หลังจากทุกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว วันเวลาศึกครั้งใหญ่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วชายแดนของแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉื่อ ระยะห่างของป้อมปราการหยุนเจิงมีเพียงแค่สองร้อยลี้เท่านั้นทัพศัตรูไม่นานก็บุกมาแล้วหยุนเจิงได้ข่างที่นักรบภูตสิบแปดนำกลับมาแล้วทหารแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉื่อรวมตัวกันแล้ว กำลังเดินทางมาหาพวกเขาทางนี้ตามอัตราความเร็วของพวกเขา ประมาณเจ็ดวัน ก็สามารถบุกมาถึงแล้วผลลัพธ์นี้ อยู่เหนือการคาดการณ์ของหยุนเจิงไม่มากก็น้อยหยุนเจิงเดิมคิดว่า เขาแอบส่งคนไปลอบสังหารณ์ทหารต้าเย่ว์บางส่วน แคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉื่อเช่นไรก็ต้องเกิดช่องว่างนึกไม่ถึง เรื่องนี้ราวกับไม่มีผลกระทบใดต่อทั้งสองฝ่ายเลยเรื่องนี้ ดูจากด้านนี้พิสูจน์ว่าแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉื่อตัดสินใจคิดจะทำลายกองทหารมณฑลทางเหนือหยุนเจิงนิ่งเงียบ จากนั้นก็กำลังชับนักรบภูตเจ็ดที่กลับมารายงาน “สั่งหนึ่งร้อยคนนั้น ทั้งหมดถอยโดยทันที! สั่งนักรบภูตเก้า นำนักรบภูตสิบแปดบุกเข้าด้านหลังทัพศัตรู ไม่ต้องวิธีการใด จู่โจมก่อกวนด้านหลังของทัพศัตรู ให้ด้านทัพศัตรูเกิดความวุ่นวายไปทั่ว...”“ขอรับ!”นักรบภูตเจ็ดรับคำสั่งจากไปทันทีนักรบภูตสิบเ
กลุ่มคนห้อมล้อมไปมารอบเครื่องยิงหินที่ประกอบเสร็จแล้ว เดี๋ยวลูบตรงนี้ เดี๋ยวเคาะตรงนั้น ทุกคนทำอย่างกับสมบัติน่าอัศจรรย์คนไม่รู้ คงคิดว่าพวกเขาเห็นเครื่องยิงหินเป็นครั้งแรก!“ได้ เช่นนั้นก็ลองดู!”หยุนเจิงอยากรู้เช่นกันว่าอนุภาพของเครื่องยิงเห็นเป็นเช่นไร สั่งคนเริ่มบรรจุหินในตุ้มถ่วงน้ำหนักทันทีบอกตามตรง ภายในใจหยุนเจิงไม่มีความมั่นใจมากมายเครื่องยิงหินที่เขาทำออกมา มีลักษณะของเครื่องยิงหินโบราณ ทว่าด้านโครงสร้างน่าจะยังมีส่วนที่ขาดไปอนุภาพเป็นเช่นไรก็เป็นปัญหา ความเสถียรของโครงสร้างก็เป็นอีกปัญหาหากของสิ่งนี้ใช้ไม่กี่ครั้งก็พังแล้ว เช่นนั้นก็ผิดต่อเวลาที่พวกเขาเสียไปมากมายแล้วหลังเตรียมการทุกอย่างแล้ว หยุนเจิงสั่งให้คนบริเวณโดยรอบออกไปทันที เหลือไว้เพียงคนดึงสลักคนเดียวเท่านั้นหลังจากทุกคนถอยไปอยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว หยุนเจิงออกคำสั่งทันที “ดึง!”สิ้นเสียงคำสั่งหยุนเจิง คนที่เหลือไว้ก็ดึงสลักออกอย่างแรงหลังสลักถูกดึงออก หินอีกก้อนของเครื่องยิงหินร่วงลงมาด้วยความเร็ว ขณะเดียวกันก้อนหินหนักประมาณห้าสิบชั่งในกระเป๋าหนังก็ถูกเหวี่ยงออกไปก้อนหินลอยออกมาเป็นมุมโค้ง ข้
หลายวันให้หลังหยุนเจิงพาคนขึ้นไปอยู่บริเวณตำแหน่งที่สูงใช้ดวงตาพันลี้มองไป สามารถมองเห็นแนวหน้าของทัพศัตรูได้อย่างชุดเจนแล้วลักษณะภูมิประเทศของแม่น้ำซัวเป่ยเปิดโล่ง เหมาะแก่การขยายกองทัพทหารม้าศัตรูด้านหน้าดำทมิฬเป็นแถบโฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่ว์รวมกันมีทหารม้าสี่หมื่นคน แล้วก็ยังมีทหารราบจำนวนมากเผชิญหน้ากับทัพศัตรูมากมายเพียงนี้ หยุนเจิงมีความกดดันไม่มากก็น้อยถึงเช่นไร กำแพงเมืองที่พวกเขาสร้าง แม้จะสามารถป้องกันการโจมตีของทัพศัตรูได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่อาจเป็นป้อมปราการได้อย่างแท้จริงคิดจะเอาชนะทัพศัตรู สุดท้ายก็ต้องบุกโจมตีหยุนเจิงวางดวงตาพันลี้ลง จากนั้นก็ถามต่งกัง “อาหารแห้งสามารถผลิตออกมาได้เท่าใด?”ต่งกังตอบ “บริโภคสองหมื่นคนได้ประมาณสิบวัน”ยังพอไหว!หากประมาณหนึ่งหมื่นคน ก็สามารถบริโภคได้ยี่สิบวันการจู่โจมระยะทางไกลต้องกินมากหน่อย เช่นไรก็เพียงพอหนึ่งหมื่คนบริโภคได้หนึ่งเดือนแล้วเตรียมตัวไว้ก่อนเถอะ!หากเป็นไปได้ ส่งทหารชั้นยอดไปโจมตีด้านหลังทัพศัตรูดีกว่าหากมีทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นบุกมาจากแม่น้ำซัวเล่ย จู่โจมด้านหลังของทัพศัตรูกะทันหัน ทัพศัตรูก็ต้องวุ่
การต่อสู้ ไม่มีผู้ใดหวังให้ความเสียหายมากเกินไปพวกเขาครั้งนี้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของแคว้นในการต่อสู้ครั้งนี้หากทำให้พลังหยวนของพวกเขาบาดเจ็บหนักแล้ว ชัยชนะก็ไม่แตกต่างกับการพ่ายแพ้แล้ว“องค์ชาย ความเห็นของท่าน ศึกครั้งนี้ควรสู้เช่นไร?”อวี้ไท่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามความเห็นโหลวอวี้แม้โหลวอวี้จะเกิดทีกลัง แต่เขาอวี้ไท่เคารพเลื่อมไสโหลวอวี้คนรุ่นหลังผู้นี้มากสู้เช่นไร?โหลวอวี้เลยรอยยิ้มเหยเก “สถานการณ์ตรงหน้า นอกจากใช้กำลังบุกโจมตีแล้ว เดิมก็ไม่มีวิธีอื่น...”ใช้กำลังบุกโจมตีหรือ?อวี้ไท่ขมวดคิ้วแน่น เผชิญกับการจัดรูปแบบของทัพศัตรูเช่นนี้ ความเสียหายของการบุคคลที่ได้กำลังไม่มีทางเล็กน้อยลังเลชั่วครู่ อวี้ไท่สุดท้ายก็เอ่ยปากกล่าว “ข้าคิดว่า การใช้กำลังบุกโจมตีไม่ใช่วิธี ข้าคิดว่า ให้กองทัพทหารม้าสองหมื่นของข้าไปยังด่านเทียนฉง ค่อยรวมมือกับกองทัพประจำการของด่านเทียนฉง เปิดฉากโจมตีจากทั้งนั้น...”ระหว่างที่กล่าว อวี้ไท่สังเกตสีหน้าโหลวอวี้อย่างทนไม่ไหวไม่ผิดจากที่คาด สีหน้าของโหลวอวี้ดูไม่ดีนักผลลัพธ์เช่นนี้ ก็อยู่ในการคาดการณ์ของอวี้ไท่“แม่ทัพอวี้ กองทัพข้ายังมีทหารม
ทัพพันธมิตรของโฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่วหลังถึงตำแหน่งที่กำหมดแล้ว ก็ไม่ได้โจมตีทันทีหยุนเจิงคาดเดา พวกเขาต้องกำลังพักผ่อนจัดระเบียบ ไม่ก็กำลังปรับแผนการบุกโจมตีหรืออาจคิดล่อลวงพวกเขาทางนี้ ชักจูงให้พวกเขาเริ่มโจมตีแต่ว่า หยุนเจิงไม่มีทางเป็นฝ่ายโจมจีชั่วคราวต่อให้ศัตรูเดินทางระยะไกลมา แรงกำลังไม่มั่นคง เขาก็ไม่มีทางบุกโจมตีตอนนี้มิฉนะนั้น กำแพงแต่ละท่อนของพวกเขาก็ไร้ความหมายแล้วแต่ว่า หยุนเจิงไม่ได้รอทัพศัตรูเข้ามาโจมตีอยู่ตลอดเวลา เขากำลังตรวจสอบขบวนทัพของทัพศัตรู ครุ่นคิดวิธีทำลายทัพศัตรูตรงหน้าความจริง สิ่งที่ทัพศัตรูทำให้ความหวาดกลัวที่สุด ก็คือทหารม้าหลายหมื่นคนเท่านั้นหากกำจัดทหารม้าของทัพศัตรู ทหารม้าของพวกเขาก็สามารถทำลายแนวป้องกันของทัพศัตรูได้ บุกเข้าสู่ด้านหลังของทัพศัตรูสถานการณ์ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าทัพศัตรูไม่มีทางนำทหารม้ามานำขบวนนี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลใครบ้างใครทหารม้าเป็นแนวหน้าล้อมเมือง!“น้องชาย ทัพศัตรูเหตุใดไม่บุกเข้ามา?”ฉินชีหู่ยืนอยู่บนที่สูงกับหยุนเจิงสำรวจรูปแบบการจัดทัพของศัตรู ภายในใจราวกับมีแมวข่วน“ใครจะรู้เล่า?”หยุนเจิงยักไหล่ “ไม่ต
เสียงของคนชั่วนี่ดังมากสูสีกับฉินชีหู่หยุนเจิงได้ยิน กลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเรื่องการต่อสู้ ก็คือดาบสองคมชนะแล้ว ย่อมสามารถทำลายขวัญกำลังใจอีกฝ่ายได้แพ้แล้ว ก็สามารถทำลายขวัญฝ่ายกำลังของตัวเองสำหรับกำลังทหารป่าเถื่อนของฉินชีหู่ หยุนเจิงมีความมั่นใจอย่างมากสู้เถอะ!ดูว่าใครจะตีใคร!หยุนเจิงคิดเช่นนี้ จากนั้นก็สั่งต่งกังที่อยู่ข้างกาย “สั่งคนตีกลอง! บอกฉินชีหู่ จับเป็นดีที่สุด! หากไม่ได้จริงๆ จับตายก็ได้!”ต่งกังรับคำสั่งจากไปทันที“ตึงๆๆ...”ไม่นาน เสียงกลองของพวกหยุนเจิงทางนี้ดังขึ้นตามมาด้วย ฉินชีหู่ควบม้าออกมา“โจรจะอาละวาด ให้ปู่ได้เจอกับเจ้าหน่อย!”ฉินชีหู่เปิดลำคอ คำรามเกรี้ยวกราด“โจรชั่วบอกนามมา ปู้จะไม่ไม้ต้องโทษฆ่าคนไร้นาม!”ศัตรูคำราม“ไปบ้านป้าเจ้าสิ!”ฉินชีหู่ควบม้าหยุดลง ระยะห่างกันสองร้อยกว่าลี้จ้องตากับแม่ทัพศัตรู “มีสิทธิ์ใดให้ปู้ขานนาม? เหตุใดเจ้าไม่บอกนามมาก่อน?”ทั้งสองคนยังไม่ทันปะทะศึก ก็ปะทะฝีปากกันแล้ว“ข้าคือนักรบอันดับหนึ่งของโฉวฉื่อ กังตั๋ว!”กังตั๋วตอบสีหน้าดำคร่ำเคร่ง“นักรบอันดับหนึ่งไร้สาระ! ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ!”ฉิน
“น้องชาย ข้าเสียเปรียบแล้ว!”ฉินชีหู่ต่อให้โง่เขลาก็รู้ หยุนเจิงไม่ให้เขาไล่ตามไปเพราะกลัวเขาถูกทัพศัตรูลอบกัด แต่ฉินชีหู่อดตำหนิหยุนเจิงไม่ได้“เสียเปรียบเช่นไร? เจ้าบาดเจ็บแล้ว?”หยุนเจิงสงสัยเขาเห็นอยู่ชัดๆ ฉินชีหู่ไม่ได้รับบาดเจ็บ?หรือว่า ฉินชีหู่ได้รับบาดเจ็บภายในเพราะกังตั๋วแล้ว?“เจ้าดูมีดข้าสิ...”ฉินชีหู่นำดาบของเขาส่งให้หยุนเจิงด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดบนดาบใหญ่ ไม่ใช่แค่มีรอยแตกร้าวเท่านั้น ยังมีรอยบิ่นสองรอยด้วย“นี่...”หยุนเจิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “นี่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ลับสักหน่อย ก็นำมาใช้ได้แล้วกระมัง! ต่อไปต้องเผชิญกับอาวุธประเภทนี้อีก เจ้าก็ต้องหาคนยึดเอากระบองเขี้ยวหมาป่ามา...”มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ต่อให้อาวุธจะสร้างมาจากเหล็กลายบุปผา เผชิญกับอาวุธกระบองเขี้ยวหมาป่าเช่นนี้ ก็ต้องถูกบีบให้พ่ายแพ้ต่อให้เป็นมีดทองผสมโลหะห้ำหั่นกับกระบองเขี้ยวหมาป่าที่ทำจากเหล็กบริสุทธ์ ก็ต้องเสียเปรียบเช่นกัน!“อื้อ ต่อไปต้องเปลี่ยนไปใช้กระบองเขี้ยวหมาป่าแล้ว!”ฉินชีหู่พยักหน้า แม้ทัพศัตรูเป็นฝ่ายตีฆ้องเรียกทหารกลับ แต่ภายในใจเขาก็ยังหงุดหงิดบอกไม่ถูกจับ
ขอแค่หยุนเจิงไม่ไปต่อสู้ด้วยตัวเองก็พอแล้วฉินชีหู่เข้าใจแล้ว รีบช่วยต่งกังถอนชุดเกราะทันที“สามารถเผยพิรุธออกไปได้ ให้เขาดูออกว่าเจ้าไม่ใช่ข้า!”หยุนเจิงกำชับต่งกังอีกครั้ง“เจ้าสงสัยว่าโหลวอวี้คิดจะดูว่าเจ้าอยู่ในกองทัพเส้นทางนี้หรือไม่?”คราวนี้ ในที่สุดเมี่ยวอินก็เข้าใจแล้ว“ใช่!”หยุนเจิงพยักหน้า “ข้ากับต่งกังรูปร่างไม่ต่างกันมาก พวกโหลวอวี้อยู่ไกลเพียงนั้น ไม่อาจเห็นหน้าตาข้าได้ชัดเจน ให้โหลวอวี้สงสัยว่าข้าอยู่ในกองทัพอีกสองเส้นทาง...”“องค์ชายกล่าวมีเหตุผล” ต่งกังพยักหน้ากล่าว “องค์ชายมีชื่อเสียง ทัพศัตรูคิดอยากบุกโจมตี ย่อมยืนยันก่อนว่าองค์ชายอยู่ในขบวนทัพหรือไม่!”ชื่อเสียงของหยุนเจิงได้มาจากการสู้รบในแต่ละครั้งทัพศัตรูต่อให้ทหารแกร่งม้าแข็งแกรง ก็ต้องกังวลแผนการภายในใจหยุนเจิงหยุนเจิงอยู่หรือไม่อยู่ในขบวนกองทัพนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการกำหนดกลยุทธ์ในภายหลังของศัตรูไม่นาน ต่งกังก็เปลี่ยนเป็นชุดเกราะของหยุนเจิงก่อนออกเดินทาง หยุนเจิงให้ปูขาวต่งกังไปสองถุงไม่ว่าคนที่กำลังร้องเรียกเป็นโหลวอวี้หรือไม่ สามารถจับกลับมาได้จะดีที่สุด“ตึงๆๆ...”หลังเสียงกลอง
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ