ล่อลวงหยุนเจิงเป็นฝ่ายเคลื่อนทัพ?เจียเหยาหนังตากระตุก เริ่มขบคิดขึ้นมาทันทีหลังจากนั้นชั่วครู่ เจียเหยานัยน์ตาไหววูบสว่างไสว “อย่าว่าไป นี่มีความเป็นไปได้!”โฉวฉื่อและแคว้นต้าเย่ว์มาตรึงกำลังหลักของกองทหารมณฑลทางเหนือ กุ่ยฟางย้อนด้วยการส่งทหารสร้างความประหลาดใจ ตัดเส้นทางหลังของกองทหารมณฑลทางเหนือ นี่เป็นแผนการทำศึกที่ไม่เลวเลยแต่แผนการนี้มีปัญหาหนึ่งอันตรายถึงชีวิต เส้นทางการจัดสรรห่างไกลเกินไป!โดยเฉพาะสำหรับกุ่ยฟาง!หากหยุนเจิงเป็นฝ่ายเคลื่อนทัพโจมตีโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ กุ่ยฟางสามรถเคลื่อทัพอย่างรวดเร็วจากฉวนหรง บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์อย่างรวดเร็วในการตัดเส้นทางด้านหลังของกองทัพมณฑลทางเหนือเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทัพของพวกเขาได้อย่างมากเท่านั้น ยังสามารถย่นระยะทางการจัดสรรของพวกเขาด้วยส่วนพวกเขาล้อมกำลังหลักของกองทหารมณฑลทางเหนือเอาไว้ การโจมตีกำลังเสริมของกองทหารมณฑลทางเหนือก็ยังสามารถบรรลุเป้าหมายได้เหมือนเดิมสิ่งสำคัญที่สุดคือ แผนการนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเป่ยหวนมากเกินไปจอแค่หยุนเจิงทำเช่นนี้ ไม่ว่าเป่ยหวนจะมีท่าทีเช่นไร พวกเขาล้วนสามารถบรร
“ไม่ได้ลำบากอย่างที่เจ้าคิด”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “ตอนนี้ศัตรูกำลังวางกับดักพวกเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ตัวเองเข้าสู่กับดัก สามารถเป็นฝ่ายหาแผนการทำลายกับดักก่อนเข้าสู่กับดักได้!”เป็นฝ่ายหาแผนการทำลายกับดักหรือ?เจียเหยาครุ่นคิดเงียบๆ ขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าคงไม่คิดให้ข้าเป็นฝ่ายเริ่มบุกโจมตีกุ่ยฟางกระมัง?”ในชั่วพริบตา เจียเหยารู้สึกว่าหยุนเจิงกำลังวางแผนใส่นางอีกแล้วหยุนเจิงหัวเราะอย่างแฝงเลศนัย “ความจริง กลยุทธตอนแรกสุดของพวกเราไม่ค่อยมีปัญหาใหญ่ เพียงแต่ ทางนี้ข้าจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางการบุกโจมตีก็เท่านั้น...”ทิศทางการบุกโจมตี?“ความหมายของเจ้าคือ เจ้าบุกโจมตีแคว้นต้าเย่ว์ เปลี่ยนเป็นบุกโจมตีโฉวฉื่อ?”เจียเหยาครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจความหมายของหยุนเจิงแล้วนี่ก็ไม่ยากที่จะคาดเดาถึงเช่นไร กำลังทหารของแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉื่อต่างก็รวมตัวกันอยู่ที่ชายแดนของทั้งสองแคว้นหากหยุนเจิงบุกโจมตีแคว้นต้าเย่ว์ เปลี่ยนไปเดินทางไกลบุกเข้าสู่กุ้ยฟางโจมตีด้านหลังกุ่ยฟาง ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลวิธีที่ดีที่สุด ย่อมเป็นการฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากสถานที่อื่นของโฉวฉื่อที่กำลังทหารว่างเป
หลังกินข้าวเสร็จ พวกหยุนเจิงพาเจียเหยาเดินทางไปทะเลสาบไป๋หลางทางนั้นไม่ได้มีเพียงโรงเตาเผา ยังมีโรงงานผลิตถ่านหินรังผึ้งด้วยคนที่อพยพมากจากเป่ยหวนมากมยาถูกจัดให้ทำงานอยู่ทางนั้น ตั้งแต่ช่วงระยะนี้ ทางนั้นกลายเป็นตำบลขนาดย่อมแห่งหนึ่ง“เจ้าคิดจะสร้างป้อมปราการกี่แห่ง?”ระหว่างทางไปยังทะเลสาบไป๋หลาง จู่ๆ เจียเหยาก็ถามหยุนเจิง“ตอนนี้คิดจะสร้างป้อมปราการสามแห่งกระมัง!”หยุนเจิงไม่ปิดบัง “แต่ว่า ความยากของการสร้างป้อมปราการไม่เล็ก ค่อยเป็นค่อยไปทีละก้าวเถอะ! ความจริง สิ่งที่ข้าหวังมากที่สุดคือ หนึ่งเมืองไม่ต้องมีป้อมปราการ”หนึ่งเมืองไม่ต้องมีป้อมปราการหรือ?เจียเหยาแอบหัวเราะขมขื่นในใจนางฟังความหมายอื่นของหยุนเจิงออกจุดประสงค์ที่สำคัญในการสร้างป้อมปราการของหยุนเจิง ก็เพื่อกดขี่เป่ยกวนหากเป็นกวนยอมสวามิภักดิ์ ไม่คิดมีใจเป็นอื่น เขาหนึ่งเมืองไม่จำเป็นต้องมีป้อมปราการแล้วแต่นี่เป็นไปได้หรือ?ย่อมเป็นไปไม่ได้!ต่อให้นางบอกว่าเป็นกวนไม่มีทางมีใจเป็นอื่นตลอดไป หยุนเจิงก็ไม่มีทางเชื่อ!ดังนั้น ป้อมปราการของหยุนเจิงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นานถึงขั้นคิดได้ถึงตำแหน่งโดยป
เขาให้เสบียงอาหารกับนางแค่สามแสนหาบ นึกไม่ถึงว่านางจะไม่ต่อรองราคา?นี่ไม่เหมือนนิสัยของเจียเหยาเลย!“เหตุใดเจ้าไม่ต่อรองราคา?”สุดท้ายเมี่ยวอินก็อดไม่ได้ที่จะถาม“เจ้าคิดว่า เขาจะให้โอกาสข้าต่อรองราคาหรือ?”เจียเหยาเบ้ปาก สายตาทอดมองหยุนเจิง“ไม่ให้!”หยุนเจิงหัวเราะ มองเจียเหยาด้วยความชื่นชม “ไม่เลว เรียนรู้ที่จะฉลาดแล้ว!”เจียเหยาเมื่อได้ฟัง ก็จ้องมองหยุนเจิงด้วยความโหดร้ายอย่างควบคุมไม่อยู่นางไม่ใช่เรียนรู้ที่จะฉลาดแล้ว!นางถูกบีบบังคับต่อให้ทองคำล้ำค่าเพียงใด ก็ไม่อาจกินแทนข้าวได้ตอนนี้ หยุนเจิงมีอาหารอยู่ในมือ หยุนเจิงยอมขายให้นาง นางก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้วนางต่อรองราคา หยุนเจิงไม่ขายอาหารให้นาง นางก็ทำได้เพียงแต่ร้องไห้โดยไร้น้ำตาแล้วสนทนากันตลอดทาง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทะเลสาบไป๋หลางแล้วเจียเหยาจำได้ ครั้งก่อนที่ผ่านมาทางนี้ เป็นเมื่อเกือบสามเดือนที่แล้วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามเดือน ที่นี่เปลี่ยนแปลกไปมากมองจากที่ไกลๆ สามารถมองเห็นภาพเงาคนทำงานไม่น้อยเตาเผาอิฐขนาดยักษ์แต่ละเตาสร้างขึ้นมาแล้ว ควันหนาทึบลอยมาจากปล่องไฟแต่ว่า ภายในอากาศที่นี่มีกลิ่นแสบจม
เจียเหยาพูดไป ด้านหนึ่งก็ส่งสายตาให้คนเหล่านั้น อยู่ที่นี่ ไม่มีองค์หญิงเจียเหยาแห่งเป่ยหวนมีเพียงฮูหยินเจียเหยาตั้งแต่เมื่อครู่ที่นางเห็นหยุนเจิง หยุนเจิงก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนแล้วต่อให้เขาต้องทำความเคารพ ก็ต้องทำความเคารพหยุนเจิงก่อนตอนนี้พวกเขาเป็นราษฎรต้าเฉียนแล้ว ไม่อาจเอาแต่คิดถึงนางที่เป็นองค์หญิงผู้นี้ได้อยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ไม่อาจไม่ก้มหัว!แม้จะโหดร้าย แต่หากพวกเขาใช้ชีวิตดีขึ้นหน่อย ก็จะเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์ข้อนี้พวกเขาน่าจะรู้ดี หยุนเจิงไม่ใช่คนดีมีเมตตาด้วยการส่งสัญญาอย่างบ้าคลั่งของเจียเหยา ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจแล้ว รีบคุกเข่าลง ก้มตัวลงต่ำ “ข้าน้อยคาราวะท่านอ๋อง คาราวะฮูหยินเมี่ยวอิน...”หยุนเจิงใบหน้าบึ้งตึง ช้อนลูกตามองพวกเขา น้ำเสียงและหน้าตาดุดัน “เห็นแก่นี่เป็นความผิดครั้งแรก ครั้งนี้จะปล่อยพวกเจ้าไป! หากมีครั้งหน้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”“ขอรับ!”ทุกคนก้มหน้าเอาเป็นเอาตาย พากันตอบด้วยความกลัวตัวสั่น“ลุกขึ้นเถอะ!”หยุนเจิงถากถางเสียงเบา จากนั้นก็ออกคำสั่ง “ปลดผ้าปิดหน้า”เจียเหยาคิดว่าหยุนเจิงต้องการจำหน้าตาของคนเหล่านี้ จะได้คิดบัญชีกับพวกเขาใน
เจียเหยาไม่พูดจา เพียงแค่กลั้นน้ำตาเดินตามเมี่ยวอินไปมาถึงบริเวณปั้นดินเหนียว ยังไม่ทำรอให้หยางสวี่เข้ามา หยุนเจิงสั่งให้ผู้ชายทุกคนถอดเสื้อออกไม่ผิดจากที่คาด คนเหล่านี้ส่วนล้วนผอมแห้งเห็นกระดูกถึงขั้นมีบางคนร่างกายผอมซูบเซียว ใกล้จะกลายเป็นไม้เสียบผีแล้วภายในนี้ ไม่ได้มีเพียงคนของเป่ยหวน ยังมีชาวต้าเฉียน ชาวเหมิงกู่และเจินเกอด้วยทว่า ชาวตาเฉียนมีเพียงส่วนน้อยหยุนเจิงเรียกชาวเป่ยหวนคนหนึ่งที่ผอมจนเห็นกระดูกมา “เจ้าชื่ออะไร?“ฮ๋าวตู๋”“ค่าแรงทุกวันเจ้าได้เท่าไหร่?”“ค่าแรง? พวกเรา...พวกเราไม่ได้รับค่าแรง!”“ไม่มีค่าแรง?”นัยน์ตาหยุนเจิงฉายแววพยาบาทจากนั้น หยุนเจิงก็ถามติดต่อกันอีกหลายคนนอกจากชาวต้าเฉียน คนเหล่านี้ต่างก็ไม่ได้รับค่าแรงต่อให้เป็นชาวต้าเฉียน ค่าแรงก็ยังน้อยจนน่าสงสารทุกวันพวกเขาได้กินอาหารแค่สองมื้อ อีกทั้งก็เป็นของประเภทน้ำแกงใสกับข้าวกินคู่กัน โดยพื้นฐานแล้วเป็นผักดองเป็นหลักส่วนเนื้อ ไม่ต้องคิดถึงเลย ไม่มีเลยสักนิด!ถามคำถามเหล่านี้จบ สีหน้าของหยุนเจิงเปลี่ยนเป็นดูยากหยางสวี่วิ่งมาด้วยความกังวลเต็มหัวใจ เห็นทุกคนถอดเสื้อท่อนบนหมดแล้ว ใบหน
หยางสวี่เป็นคนไร้ศักดิ์ศรีไม่รอให้หยุนเจิงสั่งคนเข้าเครื่องทรมาน หยางสวี่ก็บอกเรื่องราวทุกอย่างออกมาหมดแล้วนอกจากเขาแล้ว นายบัญชีของโรงเตาเผาก็ทุจริตด้วยสิ่งที่เขาบอกกับพวกเป่ยหวน เจินเกอและเหมิงกู่คนทั้งสามเผ่าคือ คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนมีความผิด ให้พวกเขาทำงานที่โรงเตาเผา คือการให้โอกาสพวกเขาได้ทำงานชดเชยความผิด ต้องทำให้ครบหนึ่งปี จึงจะมีค่าแรงคนของสามชนเผ่าเดิมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถมีชีวิตสุขสบายในโรงเตาเผาอยู่แล้ว ขอแค่มีข้าวกิน ไม่หิวตายก็พอแล้วดังนั้นจึงไม่สงสัยเรื่องเงินเดือนหยางสวี่ยังขายจางซูอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา บอกเรื่องที่เขาจ่ายเงินซื้อตำแหน่งห้าหมื่นตำลึงเงินออกมาทั้งหมดหยางสวี่กล่าวด้วยน้ำตานองอยู่ตรงนั้น เมี่ยวอินกลับแอบส่ายหน้าเจ้าคนโง่เขลา!คนเช่นเขา คิดอยากเป็นขุนนาง?ขายจางซูต่อหน้าทุกคน ยังคาดหวังให้ใครสามารถปกป้องเขาได้?ทว่า ตอนนี้จางซูไม่อยู่ที่ซั่วเป่ย พวกเขาก็ไม่อาจพึงพาจางซูได้พูดหรือไม่พูด ก็ไม่ต่างกันแล้วสีหน้าหยุนเจิงเย็นชา ถามด้วยเสียงดุดัน “เงินที่เจ้าทุจริตอยู่ที่ใด?”หยางสวี่ห้องไห้ “อยู่ที่บ้านของข้าน้อย...”หยุนเจิงหน้าบึ้ง
นี่...เป็นเรื่องจริงหรือ?“ขอบคุณท่านอ๋อง!”ขณะที่ทุกคนยัคงยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ก็มีคนหนึ่งคุกเข่าลงทันที จากนั้นก็ตะโกนร้องไห้มีคนผู้นี้เป็นแกนนำ ทุกคนราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝันชั่วพริบตานั้น ทุกคนคุกเข่าลงกันเป็นแถบ“ขอบคุณท่านอ๋อง”“ขอบคุณท่านอ๋องที่ตัดสินให้ข้า...”“ท่านอ๋องฉลาดปรีชา...”ทุกคนพากันคุกเข่าตะโกนร่ำร้องคนไม่น้อยต่างตื้นตันจนร้องไห้ออกมาเวลานี้ ความไม่เป็นธรรมและความโกรธแค้นในใจทุกคนต่างก็ได้ระบายออกมาแล้ว เหลือเพียงความยินดีและความตื้นตันเมื่อเห็นทุกคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น นัยน์ตาเจียเหยาไหววูบเป็นประกายไอสารเลวสมควรตาย!ที่แท้ก็รออยู่ตรงนี้เอง!หยุนเจิงยกมือห้ามปรามทุกคน จากนั้นก็ชี้ไปที่หยางสวี่และนายบัญชี “ส่วนพวกสองคนนี้ ข้ามอบให้พวกเจ้าจัดการก่อน! พวกเจ้าโกรธก็ระบายความโกรธ มีแค้นก็ชำระแค้น อย่าทำให้ถึงตายก็พอแล้ว!”เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง หยางสวี่และนายบัญชีตกใจจนขาอ่อน คุกเข่ากับพื้นร้องไห้อ้อนวอนไม่หยุดทว่า เดิมทีหยุนเจิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขา เพียงแค่สั่งให้คนนำสองคนนี้มอบให้เหล่าคนงาน“ตีไอสัตว์เดรัจฉานนี่ให้ตาย!”ไม่รู้ผู้ใดตะโกนนำเป็นคน
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห