ต่งกังรับคำสั่งแล้วจากไปทว่า เด็กน้อยตกใจจนเสียสติแล้ว ทำเพียงร้องไห้อย่างแรง ต่งกังถามอยู่ตั้งนาน ก็ถามสิ่งใดออกมาไม่ได้ต่งกังวิ่งกลับมาหน้านิ่วคิ้วขมวดรายงานกับหยุนเจิงหยุนเจิงขมวดคิ้ว ออกคำสั่ง “พามา ข้าเอง...”“รอก่อนค่อยว่ากัน!”เมี่ยวอินดึงหยุนเจิงเอาไว้ “เด็กคนนั้นน่าจะเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริง!”ท่าไม้ตาย?เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนมองเมี่ยวอินอย่างประหลาดใจเด็กคนเดียว จะมีท่าไม้ตายใดได้?หยุนเจิงลูกตาหดลง “เจ้าหมายถึง นี่ไม่ใช่เด็ก? เป็นคนแคระ?”“เป็นไปได้มาก!”เมี่ยวอินพยักหน้าเบาๆ “ข้าเคยได้ฟังอาจารย์ข้าเล่า มีคนตาหาคนประเภทนี้โดยเฉพาะ เลี้ยงดูให้กลายเป็นมือสังหารอย่างลับๆ ฉวยโอกาสที่เป้าหมายไม่ทันได้ป้องกันตัวเปลี่ยนเป็นการลอบสังหาร...”เช่นนั้นหรือ?เสิ่นลั่วเยี่ยนปรายตามองเด็กสาวที่คุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นก็กล่าวกับหยุนเจิง “ฟังเมี่ยวอินเถอะ”“ใช่!”เยี่ยจื่อพยักหน้า “สุภาพบุรุษจะไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงอันตราย ระวังไว้จะดีที่สุด!”นางและเสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เข้าใจเรื่องบางอย่างของยุทธภพแต่ในเมื่อเมี่ยวอินบอกว่ามีคนประเภทนี้ ก็จำเป็นต้องระวังเอาไว้
เมี่ยวอินนิ่งเงียบเล็กน้อย จากนั้นก็สั่งต่งกัง “ถอนเสื้อของนางออกให้หมด!”“ห๊า?”ต่งกังชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็มองเมี่ยวอินด้วยความตกใจฮูหยินเมี่ยวอินคิดทำสิ่งใด?โบยศพ?โบยศพก็ไม่ต้องถอดเสื้อผ้าเปลือยเปล่านี่?“เร็วเข้า!”เมี่ยวอินเร่งเร้าต่งกังได้สติกลับมา รีบทำตามความต้องการของเมี่ยวอินถอนเสื้อผ้าของคนแคระจนเปลือยเปล่าเมี่ยวอินพลิกร่างกายศพดูไปมาหลายรอบ จากนั้นก็สั่งให้พวกเขาจัดการศพ แล้วเดินไปหาหยุนเจิงเกาเหอพาคนไปตรวจสอบศพอื่นที่เหลือ ดูว่าสามารถหาสิ่งของมีค่าบนร้างกายศพพบหรือไม่“เกิดเรื่องใดขึ้น?”หยุนเจิงถามเมี่ยวอิน“ไม่มีเรื่องใด”เมี่ยวอินขมวดคิ้ว “ข้ารู้จักองค์กรนักฆ่าแห่งหนึ่ง ภายในน่าจะมีคนประเภทนี้! แต่ข้าถอดเสื้อนางออก บนตัวไม่มีสัญลักษณ์ขององค์กรนักฆ่านั้น! นางน่าจะไม่ใช่คนขององค์กรนักฆ่าแห่งนั้น!”“องค์กรนักฆ่าแห่งนั้นชื่ออะไร?” หยุนเจิงถาม“อีกาดำ”อีกาดำหรือ?อีกาเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายชื่อนี้ เหมาะสมมากหยุนเจิงจดจำชื่อนี้ไว้เงียบๆไม่ว่าคนแคระผู้นี้เป็นคนของอีกาดำหรือไม่ ก็สามารถเริ่มจากอีกาดำได้นัยน์ตาหยุนเจิงฉายแววอาฆาต จากนั้นก็เรียก
การลอบสังหารณ์ที่มากะทันให้ทำให้บรรยากาศภายในรถตึงเครียดขึ้นมากหญิงสาวทั้งสามไม่ได้ไปรบกวนหยุนเจิง แล้วก็กำลังคาดเดาว่าที่แท้ใครเป็นคนทำสามารถเลี้ยงหน่วยพลีชีพที่จงรักภักดีได้เช่นนี้ ต้องบอกว่า ผู้บงการเบื้องหลังคนนี้ร้ายกาจมากหยุนเจิงนั่งพึงตัวรถม้า ภายในสมองความคิดโลดแล่นสิ่งแรกที่เขาคิดได้คือ คนเหล่านี้เป็นไปได้สูงว่าเจ้าสามส่งมาหากเขาตาย คนที่ดีใจมากที่สุด ย่อมต้องเป็นเจ้าสามแต่ เรื่องเจ้าสามอยากเอาชีวิตเขา โดยพื้นฐานแล้วทุกคนก็รู้กันดีคนเหล่านี้เหมือนว่าไม่จำเป็นต้องตายเพื่อเก็บความลับกระมัง?หรือว่า พวกเขาต้องใช้ความตายไร้หลักฐานกับเขา เพื่อป้องกันเขาไปหาเรื่องเจ้าสาม?หากตัดเจ้าสามทิ้ง คนที่ต้องการเอาชีวิตเขา ยังมีอีกมากมายบรรดาพี่น้องในเมืองจักรพรรดิ มีผู้ใดบ้างไม่ต้องการชีวิตเขา?เมื่อเขาตาย กองทหารมณฑลทางเหนือจะวุ่นวาย คนที่จงรักภักดีกับเขาต้องยกทัพบุกไปเปิดศึกกับราชสำนัก คืนความยุติธรรมแทนเขาถึงขั้นนั้นแล้ว ต้าเฉียนก็จะวุ่นวายเมื่อเป็นเช่นนี้ เหมือนว่าพวกเจ้าสอง เจ้าสี่ ก็จะมีโอกาสแล้วส่วนเสด็จพ่อที่เมี่ยวอินสงสัย แม้หยุนเจิงไม่เต็มใจยอมรับ แต่ก็มีคว
ต่อก่อนที่ยังไม่รู้ตัวตนคนเหล่านี้ คงไม่สามารถยิงสังหารไม่เลือกหน้าได้กระมัง?มือสังหารเช่นนี้ ยากที่จะป้องกัน!พวกเขาก็ไม่สามารถเอาแต่อยู่ในจวนอ๋องไม่ออกไปไหนได้กระมัง?หยุนเจิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ถามเยี่ยจื่อ “ตอนนี้มีสายลับเท่าใด?”“ประมาณสองร้อยคิด” เยี่ยจื่อตอบประมาณสองร้อยคนหรือ?มันน้อยไปหน่อยแล้วหยุนเจิงคิด จากนั้นก็ถามเสิ่นลั่วเยี่ยน “กลับไปจากสายลับสองร้อยคนนี้เลือกออกมาห้าสิบคนที่ค่อนข้างฉลาด ข้าต้องการใช้!”“ได้!” เสิ่นลั่วเยี่ยนตอบรับทันที จากนั้นก็ถามอย่างเป็นห่วย “เจ้าคิดทำสิ่งใด?”“ข้าจะส่งพวกเขาเข้าไปในด่าน!”หยุนเจิงนัยน์ตาฉายแววอาฆาตเดิมเขาไม่อยากสนใจเรื่องภายในด่าน ในเมื่อมีคนอยู่ไม่สุข เช่นนั้นก็มาเถอะ!เขาใช้ห้าสิบคนเป็นกรอบ สร้างองค์กรข่าวกรองขนาดใหญ่ รวบรวมข่าวกรองภายในด่านหากเป็นไปได้ เขาหวังว่าคนเหล่านี้สามารถแทรงซึมเข้าไปในราชวังได้!เมื่อรู้ความคิดของหยุนเจิง หญิงสามทั้งสามคนไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากความอีกจากนั้น หยุนเจิงถามเมี่ยวอิน “เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับยุทธภพมากมาย?”“ไม่ถึงขึ้นรู้มากมาย”เมี่ยวอินส่ายหน้า “เพียงแต่อาจารย์ข้าในช่ว
สองวันต่อมา พวกหยุนเจิงกลับถึงติ้งเป่ยระหว่างทาง หยุนเจิงไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะอีกบรรยากาศทั้งซั่วเป่ยผิดปกติ ตามท้องถนนทุกแห่งมีทหารลาดตระเวนด้วยหน้าตาเคร่งขรึม คนเข้าออกติ้งเป่ย ล้วนได้รับการตรวจคนอย่างเข้มงวดแต่ว่าสามารถเห็นทหารส่งสารควบม้าจากภายในเมืองออกไปด้วยความรีบร้อนแต่ให้เป็นคนธรรมดา ก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันของพายุฝนที่กำลังจะมาถึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่หมอชื่อดังของติ้งเป่ยต่างก็ถูกพาเข้าไปในจวนอ๋องวันถัดไป ภายในเมืองก็มีข่าวลือ บอกว่าจิ้งเป่ยอ๋องพบกับการลอบสังหารตอนที่กลับจากเขาลั่วเสีย ตอนนี้ยังหมดสติอยู่ตามหลักแล้ว นี่คือข่าวจากหมอท่านหนึ่งที่ตรวจอาการให้จิ้งเป่ยอ๋องหมอท่านนั้นตอนกลางวันถูกคนของจวนอ๋องพาตัวไป เป็นตายไม่อาจรู้ได้สิ่งที่หมอท่านนี้เผชิญ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันข่าวลือภายในเมือง“ต้องส่งข่าวให้เราแม่ทัพผู้นำแต่ละหน่วยหรือไม่?”“เรื่องการศึกของพวกเรากับเป่ยหวนเพิ่งจบ หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาก็ไม่ดีแล้ว”เสิ่นลั่วเยี่ยนอิงแอบในอ้อมกอดหยุนเจิง ปล่อยให้หยุนเจิงลูบท้องที่ยังตั้งครรภ์ของนางตามใจชอบตอนนี้หยุนเจิงอยู่สบาย ทั้งวัน
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังสนทนากัน ประตูห้องถูกผลักอย่างแรงฮูหยินเสิ่นเดินตะบึงเข้ามา“ท่านแม่ เกิดเรื่องแล้ว?”เห็นสีหน้าของฮูหยินเสิ่นไม่ถูกต้อง เสิ่นลั่วเยี่ยนรีบถามสีหน้าของฮูหยินเสิ่นไม่ค่อยดี จากนั้นก็กล่าวเสียงเข้ม “เมื่อครู่ภายในจวนจับคนทำลับๆ ล่อๆ ได้หนึ่งคน ยังเป็นคนที่ช่วยงานราชการในซั่วเป่ยของจื่อเอ๋อร์ ไต่สวนปรากฏออกมาว่า เป็นคนของฝ่าบาท...”เมื่อได้ฟังคำของฮูหยินเสิ่น สีหน้าเสิ่นลั่วเยี่ยนและเยี่ยจื่อเปลี่ยนไปพร้อมกันนึกไม่ถึงว่าจะเป็นภายในคนเหล่านั้น?ฝ่าบาทส่งคนสอดแนมไปถึงในนั้นด้วย?หยุนเจินยังดีผลลัพธ์นี้ไม่ได้เกินความคาดหมายเท่าใดในจวนมีคนที่เสด็จพ่อจัดหามา คนที่ลอบสังหารไม่จำเป็นต้องเป็นเสด็จพ่อส่งมาหยุนเจิงลังเล จากนั้นก็ถาม “คนผู้นั้นเข้ามาในจวนตั้งแต่เมื่อใด?”“ก็ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทไปจากติ้งเป่ย”ฮูหยินเสิ่นตอบ “นับดูแล้ว เขาเป็นคนของฝ่าบาทมาตลอด ก่อนหน้านี้เพียงแค่ช่วยฝ่าบาทจับตาเว่ยเหวินจงเท่านั้น! ครั้งที่แล้วฝ่าบาทมายังติ้งเป่ย เคยส่งราชองครักษ์ไปติดต่อเขา เพียงสั่งให้เขาปะปนเข้ามาในจวนอ๋องเพื่อจับตาดูพวกเรา ไม่ได้กำชับเรื่องอื่น! จนถึงตอนนี้ เขายัง
หลายวันต่อมา หยุนเจิงยังคงไม่ยอมออกจากธรณีประตูมีคนเห็นคนของจวนอ๋องส่งยาจำนวนมากไปยังจวนอ๋องหยุนเจิงผู้เป็นท่านอ๋องเป็นหรือตาย ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้จวนอ๋องได้ทั้งจวนอ๋องถูกกององครักษ์ของหยุนเจิงคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา มีคนคิดที่จะสืบเรื่องภายในจวนอ๋อง จะต้องพบกับการถูกทุบตีอย่างรุนแรงคนในจวนอ๋องประกาศต่อภายนอกว่า หยุนเจิงไม่เป็นไร แค่กำลังกำหนดแผนใหญ่เพื่อประชาชนชาวซั่วเป่ย ห้ามให้ผู้ใดรบกวนปฏิกิริยาของทหารยามจวนอ๋อง กลับทำตัวพิรุธน่าสงสัยว่าที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงด้วยเหตุนี้ ข่าวที่หยุนเจิงเจอกับการลอบสังหารแพร่ออกไปอย่างบ้าคลั่งแม้แต่ตู๋กูเช่อที่อยู่ชายแดนเว่ยยังได้รับข่าวด้วยเช่นกันตู๋กูเช่อไม่รู้ว่าหยุนเจิงพบการลอบสังหารจริงหรือไม่แต่ไร้ลมก็ไม่เกิดคลื่นในเมื่อมีข่าวลือเช่นนี้ เกรงว่าคงมีเหตุการณ์จริงบางส่วน!อีกทั้ง เขายังได้ยินว่า นักรบภูตสิบแปดที่กำลังพักผ่อนอยู่ที่ชายแดนกู้ไปเร่งเดินทางไปยังติ้งเป่ยแล้วสำหรับนักรบภูตสิบแปดของหยุนเจิง ตู๋กูเช่อย่อมรู้จักเช่นกันขอแค่นักรบภูตสิบแปดเคลื่อนไหว ย่อมไม่ใช่เรื่องดี!ตู๋กูเช่อยิ่งคิดยิ่งนั่งไม่ติ
ไม่ได้เขียนหรือ?ตู๋กูเช่อสายตาเย็นชาคำพูดนี้ของโจวที่ กลับไม่มีปัญหาใดแต่ว่า ด้วยประสบการณ์การวิเคราะห์ของเขา เห็นได้ชัดว่าโจวมี่กำลังโกหกตู๋กูเช่อปล่อยโจวที่ จากนั้นก็กัดฟัน “องค์ชายเป็นอย่างไรกันแน่?”“องค์ชายไม่เป็นไร” โจวมี่ยังคงยิ้มแห้ง“ใช่จะดีที่สุด!”ตู๋กูเช่อมองโจวที่อย่างเย็นชา “เช่นนั้นตอนนี้เจ้ากลับไปรายงานองค์ชาย บอกองค์ชาย ตู๋กูเช่อรับคำสั่ง! รอให้ข้าจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว จะรีบไปติ้งเป่ยเพื่อเยี่ยมองค์ชาย!”พวกโจวมี่มาไว ไปก็ไวเช่นกันทันทีที่โจวมี่จากไป หัวหน้าทหารคนสนิทของตู๋กูเช่อก็วิ่งเข้ามา“รองแม่ทัพ องค์ชายเกิดเรื่องจริงใช่หรือไม่?”หัวหน้าทหารคนสนิทรีบร้อนถาม“ถามมากมายเพื่อสิ่งใด? นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรถามหรือ?”สีหน้าตู๋กูเช่อบึ้งตึง “ทำงานของเจ้าให้ดี ไม่ควรถามก็อย่าถาม!”“รองแม่ทัพ!” หัวหน้าทหารคนสนิทชะโงกหน้าเขามา กระซิบเกลี่ยกล้อม “นี่คือโอกาสที่รองแม่ทัพจะควบคุมกองทหารมณฑลทางเหนือ! หากรองแม่ทัพควบคุมกองทหารมณฑลทางเหนือ ค่อยนำอำนาจทางทหารมอบให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้อง...”“หุบปาก!”ตู๋กูเช่อตัดบทหัวหน้าทหารคนสนิททอย่างเย็นชา “ข้าบอกเจ้า ข
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห