เสียงของคนชั่วนี่ดังมากสูสีกับฉินชีหู่หยุนเจิงได้ยิน กลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเรื่องการต่อสู้ ก็คือดาบสองคมชนะแล้ว ย่อมสามารถทำลายขวัญกำลังใจอีกฝ่ายได้แพ้แล้ว ก็สามารถทำลายขวัญฝ่ายกำลังของตัวเองสำหรับกำลังทหารป่าเถื่อนของฉินชีหู่ หยุนเจิงมีความมั่นใจอย่างมากสู้เถอะ!ดูว่าใครจะตีใคร!หยุนเจิงคิดเช่นนี้ จากนั้นก็สั่งต่งกังที่อยู่ข้างกาย “สั่งคนตีกลอง! บอกฉินชีหู่ จับเป็นดีที่สุด! หากไม่ได้จริงๆ จับตายก็ได้!”ต่งกังรับคำสั่งจากไปทันที“ตึงๆๆ...”ไม่นาน เสียงกลองของพวกหยุนเจิงทางนี้ดังขึ้นตามมาด้วย ฉินชีหู่ควบม้าออกมา“โจรจะอาละวาด ให้ปู่ได้เจอกับเจ้าหน่อย!”ฉินชีหู่เปิดลำคอ คำรามเกรี้ยวกราด“โจรชั่วบอกนามมา ปู้จะไม่ไม้ต้องโทษฆ่าคนไร้นาม!”ศัตรูคำราม“ไปบ้านป้าเจ้าสิ!”ฉินชีหู่ควบม้าหยุดลง ระยะห่างกันสองร้อยกว่าลี้จ้องตากับแม่ทัพศัตรู “มีสิทธิ์ใดให้ปู้ขานนาม? เหตุใดเจ้าไม่บอกนามมาก่อน?”ทั้งสองคนยังไม่ทันปะทะศึก ก็ปะทะฝีปากกันแล้ว“ข้าคือนักรบอันดับหนึ่งของโฉวฉื่อ กังตั๋ว!”กังตั๋วตอบสีหน้าดำคร่ำเคร่ง“นักรบอันดับหนึ่งไร้สาระ! ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ!”ฉิน
“น้องชาย ข้าเสียเปรียบแล้ว!”ฉินชีหู่ต่อให้โง่เขลาก็รู้ หยุนเจิงไม่ให้เขาไล่ตามไปเพราะกลัวเขาถูกทัพศัตรูลอบกัด แต่ฉินชีหู่อดตำหนิหยุนเจิงไม่ได้“เสียเปรียบเช่นไร? เจ้าบาดเจ็บแล้ว?”หยุนเจิงสงสัยเขาเห็นอยู่ชัดๆ ฉินชีหู่ไม่ได้รับบาดเจ็บ?หรือว่า ฉินชีหู่ได้รับบาดเจ็บภายในเพราะกังตั๋วแล้ว?“เจ้าดูมีดข้าสิ...”ฉินชีหู่นำดาบของเขาส่งให้หยุนเจิงด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดบนดาบใหญ่ ไม่ใช่แค่มีรอยแตกร้าวเท่านั้น ยังมีรอยบิ่นสองรอยด้วย“นี่...”หยุนเจิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “นี่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ลับสักหน่อย ก็นำมาใช้ได้แล้วกระมัง! ต่อไปต้องเผชิญกับอาวุธประเภทนี้อีก เจ้าก็ต้องหาคนยึดเอากระบองเขี้ยวหมาป่ามา...”มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ต่อให้อาวุธจะสร้างมาจากเหล็กลายบุปผา เผชิญกับอาวุธกระบองเขี้ยวหมาป่าเช่นนี้ ก็ต้องถูกบีบให้พ่ายแพ้ต่อให้เป็นมีดทองผสมโลหะห้ำหั่นกับกระบองเขี้ยวหมาป่าที่ทำจากเหล็กบริสุทธ์ ก็ต้องเสียเปรียบเช่นกัน!“อื้อ ต่อไปต้องเปลี่ยนไปใช้กระบองเขี้ยวหมาป่าแล้ว!”ฉินชีหู่พยักหน้า แม้ทัพศัตรูเป็นฝ่ายตีฆ้องเรียกทหารกลับ แต่ภายในใจเขาก็ยังหงุดหงิดบอกไม่ถูกจับ
ขอแค่หยุนเจิงไม่ไปต่อสู้ด้วยตัวเองก็พอแล้วฉินชีหู่เข้าใจแล้ว รีบช่วยต่งกังถอนชุดเกราะทันที“สามารถเผยพิรุธออกไปได้ ให้เขาดูออกว่าเจ้าไม่ใช่ข้า!”หยุนเจิงกำชับต่งกังอีกครั้ง“เจ้าสงสัยว่าโหลวอวี้คิดจะดูว่าเจ้าอยู่ในกองทัพเส้นทางนี้หรือไม่?”คราวนี้ ในที่สุดเมี่ยวอินก็เข้าใจแล้ว“ใช่!”หยุนเจิงพยักหน้า “ข้ากับต่งกังรูปร่างไม่ต่างกันมาก พวกโหลวอวี้อยู่ไกลเพียงนั้น ไม่อาจเห็นหน้าตาข้าได้ชัดเจน ให้โหลวอวี้สงสัยว่าข้าอยู่ในกองทัพอีกสองเส้นทาง...”“องค์ชายกล่าวมีเหตุผล” ต่งกังพยักหน้ากล่าว “องค์ชายมีชื่อเสียง ทัพศัตรูคิดอยากบุกโจมตี ย่อมยืนยันก่อนว่าองค์ชายอยู่ในขบวนทัพหรือไม่!”ชื่อเสียงของหยุนเจิงได้มาจากการสู้รบในแต่ละครั้งทัพศัตรูต่อให้ทหารแกร่งม้าแข็งแกรง ก็ต้องกังวลแผนการภายในใจหยุนเจิงหยุนเจิงอยู่หรือไม่อยู่ในขบวนกองทัพนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการกำหนดกลยุทธ์ในภายหลังของศัตรูไม่นาน ต่งกังก็เปลี่ยนเป็นชุดเกราะของหยุนเจิงก่อนออกเดินทาง หยุนเจิงให้ปูขาวต่งกังไปสองถุงไม่ว่าคนที่กำลังร้องเรียกเป็นโหลวอวี้หรือไม่ สามารถจับกลับมาได้จะดีที่สุด“ตึงๆๆ...”หลังเสียงกลอง
อีกด้านหนึ่ง โหลวอวี้หนีกลับเข้าขบวนทัพตัวเองอย่างจนตรอกโหลวอวี้นึกไม่ถึงว่ากระบี่ของเขาจะเปราะบางเช่นนี้กลับถึงขบวนทัพ โหลวอวี้ยังไม่ได้ตั้งหลักกลับมา“องค์ชาย ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”อวี้ไท่รีบร้อนควบม้ามา เป็นห่วงสถานการณ์ของโหลวอวี้“ไม่เป็นไร ก็แค่กระบี่ในมือถูกฟันหักเท่านั้น”โหลวอวี้สะบัดศีรษะเกิดตกใจขวัญหนี กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ข้อดีของอาวุธและชุดเกราะของต้าเฉียน พวกเราเทียบไม่ได้เลย...”“องค์ชายไม่ต้องกังวล” อวี้ไท่ปลอบใจ “หยุนเจิงเป็นองค์ชายหกแห่งต้าเฉียน แล้วก็เป็นซั่วเป่ยเจี๋ยตู้สื่อ ดาบและกระบี่ในมือเป็นสมบัติล้ำค่าก็เป็นเรื่องปกติ”ช่างฝีมือต้าเฉียนมากมาย ระดับมาตรฐานการผลิตของต้าเฉียนสูงกว่าโฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่ว์หยุนเจิงเป็นองค์ชายที่มีอำนาจสูงสุดผู้หนึ่ง ในมือควบคุมทหารเก่งสุดยอดอาวุธก็เป็นเรื่องปกติอย่างมาก“นั่นไม่ใช่หยุนเจิง”โหลวอวี้ส่ายหน้ากล่าว “คนผู้นั้นน่าจะเป็นตัวแทนหยุนเจิง”“ตัวแทน?”อวี้ไท่ตาเป็นประกาย ถามอย่างใจร้อน “องค์ชายรู้ได้เช่นไรว่านั่นคือตัวแทนหยุนเจิง?”โหลวอวี้นัยน์ตาฉายวาวประกายเข่นฆ่า ตอบ “ข้าสังเกตดูเป็นพิเศษ คนผู้นั้นตั้งแต่ต้นจ
หยุนเจิงขึ้นไปบนที่สูงมองไป ใบหน้าอดไม่ได้ที่เผยแววตกใจเครื่องยิงหินขนาดใหญ่!ทัพศัตรูจำนวนมากกับลังขนเครื่องยิงหินหกเครื่องขึ้นมากดดันพวกเขาทางนี้เขาไม่รู้ว่าเครื่องยิงหินขนาดใหญ่ของทัพศัตรูสามารถโจมตีได้ไกลเพียงใดแต่ว่า เขามองผ่านด้วยดวงตาพันลี้ เครื่องยิงหินของทัพศัตรูเป็นเครื่องยิงหินประเภทใช้คนดึงต้องอาศัยแรงสิบกว่าคนในการดึง จึงสามารถดึงหินในเครื่องให้เหวี่ยงออกไปได้เครื่องยิงหินประเภทนี้ระยะการยิงและอนุภาพ ย่อมไม่อาจสู้เครื่องยิงหินที่พวกเขาสร้างได้เวลาจำกัด พวกเขาต้องเปลือกำลังคนมากมาย เร่งทำงานทุกวัน จึงสามารถทำเครื่องยิงหินสี่เครื่องออกมาได้รถยิงหินในตอนแรกสุด เรื่องจากปัญหาโครงสร้าง จึงต้องทดลองบ่อยมาก จึงพังทลายไปอย่างภาคภูมิตอนนี้รถยิงหินที่สามารถใช้ได มีเพียงสามเครื่องเท่านั้นบริเวณไกลๆ กดดันเข้ามาอยากเป็นระเบียบกองกำลังของโฉวฉื่อแล้วแคว้นต้าเย่ว์รักษาท่าทีหัวขบวนบุกมาพร้อมเพรียงกัน แบ่งเป็นปีกสองข้างเคลื่อนเข้ามาหาพวกเขารอจนสองกองทัพอยู่ในอาณาบริเวณสองลี้ ทหารม้าและทหารบางส่วนเริ่มผลักเครื่องยิงหินให้เขามาอยู่บริเวณตรงกลาง เรียงรายอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ทัพศัตรูยังเดินหน้าไม่หยุดโหลวอวี้และอวี้ไท่สังเกตการจากบริเวณที่สูงภายใต้การคุ้มกันจากทหารจำนวนมากระยะห่างนี้ พวกเขาสามารถเห็นการจัดวางตำแหน่งทั้งหมดของทัพศัตรูได้อย่างชัดเจน“ดูเหมือน ทัพศัตรูต้องการไปทำลายรถยิงหินของพวกเราแล้ว”อวี้ไท่หัวเราะมองทหารม้าต้าเฉียนที่อยู่บริเวณด้านหน้าช่องว่าง ทัพศัตรูตอนนี้ยังไม่จู่โจม และกำลังรอให้พวกเขาเข้าใกล้ถึงเช่นไร พวกเขายิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ระยะการจู่โจมของทัพศัตรูก็จะยิ่งสั้นลง ส่วนทหารของปีกทั้งสองข้างพวกเขาจะล้อมศัตรูมีโอกาสน้อยมากโหลวอวี้พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนกำลังรบของทัพศัตรู น่าจะมีสี่ห้าพันคน ต่อให้พวกเราไม่มีทางปิดล้อม อาศัยความได้เปรียบด้านกำลังรบ ก็สามารถกำจัดพวกเขาอย่างน้อยได้ครึ่งนึง”แม้บอกว่าวันนี้เป็นเพียงการทดลองโจมตี แต่พวกเขาก็ยังเคลื่อนทัพสามหมื่นคนอีกทั้ง สองหมื่นคนในนั้นล้วนเป็นทหารม้าขอแค่ทัพศัตรูกล้าบุกทำลายรถยิงหินของพวกเขา พวกเขาก็มีความเชื่อมั่น สามารถกำจัดกำลังรบอย่างน้อยครึ่งนึงของทัพศัตรูออกไปได้ ถึงขั้นทำให้ทำลายทัพศัตรูสิ้นซากรอให้ทัพศัตรูมาทำลายรถยิงหินหกคันของพวกเขาอย่า
ตามสถานการณ์ปกติ รถยิงหินของพวกเขายี่สิบคัน แบ่งเป็นสามส่วนล่อลวงทัพศัตรูไปทำลาย อย่างน้อยสามารถทำลายทหารม้าของทัพศัตรูได้หกเจ็ดพันคนหวกพวกเขาเพิ่มแรงกดดัน ถึงขั้นสามารถทำลายทหารม้าขอทัพศัตรูทั้งหมดทิ้งได้!เมื่อเป็นเช่นนี้ ขวัญทหารของทัพศัตรูก็ย่อมประสบกับอุปสรรคไม่ต้องรบก็เอาชนะได้ก็มีความเป็นไปได้!“จริงด้วย”อวี้ไท่พยักหน้าเห็นด้วย “พวกเราค่อยส่งคนไปรวมตัวกองทัพใหญ่กดดันจากด้านหลัง? หากสามารถกำจัดทหารม้าทั้งหมดได้ในคราวเดียว ภัยคุกคามของทัพศัตรูก็มาไม่ถึงรถยิงหินของพวกเรา”“ไม่ได้!”โหลวอวี้ปฏิเสธข้อเสนอของอวี้ไท่โดยไม่ต้องคิด จากนั้นก็อธิบาย “พวกเราใช้คนกดดันมากเกินไป ทัพศัตรูเกรงว่าคงไม่ทำเช่นนี้แล้ว...”ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคือ ให้ทัพศัตรูใช้จ่ายด้วยความเสียหายมากที่สุดมาทำลายรถยิงหินของพวกเขารอให้พวกเขาเข็นรถยิงหินจากด้านหลังพวกเขามา ทัพศัตรูก็น่าจะลำบากแล้วพงกเขาจ่ายด้วยความเสียหายมากมายทำลายรถยิงหิน ตอนนี้กลับมารถยิงหินมาเติมอีก พวกเขาต้องส่งคนไปทำลายรถยิงหินเหล่านั้นต่ออีกหรือไม่?หสกเขาไม่ส่งคนทำเรื่องพวกนี้ต่อไป การสละชีพของพวกเขาก่อนหน้านี้ก็ไร้ความหมายแล
ค่อยเป็นค่อยไป ทัพศัตรูกองทัพสามเส้นทางลักษณะคล้ายตัวอักษร “ผิน”กองทัพซ้ายขวาสองเส้นทางอยู่ด้านหน้า เส้นทางตรงกลางอยู่ด้านหลัง หยุนเจิงมองขบวนทัพศัตรูจากที่ไกล อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าหัวเราะทัพศัตรูมั่นใจว่าพวกเขาต้องไปทำลายรถยิงหินแน่นอน!ทัพศัตรูตอนนี้เปิดไพ่แล้วเหลือแค่ตะโกนร้องบอกกับพวกเขาโดยตรง ข้าต้องการล้อมคนที่พวกเจ้าส่งไปทำลายเครื่องยิงหิน พวกเจ้าหากหวาดกลัว ก็อย่าได้คิดสนใจเครื่องยิงหินของข้า!หยุนเจิงยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่ง “สั่งฉินชีหู่ ใช้เสียงกลองเป็นสัญญาณ นำกองกำลังบุกไปจากด้านหน้า เปลี่ยนเป็นจู่โจมกองทัพใหญ่เส้นทางขวาของโฉวฉื่อ! สั่งเติ่งเป่าที่อยู่เส้นทางซ้าย หาโอกาสเหมาะสมเปิดฉากจู่โจมพร้อมกันกับฉินชีหู่! บอกพวกเขา แค่แสร้งโจมตี ห้ามรับศึกทัพศัตรูเด็ดขาด! ผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!”ทหารถ่ายทอดคำสั่งออกไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างรวดเร็วแสร้งโจมตี?เมี่ยวอิรมองหยุนเจิงอย่างไม่เข้าใจอยู่ดีๆ เหตุใดหยุนเจิงต้องแสร้งโจมตี?เมี่ยวอินอยากเอ่ยปากถาม หยุนเจิงช้อนตามองไปยังต่งกังที่ยืนด้านข้าง “เจ้าบอกมา เหตุใดข้าส่งทหารไปแสร้งโจมตีกองกำลังโฉวฉื่อ?”ต่งกังเดิมท
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห
“หลายวันมิได้พบกัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่?” ในขณะที่หยุนเจิงและเยี่ยจื่อกำลังตกตะลึง เสียงเย้ยหยันของจักรพรรดิเหวินก็ดังขึ้น เชี่ย! เชี่ย! เชี่ย! ในใจของหยุนเจิงร้องลั่น ตาแก่คนนี้มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร? คนที่ต้องการเข้ามาในเมืองเมื่อครู่นี้ คือตาแก่คนนี้หรือ? หยุนเจิงทั้งหงุดหงิดและอึดอัด รีบลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ให้ตายเถอะ! คนที่ด่านเป่ยลู่ยังไม่รู้เลยว่าตนอยู่ที่เล่ออาน คาดว่าเว่ยหยูคงส่งคนไปแจ้งข่าวที่ติ้งเป่ยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ตาแก่คนนี้ดันมาถึงที่นี่? ถ้าเขามาช้ากว่านี้สักวันก็คงจะดีไม่น้อย! เมื่อเห็นหยุนเจิงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม อู๋เซิงไท่ถึงกับยืนอึ้ง เสด็จพ่อ? บุคคลท่านนี้…คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน? อู๋เซิงไท่ยืนอ้าปากค้าง ถึงกับลืมถวายคำนับ เมี่ยวอินมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับจักรพรรดิเหวิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้พบจักรพรรดิในสถานการณ์เช่นนี้ มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เมี่ยวอินแทบจะวิ่งไปปักมีดใส่จักรพรรดิเหวิน แต่สุดท้ายนางก็อดกล
ได้ยินคำพูดของนายอำเภอ หยุนเจิงก็อดสงสัยไม่ได้ ลับๆ ล่อๆ หรือ? มีแผนการอะไรหรือเปล่า? เขามีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ที่นี่ด้วยนะ! หรือว่าจะมีใครคิดร้ายกับเขาจริงๆ? “พวกเขามีกันกี่คน?” หยุนเจิงถามทันที นายอำเภอตอบว่า “ข้างนอกมืด เห็นแค่ที่สังเกตได้ก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ด้านหลังน่าจะยังมีอีกไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ!” “พวกเขาพกพาอาวุธมาหรือไม่?” หยุนเจิงถามอีกครั้ง “ยังไม่เห็นใครพกพาอาวุธมาพ่ะย่ะค่ะ” นายอำเภอตอบ หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งการว่า “เสิ่นควาน พาคนไปตรวจสอบให้ดี หากพวกเขาไม่ได้พกพาอาวุธ ก็ให้พวกเขาเข้ามาในเมืองได้ ข้างนอกหนาวนัก อย่าให้พวกเขาต้องกินลมกินฝน” “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่งแล้วรีบไปทันที “ควรเตรียมตัวไว้หน่อยไหม?” เมี่ยวอินพูดด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเป้ามาที่ท่านก็ได้นะ” “ปล่อยให้เสิ่นควานพาคนไปดูก่อนเถอะ!” หยุนเจิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้างนอกนี้ยังมีคนของเราคอยเฝ้าอยู่เยอะ จะมาลอบสังหารข้า คิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรือ?” อย่าว่าแต่แค่ร้อยคนเลย ต่อให้มาสักพันคน ถ้าไม่มีอาวุธ ในสายตาของทหารองครักษ์ของเขา ก็
การค้นพบเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยโดยบังเอิญ ทำให้หยุนเจิงมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในค่ำคืนนั้น หยุนเจิงอดใจไม่ไหว จึงชวนทุกคนในจวนมาตั้งวงกินหม้อไฟในที่ว่าการ ผู้ที่กินเผ็ดได้ ก็ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยสับลงในน้ำจิ้ม ส่วนผู้ที่กินเผ็ดไม่ได้ ก็ใช้เพียงน้ำจิ้มธรรมดา เมื่อทุกคนเริ่มกิน ก็พบว่าน้ำจิ้มที่ใส่เถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยนั้นให้รสชาติที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ความรู้สึกแสบลิ้นนั้นกลับทำให้เจริญอาหารอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้จะเผ็ดจนต้องแลบลิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งกินก็ยิ่งอยากกิน แม้แต่เยี่ยจื่อที่กำลังตั้งครรภ์และมักเบื่ออาหาร ก็ยังรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น “ท่านอ๋องช่างเป็นผู้วิเศษนัก หากไม่ใช่เพราะท่าน พวกเราคงไม่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงได้!” อู๋เซิงไท่กล่าวยกยอพลางกินเนื้อหมูนุ่มๆ ที่จิ้มน้ำจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำที่ต้มจากเถาวัลย์เหล็กซั่วเป่ยบ่อย จึงกินเผ็ดได้มากกว่าเยี่ยจื่อและคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋เซิงไท่ก็กินจนเหงื่อท่วมศีรษะ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหน้าผาก ดูราวกับเขากำลังฝึกยอดวิชายุทธใดๆ อยู่ “เลิกยกยอเสียที รีบเก็บเกี
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ