“เจ้า...”เมื่อเห็นหยุนเจิงขีดฆ่าแม้กระทั่งเครื่องมือการเกษตร เจียเหยาก็รีบร้อนจนแทบโวยวายขึ้นมา “ข้าขอสาบานต่อเทพเจ้าหมาป่าว่าข้าจะไม่เอาเครื่องมือเหล่านี้ไปตีเป็นอาวุธ! เราเองก็ต้องการเพาะปลูกเหมือนกัน อย่างไรพวกเราก็เป็นสามีภรรยากัน เจ้าจะต้องระแวงข้าเหมือนขโมยไปถึงไหนกัน?”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย “ที่ข้าระแวงเจ้าก็เพราะเจ้าไม่ซื่อสัตย์นั่นแหละ”“ข้ายังไม่ซื่อสัตย์พออีกหรือ?”เจียเหยากล่าวด้วยความไม่พอใจ “ตอนนี้ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่างแล้ว! ใช่ ข้ายอมรับว่าข้ายังไม่พอใจนัก แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ที่จะไปเปิดศึกกับเจ้า ข้าแค่อยากพักฟื้นกำลัง ค่อยๆ ฟื้นฟูประชาชน ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์อย่างสงบสุขเท่านั้น”เมื่อเห็นเจียเหยากำลังโมโหจริงจัง หยุนเจิงก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ “เอาล่ะ ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากัน ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน!”“นั่นแหละถูกต้อง!”ในที่สุดเจียเหยาก็ยิ้มออก “ตกลงตามนี้นะ เรื่องราคาค่อยว่ากันอีกทีหลังจากที่เรารู้แน่ชัดว่าทรัพย์สินชดใช้จากกุ่ยฟางมาถึงแล้ว”“ตกลง!”หยุนเจิงพยักหน้า “เจ้ายังมีเรื่องอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า?”“เจ้าจะไล่ข้าแล้วหรือไง?
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ
ซูเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ แม้ว่าลี่เออร์จะไม่เป็นไรมาก แต่…”“หุบปาก!”จักรพรรดิเหวินเบิกพระเนตรจ้องไปที่ซูเฟย “เจ้าหกนิสัยเช่นไร ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้ดี! หากวันนี้ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่อง เจ้าหกจะกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสามหรือ ข้าก็ไม่อยากไล่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”ซูเฟยชะงักงัน ตอนนี้นางยิ้มไม่ออกแล้วจักรพรรดิเหวินปรามซูเฟยแล้วก็โบกพระหัตถ์ไปยังหยุนเจิงอย่างเหนื่อยล้า “แล้วเจ้าก็กลับไปขอโทษที่สามของเจ้าด้วย เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเช่นนี้เถอะ!”ซวยแล้ว!แสดงเกินบทบาท!หยุนเจิงค่อยๆ มองไปทางสวีสือฝู่กับซูเฟย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสองพี่น้องนี้จะกระโดดขึ้นมาคัดค้านแม้ว่าสวีสือฝู่กับซูเฟยไม่กล้าดื้อดึงสุดขีดอีก แต่คำพูดของจักรพรรดิเหวินเมื่อครู่นี้ได้ตัดความคิดที่จะเรียกร้องให้จักรพรรดิเหวินลดหยุนเจิงเป็นเพียงสามัญชนแล้วจากนี้ย่อมมีโอกาสจัดการหยุนเจิง!พอหยุนเจิงเห็นว่าคาดหวังอะไรจากคนตัวดีสองคนนี้ไม่ได้เลย เขาจึงคุกเข่าลง “ตุ้บ“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มีพระทัยกว้างขวาง!”หยุนเจิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต
ไม่ว่าหยุนเจิงจะยินยอมหรือไม่ จักรพรรดิเหวินก็ได้ออกราชโองการแล้ว เขาก็ทำได้แต่ยอมรับเอาเถอะ!แต่งงานพระราชทานก็พระราชทานมาเถอะ!เอาอำนาจทหารมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!จะยังไง จะดีจะร้ายยังไงตนก็ยังคงเป็นองค์ชายอยู่นะ!พิธีมงคลสมรสขององค์ชาย ต่อให้พวกขุนนางจะดูถูกตนมากเพียงใด อย่างไรก็ต้องเออออตามกันอืม ฉวยโอกาสทำเงิน!ยิ่งมากยิ่งดีมีทัพทหารม้าแล้วก็ต้องมีเงินมีเสบียงกรังด้วย!เพียงแต่ หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงอีกสักช่วงหนึ่งสินะ!พวกหยุนลี่กับซูเฟยก็ต้องฉวยโอกาสนี้แก้แค้นตนแน่ๆ!ช่วงเวลาที่อยู่เมืองหลวงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงอันตรายมากแน่ๆต้องรีบหาวิธีรับมือ!“องค์ชายหก ช้าก่อน!”ขณะที่หยุนเจิงเดินไปคิดไปนั้น หัวหน้าขันทีมู่ซุ่นผู้รับใช้ข้างกายจักรพรรดิเหวินก็ไล่ตามเขามาหยุนเจิงหยุดฝีเท้า หันหลังกลับดูมู่ซุ่น “หัวหน้ามู่เรียกข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”หยุนเจิงมองมู่ซุ่น จิตใจของเขาตื่นตระหนกขึ้นมามู่ซุ่นเป็นคนสนิทใกล้ตัวพ่อจำเป็นนั่นเชียวนะแม้แต่องค์รัชทายาทองค์ก่อนยังต้องให้เกียรติมู่ซุ่นถ้าหากว่าสามารถชักชวนมู่ซุ่นมาเป็นพวก…ไม่ช้า หยุนเจิงก็ยกเลิ
“เจ้า...”เมื่อเห็นหยุนเจิงขีดฆ่าแม้กระทั่งเครื่องมือการเกษตร เจียเหยาก็รีบร้อนจนแทบโวยวายขึ้นมา “ข้าขอสาบานต่อเทพเจ้าหมาป่าว่าข้าจะไม่เอาเครื่องมือเหล่านี้ไปตีเป็นอาวุธ! เราเองก็ต้องการเพาะปลูกเหมือนกัน อย่างไรพวกเราก็เป็นสามีภรรยากัน เจ้าจะต้องระแวงข้าเหมือนขโมยไปถึงไหนกัน?”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย “ที่ข้าระแวงเจ้าก็เพราะเจ้าไม่ซื่อสัตย์นั่นแหละ”“ข้ายังไม่ซื่อสัตย์พออีกหรือ?”เจียเหยากล่าวด้วยความไม่พอใจ “ตอนนี้ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่างแล้ว! ใช่ ข้ายอมรับว่าข้ายังไม่พอใจนัก แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ที่จะไปเปิดศึกกับเจ้า ข้าแค่อยากพักฟื้นกำลัง ค่อยๆ ฟื้นฟูประชาชน ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์อย่างสงบสุขเท่านั้น”เมื่อเห็นเจียเหยากำลังโมโหจริงจัง หยุนเจิงก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ “เอาล่ะ ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากัน ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน!”“นั่นแหละถูกต้อง!”ในที่สุดเจียเหยาก็ยิ้มออก “ตกลงตามนี้นะ เรื่องราคาค่อยว่ากันอีกทีหลังจากที่เรารู้แน่ชัดว่าทรัพย์สินชดใช้จากกุ่ยฟางมาถึงแล้ว”“ตกลง!”หยุนเจิงพยักหน้า “เจ้ายังมีเรื่องอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า?”“เจ้าจะไล่ข้าแล้วหรือไง?
เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เจียเหยาก็ตกอยู่ในความเงียบใช่แล้วหลายสิ่งที่หยุนเจิงพูด นางก็เข้าใจดีและนางก็ยอมรับในเหตุผลเหล่านั้นแต่หยุนเจิงกลับมองข้ามจุดสำคัญไปไม่มีผู้ใดที่มีศักดิ์ศรีและเลือดเนื้อ จะทนมองดูบ้านเมืองของตนล่มสลายต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรแม้จะรู้ว่าการต่อต้านนั้นไร้ความหมายดั่งมดตัวเล็กที่คิดจะโค่นต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ยังมีคนที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไม่ลังเลหากหยุนเจิงเป็นนาง หยุนเจิงจะยอมรับชะตากรรมอย่างสงบสุขได้จริงหรือ?โลกใบนี้มีหลายสิ่งที่ไม่ได้วัดกันด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว“เฮ้อ…”หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เจียเหยาก็ถอนหายใจหนักๆ “เจ้าสังเกตหรือไม่ ว่าเมื่อใดที่เราคุยกันถึงเรื่องนี้ เรามักจะจบลงที่ทางตันเสมอ”หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆ “ข้าถึงบอกไงว่าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”ทุกครั้งที่ถกเถียงกับเจียเหยาในเรื่องนี้ ไม่ว่าอารมณ์จะดีแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายบรรยากาศก็จะกลายเป็นความหนักอึ้งเขายอมรับว่าเขาอยากจะพูดคุยหยอกล้อเล่นกับเจียเหยามากกว่า“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าพูดถึงอีกเลย จะได้ไม่ต้องมาโกรธกัน”เจียเหยายิ้มขมขื่นและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตอนอยู่ที่ฟู่โจว เจ
“ไม่ๆ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”หยุนเจิงกระแอมเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสนใจว่า “ข้าแค่คิดว่า ข้างในเจ้าจะไม่ใส่สิ่งที่เรียกว่าบราไว้ใช่หรือไม่?”เขาเคยเห็นร่างกายของเจียเหยามาเกือบทั้งหมดแล้ว รูปร่างของนางนั้นเขาพอจะเข้าใจได้คร่าวๆแต่รูปร่างของเจียเหยาในตอนนี้ดูดีกว่าตอนนั้นมากและเหตุผลเดียวที่เขานึกออกก็คงเป็นเพราะสิ่งนี้“แปลกหรือ?”เจียเหยายอมรับอย่างตรงไปตรงมา “นี่เป็นของที่เยี่ยจื่อให้ข้า นางบอกว่าพวกนางทุกคนต่างก็ใส่เช่นนี้”“ไม่น่าล่ะ”หยุนเจิงยิ้มและพยักหน้าอย่างเข้าใจเจียเหยาไม่ได้แสดงท่าทางเขินอายแต่อย่างใด นางเพียงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “พูดตามตรงนะ ข้าชื่นชมเจ้าอย่างมากจริงๆ ทั้งต้องทำสงคราม ทั้งต้องวางแผนพัฒนาชีวิตผู้คน ยังจะคิดค้นสิ่งแปลกใหม่มากมาย ข้าไม่เข้าใจเลยว่าหัวของเจ้านี่มันทำงานอย่างไร”หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง และกล่าวเลียนแบบท่าทางคำพูดของนาง “เมื่อหญิงงามมาชื่นชมฟังแล้วก็ช่างรื่นหูเสียจริง”“ข้าไม่ได้พูดเอาใจเจ้า ข้าชื่นชมเจ้าจากใจจริง”เจียเหยาตอบกลับด้วยความจริงใจ แต่ไม่อยากถกเถียงในเรื่องนี้ต่อ นางจึงเปลี่ยนเรื่องว่า “เจ้าเห็นว่าเป่ยหวนจะสามารถพัฒนาไปได้ท
เมื่อหยุนเจิงกล่าวว่า “เข้ามา” แล้วเจียเหยาก็ผลักประตูเข้ามาภายในห้องหยุนเจิงโบกมือเรียกให้นางมานั่งลง“มาหาข้าดึกดื่นป่านนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”หยุนเจิงถามเจียเหยาพร้อมรอยยิ้ม“ข้าแค่ยังนอนไม่หลับ เลยอยากมาคุยกับเจ้า”เจียเหยานั่งลงอย่างไม่ถือพิธี พร้อมกับมองไปยังแผ่นกระดาษบนโต๊ะ “เจ้าเขียนอะไรอยู่น่ะ?”หยุนเจิงยิ้ม “ข้าเขียนเกี่ยวกับการพัฒนาด้านความเป็นอยู่ของประชาชนในซั่วฟาง”“ดูเหมือนว่าข้าจะมาผิดเวลาแล้วสิ!” เจียเหยามองดูข้อความที่เพิ่งถูกเขียนเพียงเล็กน้อย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าควรมาช้ากว่านี้ จะได้เห็นแผนการพัฒนาเมืองของเจ้าชัดเจนกว่านี้”หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ และถ่อมตัวว่า “ข้าไม่ได้มีแผนอะไรมากหรอก แค่เขียนไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ?”เจียเหยาไม่เชื่อคำพูดของหยุนเจิง นางกล่าวด้วยความสนใจว่า “ในเมื่อข้านอนไม่หลับแล้ว นั้นเจ้าลองบอกข้าหน่อยสิว่าเจ้ามีแผนพัฒนาซั่วฟางอย่างไร ข้าจะได้เรียนรู้บ้าง”“เจ้าช่างถ่อมตัวจริงๆ” หยุนเจิงยิ้ม “ถ้าเจ้าอยากรู้ เราก็ลองมาคุยกันดู”จากนั้นหยุนเจิงก็เริ่มเล่าแผนการพัฒนาซั่วฟางของเขาตราบใดที่เปิดเส้นทางบ
เพียงแค่แม่ทัพที่มีวิสัยทัศน์เพียงเล็กน้อย ก็น่าจะมองเห็นถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของดินระเบิดนี้เมื่อมีดินระเบิด กำแพงเมืองที่สูงตระหง่านจะไม่ใช่อุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่านอีกต่อไปการตีเมืองจะไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตผู้คนไปถมเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนอีกต่อไปหรือพูดได้ว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากลอุบายหรือใช้ชีวิตผู้คนไปแลกทั้งหมดหากตอนที่นางเจรจากับแคว้นกุ่ยฟางในครั้งก่อนมีดินระเบิดอยู่ในมือ เพียงแค่คนในกองทัพที่นางมี นางก็กล้าบุกโจมตีเมืองหลวงแคว้นกุ่ยฟางโดยตรงผลประโยชน์ที่ได้จากการยึดเมืองหลวงกุ่ยฟาง ย่อมมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้จากการเจรจาอย่างยากลำบากนางรับรู้ได้ทันทีว่าดินระเบิดจะกลายเป็นอาวุธสำคัญที่หยุนเจิงใช้ในการกวาดล้างแผ่นดินเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เสียงระเบิดสงบลงแล้ว แต่เสียงกึกก้องในหุบเขายังคงดังก้องอยู่เสียงดินถล่มและก้อนหินกลิ้งลงมาก้องไปทั่ว บรรยากาศเต็มไปด้วยควันและฝุ่นฟุ้งกระจายหลังจากนั้นอีกพักใหญ่ เจียเหยาก็เรียกสติกลับมาได้ นางมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคิดซับซ้อน “หากใช้ดินระเบิดยิงด้วยเครื่องยิงหิน เกรงว่าจะมีเมืองใดต้านทานได้ยากนะ”“ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดน
ปากเขาเขี้ยวหมาป่าหยุนเจิงเคยกล่าวถึงสถานที่แห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาถึงปากเขาเขี้ยวหมาป่าปากเขาเขี้ยวหมาป่าตั้งอยู่ที่ต้นน้ำของแม่น้ำไป๋สุ่ยในช่วงฤดูหนาวอันหนาวเหน็บของซั่วเป่ยนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวราวกับสวมเสื้อคลุมหิมะหยุนเจิงพาคณะเดินทางมายังปากเขาเขี้ยวหมาป่าเพื่อตรวจสอบภูมิประเทศเนื่องจากเจียเหยาอยู่ด้วย เขาจึงไม่ได้หยิบกล้องส่องทางไกลออกมา ใช้เพียงตาเปล่าตรวจดูพื้นที่เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นยอดเขาต่างๆ เรียงตัวสลับซับซ้อนดุจเขี้ยวหมาป่าและนี่เองคือที่มาของชื่อ "ปากเขาเขี้ยวหมาป่า"แม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งไหลผ่านช่องเขาเรื่อยไปจนถึงปลายน้ำบริเวณที่เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการป้องกันนั้น กว้างไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้งอย่างไรก็ตาม พื้นที่รอบๆ นี้มีภูมิประเทศที่สูงชันและอันตราย เกวียนบรรทุกสินค้าไม่สามารถผ่านไปได้หากต้องการขนส่งเสบียงจำนวนมาก จำเป็นต้องเปิดเส้นทางใหม่ที่เหมาะสมถ้าไม่มีดินระเบิดช่วย งานนี้จะกลายเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เวลามากอย่างยิ่งแต่ถึงแม้จะมีดินระเบิดช่วยก็ตาม ความยากลำบากของโครงก
“เขาจะมอบน้ำตาลทรายขาวให้ข้าจริงหรือ?”เจียเหยามองหยุนเจิงด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย “เขาน่ะหรือ? เขาแค่จะช่วยสนับสนุนให้เป่ยหวนมีความฟุ่มเฟือยต่างหาก!”จริงๆ แล้ว เจียเหยาไม่ได้สนใจน้ำตาลทรายขาวนี้มากนักนางเคยลิ้มรสมันแล้ว และรสชาติก็ไม่ได้พิเศษอะไรนักแต่ปัญหาคือน้ำตาลทรายขาวนั้นดูสวยงามมาก!เพื่อแสดงถึงฐานะและสถานะทางสังคม จะมีคนจำนวนมากที่แย่งชิงและไขว่คว้าน้ำตาลทรายขาวนี้พูดง่ายๆ น้ำตาลทรายขาวเป็นเพียงสิ่งของที่ก่อให้เกิดความฟุ่มเฟือย นางจึงไม่อยากให้คนในเป่ยหวนติดนิสัยฟุ่มเฟือยนี้สิ่งที่นางสนใจจริงๆ คือศักยภาพในการทำเงินของน้ำตาลทรายขาวแต่เจียเหยาก็รู้ดีว่าหยุนเจิงไม่มีทางบอกวิธีการผลิตน้ำตาลทรายขาวให้นางรู้“แล้วเจ้าจะเอาหรือไม่เอา?”หยุนเจิงเริ่มไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อยเจียเหยาเข้าใจเขาผิดเสียแล้วหากเขาต้องการสนับสนุนให้เป่ยหวนฟุ่มเฟือย เขาก็คงนำน้ำตาลทรายขาวไปขายที่เป่ยหวนโดยตรงแล้วสิ?จะมาเสียเวลาส่งให้นางสิบชั่งทำไมกัน?เขาแค่ไม่ชอบเห็นเจียเหยาทำหน้าเศร้าๆ อย่างนั้นด้วยวิธีการผลิตน้ำตาลของเขาในตอนนี้ น้ำตาลทรายขาวสิบชั่งก็ไม่ได้ล้ำค่าอะไรขนาดนั้น“เอาสิ!
เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากเยี่ยจื่อ หยุนเจิงก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไรแคว้นต้าเฉียนนั้นมีน้ำตาลทรายขาวอยู่จริงในปีนั้น หลังจากที่เสิ่นหนานเจิงและบุตรชายทั้งสามคนเสียชีวิตในสนามรบ จักรพรรดิเหวินได้พระราชทานรางวัลใหญ่ให้แก่ตระกูลเสิ่นซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโถน้ำตาลทรายขาวด้วยเหตุนี้เอง เยี่ยจื่อจึงเคยได้เห็นน้ำตาลทรายขาวแต่ทว่า น้ำตาลทรายขาวในแคว้นต้าเฉียนนั้นเป็นของที่ได้มายากยิ่ง ในท้องตลาดแทบไม่มีขายเลยน้ำตาลทรายขาวเป็นสิ่งที่เกือบจะสงวนไว้สำหรับราชวงศ์โดยเฉพาะส่วนบรรดาขุนนางผู้มีผลงาน ก็ต้องได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิเหวินเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้ครอบครองว่ากันว่า ก่อนจักรพรรดิเหวินจะขึ้นครองราชย์ แม้น้ำตาลทรายขาวจะเป็นของหายาก แต่ผลผลิตก็ยังมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจักรพรรดิเหวินทรงเห็นว่าน้ำตาลทรายขาวนั้น นอกจากจะดูดีและรสชาติหวานเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้ต่างจากน้ำตาลทรายแดงมากนัก แต่กลับต้องใช้ทรัพยากรและแรงงานมากกว่าการผลิตน้ำตาลทรายแดงเป็นหลายเท่าเพื่อควบคุมความฟุ่มเฟือยในราชสำนัก จักรพรรดิเหวินจึงทรงออกคำสั่งให้ควบคุมการผลิตน้ำตาลทรายขาวอย่างเข้
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เจียเหยาก็เดินเข้ามาหา “พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ!” เจียเหยาก้าวเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ความจริงแล้ว เจียเหยากับเยี่ยจื่อและเมี่ยวอินอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น แม้จะมีหัวข้อที่พวกนางหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเพื่อไม่ให้เกิดความไม่สบายใจ “เจ้ามาหาหยุนเจิงหรือ?” เยี่ยจื่อถามด้วยรอยยิ้ม “อืม” เจียเหยาพยักหน้าเบาๆ “ข้ามีเรื่องจะถามเขาสักหน่อย คนในจวนบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ ข้าก็เลยมาดู” “เช่นนั้นเจ้ารอไปก่อนเถอะ!” เยี่ยจื่อหัวเราะเบาๆ “เขาอยู่ในครัว แต่ข้ากับเมี่ยวอินยังเข้าไปไม่ได้เลย! ถ้าเจ้าอยากให้เขาออกมาในตอนนี้ คงต้องมีข่าวด่วนจากทัพเท่านั้นล่ะ!” “อย่างนั้นหรือ?” เจียเหยามองไปทางประตูครัวด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้น ข้ารอตรงนี้ก็แล้วกัน” เมื่อเจียเหยาจะรอ เยี่ยจื่อกับเมี่ยวอินก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร พวกนางทั้งสามคนยืนรอที่หน้าประตูครัวอยู่พักหนึ่ง แล้วซินเซิงก็วิ่งนำสิ่งที่หยุนเจิงต้องการเข้าไปในครัวอีกครั้ง พวกนางทั้งสามต่างไม่รู้ว่าหยุนเจิงกำลังทำอะไรในนั้น พวกนางจึงได้แต่รออยู่ด้านนอก พวกนางรอ ก็รอถึงหนึ่ง