนนี้ ทั้งหยุนเจิงและเยี่ยจื่อต่างก็นอนไม่หลับดังนั้นยามตื่นเช้ามา ทั้งสองจึงหาวตลอดวันถึงแม้จะผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว ทว่าทั้งสองก็ยังคงมีความเขินอายต่อกันยามพบหน้ากันอยู่โชคดีที่หยุนเจิงหน้าหนาอยู่บ้าง ทำให้คนอื่นไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติหลังจากรับอาหารเสร็จสรรพ หยุนเจิงก็พาองครักษ์สี่คนเดินทางไปที่กองทหารเสิ่นอู่ทันทีในกองทหารทั้งหกของเมืองจักรพรรดิมีเพียงกองทหารเสิ่นอู่และกองทหารอวี่หลินเท่านั้นที่ประจำการอยู่ในเมืองขณะที่พวกเขาเดินทางมาถึงกองทหารเสิ่นอู่ เซียวติ้งอู่ก็ได้พารองแม่ทัพมารอที่หน้าประตูค่ายแล้ว“คาระวะองค์ชายหก!”เซียวติ้งอู่เป็นบุตรชายคนโตของเซียวว่านโฉว และเป็นผู้บัญชาการของกองทหารเสิ่นอู่ด้วยกองทหารเสิ่นอู่มีทหารไม่เกินหนึ่งหมื่นห้านาย แต่ล้วนแต่ถูกคัดมาอย่างดีหยุนเจิงส่งสัญญาณให้เซียวติ้งอู่ไม่ต้องมากพิธี แล้วกล่าวว่า “พาข้าเดินชมบริเวณค่ายก่อนเถอะ!”“ขอรับ!”เซียวติ้งอู่ตอบรับในทันที “ม้ารบจำนวนหกร้อยตัวที่องค์ชายชนะมาให้นั้น ได้แก้ไขสถานการณ์เร่งด่วนของเรา กระหม่อมจะพาองค์ชายไปดูทหารม้าของเราก่อน!”“เอ่อ…ได้!”หยุนเจิงพยักหน้า แอบก่นด่าว่าคน
“มีเพียงหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคนเท่านั้น”เซียวติ้งอู่ตอบ “หากไม่ใช่เพราะองค์ชายทรงชนะม้ารบของคณะทูตเป่ยหวนมาได้ล่ะก็ กองทหารม้าทั้งกองทหารเสิ่นอู่คงมีไม่ถึงหนึ่งพันนาย!”เซียวติ้งอู่รู้ว่าหยุนเจิงไม่รู้สถานการณ์ของกองทหารทั้งหกแห่งเมืองจักรพรรดิแน่นอน เขาจึงเริ่มอธิบายให้หยุนเจิงฟังก่อนหน้านั้น กองทหารทั้งหกแห่งเมืองจักรพรรดิมีทหารม้าไม่ถึงหกพันนายด้วยซ้ำองครักษ์อวี่หลินที่เป็นองครักษ์ราชวัง ก็แทบจะไม่มีทหารม้าเพราะองครักษ์อวี่หลินเองก็ไม่สามารถรวมตัวทหารม้าให้มาฝึกซ้อมในราชวังหลวงทั้งวันได้เดิมกองทหารเสิ่นอู่มีทหารม้าอยู่หนึ่งพันนาย แต่ทว่าเพราะเมื่อปีก่อนได้สูญเสียม้ารบที่แก่ชราและอ่อนแอไปบ้าง และไม่มีม้ารบตัวใหม่มาแทนที่ จึงทำให้ทหารม้ามีไม่ถึงหนึ่งพันนายส่วนกองทหารฝ่ายซ้ายขวาเองก็เหมือนกับกองทหารเสิ่นอู่ มีทหารม้าไม่ถึงหนึ่งพันนายเช่นเดียวกันถึงแม้จะเป็นองครักษ์ทหารม้าฝ่ายซ้ายขวาที่มีทหารม้ามากที่สุด ก็ยังมีกองทหารม้าไม่ถึงหนึ่งพันห้าร้อยนายเมื่อได้ยินการแนะนำของเซียวติ้งอู่ หยุนเจิงก็อึ้งอย่างอดไม่ได้เขารู้ว่าแคว้นต้าเฉียนขาดแคลนกองทหารม้ามากแต่ทว่าไม่คาดคิดว่าจะ
เที่ยงวัน เซียวว่านโฉวทั้งบ้านต้อนรับหยุนเจิงอย่างอบอุ่นเซียวว่านโฉวเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ในอดีตเขาจะดูถูกหยุนเจิงเหมือนเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ทั้งราชวัง แต่ทว่าพฤติกรรมของหยุนเจิงในช่วงที่คณะทูตเป่ยหวนมาเยี่ยมเยือนนั้น ก็มากพอที่จะเปลี่ยนสายตาที่มองหยุนเจิงได้แล้วเซียวว่านโฉวเองก็รู้ดีว่าที่จักรพรรดิเหวินให้เซียวติ้งอู่สอนทักษะการทำสงครามกับหยุนเจิงนั้นเป็นการเตรียมตัวให้กับหยุนเจิงก่อนจะเดินทางไปซั่วเป่ยรู้ดีว่าเรื่องที่หยุนเจิงเดินทางไปซั่วเป่ยนั้นได้ตัดสินแล้ว เซียวว่านโฉวยังปลอบใจหยุนเจิงไม่หยุดจริงๆ แล้วเป่ยหวนไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เป่ยหวนมีทหารเหล็กหกแสนนายที่ไหนกัน?เกรงว่าทหารม้าที่เป่ยหวนจัดเตรียมไว้นั้นอาจจะไม่ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นนายด้วยซ้ำเพียงเพราะคนแคว้นเป่ยหวนนั้นเติบโตบนหลังม้า และยังมีสรรพยากรม้ารบจำนวนมาก ขอเพียงมีสงครามเต็มรูปแบบเกิดขึ้น เป่ยหวนก็พร้อมที่จะเรียกใช้กำลังทหารม้าจำนวนหลานแสนนายออกมาได้ทันทีดังนั้น อยู่ดีไม่ว่าดีเป่ยหวนจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นทหารม้าเหล็กหกแสนนายแต่ทว่าการเรียกทหารม้ามากะทันหันกับการเตรียมทหารม้าไว้ก่อนแล้วนั้นมีควา
เรื่องของเมื่อวาน นางเองก็โดนหางเลขไปด้วยนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิเหวินเย็นชาต่อนางขึ้นไม่น้อยหากเป็นเช่นนี้อีกต่อไป เกรงว่านางจะสูญเสียความโปรดปรานเสียแล้ว!“เฮ้อ!”สวีสือฝู่ถอนหายใจด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง “สถานการณ์ของลี่เออร์ตอนนี้ไม่ดีเอาเป็นอย่างมาก ต้องให้ลี่เออร์สร้างผลงานมาสร้างความพึงพอพระทัยแด่ฝ่าบาท...”“ประเด็นคือจะทำเรื่องอย่างไรเล่า!”หยุนลี่กัดฟันแล้วแค่นเสียงต่ำ “แล้วท่านคิดว่าตอนนี้ต้องทำอะไรถึงจะทำให้เสด็จพ่อพอพระทัยเล่า?”ไร้สาระ!คิดว่าเขาไม่อยากทำให้เสด็จพ่อพอพระทัยหรืออย่างไร?แต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจถึงอารมณ์ของจักรพรรดิเหวินเลยสักนิด ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรตอนนี้เขาโดนจักรพรรดิเหวินตีจนกลัวแล้วเกรงว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้จักรพรรดิเหวินพอพระทัย แต่จะโดนด่าโดนโบยแทนหากเป็นเช่นนี้ไปอีกสองสามครั้ง เขาคงถูกตีถูกโบยจนพิการไปแล้ว!สวีสือฝู่ครุ่นคิดเพียงครู่ รีบตอบว่า “ก่อนอื่น เจ้าไม่สามารถหาเรื่องหยุนเจิงได้อีก ไม่เพียงแต่จะหาเรื่องเขาไม่ได้เท่านั้น ยังต้องทำดีต่อเขาด้วย!”“อะไรนะ?”หยุนลี่พอได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่อยากทำแล้ว เขากัดฟันกรอดแล้วพูดว่
เมื่อหยุนเจิงมาถึงที่ร้านตีเหล็ก ที่นี่กำลังยุ่งจนเปลวไฟแทบลุกหลังจากที่ช่างตีเหล็กสองสามคนทำการคาราวะหยุนเจิงแล้วก็นำหอกยาวที่เพิ่งหลอมเสร็จยื่นไปข้างหน้าราวกับว่ากำลังถวายสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นหอกยาวนี้มีสองส่วนบริเวณตรงกลางมีรูยามไม่ใช้งาน สามารถแบ่งหอกยาวนี้เป็นสองส่วน เก็บใส่เข้าไปในกระเป๋าหนังวัวได้ สะดวกต่อการพกพายามใช้งานก็สามารถนำมาประกอบกันเป็นหอกยาวหยุนเจิงมองหอกยาวที่อยู่ตรงหน้า ก็ดีใจเป็นอย่างมาก“ตบรางวัล! คนละยี่สิบตำลึงเงิน!”แม้ว่าหยุนเจิงจะไม่ค่อยสบอารมณ์ เขาก็ยังใจกว้างขวางกว่าปกติด้วยเขาคิดว่าพวกช่างตีเหล็กพวกนี้จะไม่สามารถทำรูเชื่อมตรงกลางออกมาได้เสียอีก!คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถเจาะรูตรงกลางจากแรงงานคนออกมาได้จริงๆเขาพบว่า ตนดูถูกสติปัญญาของพวกช่างตีเหล็กพวกนี้เกินไปเสียแล้ว“ขอบพระทัยองค์ชายหก!”พวกเขาสองสามคนรีบกล่าวขอบคุณอย่างตื้นตัน“นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าควรได้!”หยุนเจิงมองไปยังคนเหล่านี้อย่างพึงพอใจในใจเขาเข้าใจดีว่า มันยากเย็นเพียงใดในหลายวันมานี้กว่าจะหล่อหอกมาได้คาดว่า สองสามคนนี้คงไม่ได้หลับตานอนเลยในหลายวันมานี้หยุนเ
หยุนเจิงกรอกตามองบนใส่นาง รับถุงหนังวัวจากมือเกาเหอมา แล้วหยิบหอกสั้นมา“นี่คือหอกหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ่งดูแคลนขึ้นไปใหญ่ “นี่เจ้าแยกไม่ออกแม้กระทั่งระหว่างหอกกับแท่งเหล็กหรือไง?”หยุนเจิงคร้านจะตอบนาง แล้วค่อยหยิบหอกท่อนที่เหลือออกมาหยุนเจิงทำการต่อหอกทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันภายใต้สายตาที่สงสัยของพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนในทันใดนั้น หอกเหล็กยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าพวกนางหอกทั้งเล่มนั้นเป็นเหล็กลายบุปผา ไม่เพียงส่องแสงประกายระยิบระยับ แต่ยังมีลายดอกไม้แสงประณีตอีกด้วยทันใดนั้นสองตาของเสิ่นลั่วเยี่ยนก็ส่องแสงประกาย รีบแย่งหอกในมือไปทันที นางออกแรงดึงออก แต่ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออกเสียที “นี่เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปยังหยุนเจิงด้วยความตกใจและความประหลาดใจ “แล้วจะแยกอย่างไร?” หยุนเจิงกลอกตามองบนใส่นาง เอาหอกมาแล้วบิดซ้ายขวา หอกด้ามยาวถูกแยกออกเป็นสองท่อนอีกคราเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังอยากจะลองลงมือทำด้วยตนเอง หยุนเจิงกลับยื่นหอกที่ถูกออกแบ่งเป็นสองท่อนให้เกาเหอ “ในเมื่อลั่วเยี่ยนไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าก็แล้วกัน” พอเสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาท
เมื่อกลับมาถึงจวน หยุนเจิงก็นั่งคิดไตร่ตรองอยู่ลานหลังจวนเขาครุ่นคิดจนเคลิบเคลิ้มไป กระทั่งเยี่ยจื่อทอดน่องเข้ามาใกล้แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเยี่ยจื่อนั่งลงตรงหน้าเขา เขาถึงจะรู้สึกตัวขึ้น“คิดวางแผนเล่นงานผู้ใดอยู่อีกหรือ?”เยี่ยจื่อกล่าวถามหยอกล้อ“ข้าไม่ได้คิดวางแผนเล่นงานใครเลยจริงๆ”หยุนเจิงส่ายหน้า “ข้ากำลังวางกลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งอยู่ แต่มีบางอย่างที่ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่”เยี่ยจื่อประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านก็มีวันที่ไม่แน่ใจเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”“ก็มีน่ะสิ”หยุนเจิงยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็เล่าถึงเรื่องสำคัญที่ตนเองกำลังครุ่นคิดอยู่เขากำลังไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่าจะถวายวิธีการสร้างเหล็กลายบุปผาให้กับจักรพรรดิเหวินดีหรือไม่!นี่เป็นเรื่องที่เขาไตร่ตรองมาโดยตลอดหลังจากที่ออกมาจากจวนสกุลเสิ่นเขาตระหนักรู้ได้ว่าลำพังเพียงช่างเหล็กไม่กี่คน คุณภาพที่ผลิตออกมาต่ำมากเกินไป!ถวายวิธีการสร้างเหล็กให้กับจักรพรรดิเหวิน อย่างน้อยก็น่าจะมีรางวัลบ้าง และสิ่งที่ตามมาก็คือความนิยมของอาวุธที่ทำมาจากวัสดุเช่นนี้ มันไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาในอนาคตเลยแต่หากไม่ถว