หลายวันต่อมา หยุนเจิงอยู่ที่สำนักศึกษาเตรียมทหารโดยตลอดนอกจากฃสอนศิลปะสงครามให้บรรดานักเรียนแล้ว หยุนเจิงยังออกความคิดเห็นเกี่ยวกับสำนักศึกษาเตรียมทหารด้วย ฉวยโอกาสตอนเขาอยู่ที่นี่ สิ่งที่ควรแก้ไขก็แก้ไขวันนี้ หยุนเจิงกำลังสอน เมี่ยวอินรีบร้อนปรากฏตัวอยู่หน้าห้องเรียน ส่งสายตาให้หยุนเจิงหยุนเจิงเข้าใจ สั่งให้ทุกคนแยกแยะสิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวไปก่อนหน้านี้ รีบเดินมายังประตูหน้าห้องเรียนเมี่ยวอินนำจดหมายในมือฉบับนั้นมอบให้หยุนเจิงทันทีเห็นเนื้อหาในจดหมาย หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากนี่ไม่ใช่บทเรียนหรือ?กรณีศึกษาสำเร็จรูปมาแล้ว?“เจ้าไปทำงานของเจ้าก่อนเถอะ!”หยุนเจิงพยักหน้ายิ้มให้เมี่ยวอินเล็กน้อย กลับเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง บรรยายเนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ต่อหน้าทุกคนนี่คือข่าวสำคัญจากส่ายสืบที่เขาส่งไปโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ข่าวที่คนของเขาได้กับข่าวที่กู่เก๋อบอกมีบางส่วนไม่เหมือนกันตอนนี้ แคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉือไม่ได้ร่วมมือกัน ในทางกลับกันความสัมพันธ์ยังตึงเครียดสาเหตุของเรื่อง ดูเหมือนเพราะองค์ชายสี่ที่ได้รับการยกย่องจากแคว้นต้าเย่ว์ถูกลอบสังหารจากมือสังหารตอนที่ล
โจมตีทุ่งหญ้าซิ่นหลินหรือ?หลังสิ้นเสียงของนักเรียนผู้แข็งแกร่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในดังขึ้นไม่หยุดทุกคนต่างก็กำลังครุ่นคิด มีความเป็นไปได้เช่นนี้หรือ?ไม่นาน พวกเขาก็ได้รับคำตอบแล้วมีความเป็นไปได้โดยสมบูรณ์!“เจ้าชื่ออะไร?”เวลานี้ หยุนเจิงสุดท้ายก็เอ่ยปากถามนักเรียนผู้แข็งแกร่งคนนั้น“ข้าน้อย ชื่อเสียงต่ำต้องเหลียงชิง”“เหลียงชิงใช่หรือไม่?”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อยมองเหลียงชิง “ข้าถามเจ้า เป่ยหมัวถัวตอนนี้เป็นแคว้นบริวารของต้าเฉียนเรา หากแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉือโจมตีเป่ยหวนจากทางเดินทะเลทรายตะวันตก จำเป็นต้องผ่านเป่ยหมัวถัว ถูกหรือไม่?”“ถูกต้อง!”ชิงเหลียงพยักหน้าหนักแน่นหยุนเจิงยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ถามต่อ “พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาไม่กลัวพวกเราฉวยโอกาสตอนพวกเขาโจมตีทางเดินทะเลทรายตะวันตก เคลื่อนทัพไปตัดเส้นทางของหลังของพวกเขาโดยตรงหรือ?หยนุเจิงกล่าว จากนั้นก็หยิบท่อนไม้บนโต๊ะ ชี้ไปยังแผนที่ขนาดใหญ่ด้านหน้า“นี่...”ชิงเหลียงพลันใจกระตุก ทันใดนั้นก็กล่าวสิ่งใดไม่ออกจริงด้วย!หากแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉือร่วมมือกันบุกทางเดินทะเลทรายตะวันตก ต้าเฉียนสามารถเคลื่อนทัพจากเขาห่านป
หยุนเจิงอยู่ที่สำนักศึกษาเตรียมทหารอยู่หลายวันทุกวันนอกจากสอนนักเรียนของสำนักศึกษาเตรียมทหารแล้ว ก็ยังหาเวลาทำกล้องส่องทางไกลลำกล้องเดียวกล้องส่องทางไกลสิ่งนี้ กล่าวไปนั้นง่าย แต่ทำขึ้นมาจริงๆ ไม่ง่ายสาเหตุสำคัญมาจากการเจียรไนผลึกหินใสที่ค่อนข้างยุ่งยากนี่เป็นงานที่พิถีพิถันหยุนเจิงไม่ได้มีความอดทนเช่นนั้น แต่ตอนเริ่มทำสิ่งนี้ ไม่สามารถมอบให้คนที่ใดมาทำก็ได้ ทำได้เพียงทำเองด้วยความอดทนเพื่อมอบพลังให้ตัวเอง หยุนเจิงนำเรื่องนี้เดิมพันกับเมี่ยวอินยังดี ผ่านความหมั่นเพียรหลายวันของหยุนเจิง ในที่สุดกล้องส่องทางไกลลำกล้องเดียวทำออกมาได้แล้วหยุนเจิงชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตัวเอง“ขี้เหร่จริงๆ!”หยุนเจิงตัวเขาเองยังอดสบถไม่ได้ตอนนี้กล้องส่องทางไกลลำกล้องเดียวแบบยืนหดได้ทำมาจากไม้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร เขายังไม่ได้ทดลองตอนนี้นี่เป็นเพียงต้นแบบของกล้องส่องทางไกลมองได้ไกลเท่าใด หยุนเจิงก็ยังไม่แน่ใจแต่ว่า มองเห็นคนและทิวทัศน์ที่อยู่ห่างออกไปสองกิโลเมตรน่าจะไม่มีปัญหาแน่นอน คิดจะมองใบหน้าคนให้ชัดเป็นไปไม่ได้กลับไปต้องให้จางซูผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติทำตามต้นแบบใหม่อีกครั้ง
แต่ว่า สำหรับหยุนเจิงแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วนี่เป็นเพียงคนสองคนและม้าสองตัว หากเป็นการเคลื่อนไหวของทัพศัตรูขนาดใหญ่ ใช้การมองผ่านดวงตาพันลี้ นอกยี่สิบลี้น่าจะเห็นการจัดทัพโดยคร่าวๆ ของทัพศัตรูได้อย่างชัดเจนระยะห่างนี้ เพียงพอแล้ว!“เจ้ามาดู!”หยุนเจิงนำดวงตาพันลี้ในมือส่งให้เมี่ยวอิน “ดูว่าเจ้าหาสองคนนั้นกับม้าสองตัวพบหรือไม่!”เมี่ยวอินรับมา ส่องหาด้วยดวงตาพันลี้ไม่นาน เมี่ยวอินก็หาตำแหน่งของสองคนนั้นและม้าสองตัวพบ“ตรงนั้น!”เมี่ยวอินชี้ไปที่ตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่ด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ฟังเช่นนี้ พวกตู๋กูเช่อรู้สึกคันที่หัวใจยากต่อการอดทนตู๋กูเช่อมองเมี่ยวอินตาปริบๆ ราวกับวินาทีถัดไปจะแย่งดวงตาพันลี้มาจากมือของเมี่ยวอินหยุนเจิงหัวเราะ จางนั้นก็ตบเมี่ยวอินเบาๆ บ่งบอกให้เมี่ยวอินนำดวงตาพันลี้ส่งให้พวกตู๋กูเช่อเมี่ยวอินส่งดวงตาพันลี้ไปให้ด้วยความที่ยังดูไม่หนำใจ ทันทีที่ตู๋กูเช่อรับดวงตาพันลี้มา ก็จงใจเปลี่ยนไปอีกทิศทาง จางนั้นค่อยเริ่มหาร่องรอยขอสองคนนั้นและม้าสองตัวในที่สุด ตู๋กูเช่อก็เจอตำแหน่งของสองคนนั้นและม้าสองตัวแม้มองเห็นหน้าตาทั้งสองคนไม่ชัด แต่กลับตัดส
หนึ่งวันให้หลัง หยุนเจิงมาถึงด่านเป่ยลู่หยุนเจิงเพิ่งจะเข้าสู่ด่านเป่ยลู่ มาถึงก็เห็นเยี่ยจื่อที่ยืนรออยู่ตรงประตูเมืองจั่วเริ่นยืนเป็นเพื่อนเยี่ยจื่ออยู่ด้านข้างชั่วพริบตาที่เห็นเยี่ยจื่อ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะชะงักเล็กน้อยเหตุใดเยี่ยจื่อมายังด่านเป่ยลู่?ใครนำข่าวพวกคนชั่วมาหาเรื่องซั่วเป่ยไปบอกนาง?ครุ่นคิดชั่วครู่ หยุนเจิงลงจากหลังม้ามาหาเยี่ยจื่อ “เจ้ามาได้เช่นไร?”เยี่ยจื่อมองเขาด้วยสายตาโมโห “เรื่องนี้ เจ้ายังคิดจะปิดบังข้า?”เรื่องนี้ ไม่เพียงแค่นางรู้ เสิ่นลั่วเยี่ยนและฮูหยินเสิ่นพวกนางต่างก็รู้ด้วยเช่นกันตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ปอดของเสิ่นลั่วเยี่ยนแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ แทบจะควบม้าบุกมายังด่านเป่ยลู่ อยากจะสั่งสอนคนพวกนี้ให้หนักยังดีที่พวกนางใช้เหตุผลว่าเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังตั้งครรภ์ จึงทำให้นางสงบลงได้หยุนเจิงอยากปกปิดเยี่ยจื่อจริงแท้ถูกเยี่ยจื่อกล่าวเช่นนี้ หยุนเจิงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ถามเปลี่ยนประเด็น “ใครบอกเจ้า?”ระหว่างสนทนา หยุนเจิงเงยหน้ามองจั่วเริ่นจั่วเริ่นยิ้มเหยเกมองหยุนเจิง ใบหน้าไร้ความผิดเขาส่งคนไปรายงานด่วนที่ติ้งเป่ย เขาไม่รู้ว่าเ
ยังจะประท้วง?ถูกคนใช้เป็นหอกแล้ว ยังคิดว่าตัวเองดีเลิศเลอ?เห็นตัวพวกเขาเองเป็นอาหารหนึ่งจานแล้ว?หยุนเจิงถากถางอย่างดูถูก กล่าวนิ่งๆ “ไปเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมพวกเขา!”“ตามความเห็นของข้า องค์ชายอย่าเพิ่งปรากฏตัวเลย”จั่วเริ่นเกลี้ยกล่อม “องค์ชายคิดจัดการพวกเขาเช่นไร มอบให้ข้าไปทำก็พอแล้ว! คนเหล่านี้แล้วไม่ใช่ผู้มีปัญญาแท้จริง แต่ในเมื่อเป็นตัวแทนของปัญญาชนทั้งใต้หล้า คนทั้งใต้หล้าก็จะตำหนิข้า แต่หากองค์ชายไป พวกเขามีเรื่องใด องค์ชายก็จะถูกประณาม…”“พวกเขาเป็นตัวแทนปัญญาชนทั่วใต้หล้าไม่ได้!”หยุนเจิงตัดบทจั่วเริ่น สีหน้าดูถูก “พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มคนคร่ำครึไร้ความสามารถก็เท่านั้น!”หากปัญญาชนทั้งใต้หล้าล้วนเป็นคนชั่วเช่นนี้ รัชสมัยต้าเฉียนคงจบเห่ไปนานแล้ว!หาคนกลุ่มนี้มีความสามารถจริง ต่อให้ไม่เข้าราชสำนัก เช่นไรก็สามารถเป็นขุนนางชั่วคราวได้หากมีตำแหน่งขุนนางจริง พวกเขาไหนเลยจะมีเวลามากมายมาโจมตีทั้งด้วยวาจาและพู่กันกับเขาที่ซั่วเป่ย?แม้แต่ตำแหน่งขุนนางยังไม่มี ยังคู่ควรเรียกว่าปัญญาชนหรือ?บอกตามตรง ก็แค่กลุ่มสวะที่ถูกคัดออกยังพยายามสร้างตัวตนอย่างบ้าคลั่งก็เท่านั้น!คาดว่
ไม่นาน ขบวนคนพวกหยุนเจิงก็มาถึงนอกด่านเป่ยลู่มองดูพวกคนร้องทุกข์นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับแม่ไก่ฟักไข่ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะถากถางบนโลกมักมีคนไม่รู้ว่าสิ่งใดควรมิควร!มักมีคนคิดว่า ทุกคนต่างต้องเคารพสิ่งที่เรียกว่าปราชญ์ขงจื้อเพียงแต่น่าเสียดาย แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เห็นคนเช่นนี้อยู่ในสายตาคิดจะใช้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนมาครอบงำปณิธานของเขา?ไร้เดียงสาและน่าหัวเราะ!สายตาของหยุนเจิงกวาดมองกลุ่มคนที่นั่งกรรมฐานประมาณการคร่าวๆ ตรงนี้น่าจะมีอย่างน้อยสามร้อยคน“เหตุใดจึงมีคนเพียงเท่านี้?”หยุนเจิงขมวดคิ้วถามจั่วเริ่น “ทุกคนที่มาร้องทุกข์อยู่ที่นี่แล้ว?”“……”เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เยี่ยจื่อและเมี่ยวอินอดไม่ได้ที่จะพูดไม่ออกเหมือนว่า เขารังเกียจที่คนมาน้อยเกินไปแล้ว?หรือว่า เขาหวังให้คนมาร้องทุกข์ที่ซั่วเป่ยมีแปดพันหมื่นคน?จั่วเริ่นกล่าวด้วยความเคารพ “คนที่มาร้องทุกข์ทั้งหมดอยู่นี่แล้ว ผู้นั้นก็คือเกาซื่อเจินที่เป็นแกนนำ”กล่าวจบ จั่วเริ่นชี้ไปยังเกาซื่อเจินที่นั่งสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าสุดพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล หยุนเจิงเห็นหน้าตาของเกาซื่อเจินไม่ชัดแต่ว่า สำหรับหยุนเจิง
ถึงเช่นไร ปัญญาชนทั้งใต้หล้ามีมากมาย ปัญญาชนที่ไม่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน คนอื่นมีสิทธิ์ใดมาแนะนำคนที่ไม่มีชื่อเสียงสักนิด?หยุนเจิงรับคำร้องทุกข์ของพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่สำคัญมากนักขอแค่เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ต่อให้หยุนเจิงไม่ตอบรับคำร้องทุกข์ของพวกเขา ก็ยังมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ดีหลังจากกลับไป คนทุกจตุรทิศป่าวประกาศเรื่องนี้ ชื่อเสียงก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?ถึงเช่นไรก็มีนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่เกาซื่อเจินอยู่ด้วย ต่อให้หยุนเจิงเป็นท่านอ๋อง ก็คงไม่กล้าทำสิ่งใดพวกเขาขณะที่ทุกคนกำลังแอบดีใจ หยุนเจิงได้เดินมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วหยุนเจิงมองประเมิณเกาซื่อเจินบนศีรษะของชายชราผู้นี้ขาวหมดแล้ว แต่ว่า กลับไม่มีความรู้สึกเหมือนไม้ใกล้ฝั่งในทางกลับกัน ชายชราผู้นี้ยังดูมีชีวิตชีวายิ่งนักชุดนักปราชญ์จัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกโดดเด่นมองไปแล้ว มีมาดของนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่อยู่จริง“ท่านคือจิ้งเป่ยอ๋อง?”เกาซื่อเจินช้อนตามองหยุนเจิง แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังนั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น“เป็นข้าเอง!”สายตาของหยุนเจิงทอดมองบนตัวเกาซื่อเจิน
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห