*ปัง! ปัง! ปัง!*
กระสุนปืนพุ่งชนเฉี่ยวหน้าเหล่าคนในคฤหาสน์หลังโตของมหาเศรษฐีกังฉิน ฝีเท้ามากประสบการณ์เดินควงปืนพกผ่านกองซากศพขึ้นบันไดกว้าง ทุกฝีก้าวล้วนทิ้งคราบเลือดเอาไว้บนพรมราคาแพง ชายแก่ร่างอ้วนท้วนนั่งตัวสั่นงันงกประหนึ่งหมาขี้ขลาด ร่างหนาในเสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะสีแดงฉานคละคลุ้งกลิ่นสนิมย่อตัวลง คายบุหรี่ทิ้งลงพื้น ยิ้มเยาะอย่างผาสุก นัยน์ตาสีครามคมเข้มวาวโรจน์ จ่อปลายกระบอกปืนแล้วจึงลั่นไกนัดสุดท้าย *ปัง!*
"พวกเอ็งขนสมบัติไปให้หมด!"
เสียงทุ้มตะโกนสั่งลูกน้องฉะฉาน มองผลงานตัวเองและกองเงินกองทองที่กำลังถูกขนออกไปใส่ท้ายรถ
ก่อนที่ไม่นานตำรวจจะมาพบกับความว่างเปล่าและซากความโหดร้ายที่เหล่าโจรเป็นคนสรรค์สร้างเอาไว้ มหาโจรเดินเข้าชุมเสือมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมีเสียงวิ่งของใครบางคนเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
"พี่จ๊ะ บาดเจ็บตรงไหนไหม" แม่เอี่ยมผู้เป็นภริยาเดินเข้ามาทักถามอาการสามี
"ไม่สักนิด" หญิงสาวสีหน้าเป็นห่วง ในขณะที่จอมโจรทำเหมือนเรื่องนี้เป็นสิ่งปกติ "แล้วไอ้ดินมันอยู่ไหน? มันบอกจะสึก
"อ้าก!!"เสียงร้องดังลั่นดังมาจากเพิงไม้ไผ่สำหรับอาบน้ำ พิภพแววตาสั่นไหวมากกว่าทุกครั้งเมื่อเห็นร่างของเด็กสาวในชุมโจรที่เขาเคยพูดคุยด้วยหอบหายใจระรวยพร้อมกับเลือดกองโตที่ไหลออกมาจากรอยแผลกรีดตามแขนขา และใบหน้าสะสวยก็ถูกเฉือนเละ เส้นผมสีดำขลับบนหัวถูกกล้อนและโปรยไปรอบอาณาบริเวณ เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นซากไก่เน่าที่ถูกแขวนเอาไว้ ทำเอาเขาอยากจะอ้วกออกมาเสียตรงนั้นเสียงฝีเท้าลงมาจากบนเรือน เป็นมารดาที่มาเห็นภาพเดียวกันก่อนจะตามมาด้วยบิดา ต่างคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นเมื่อจัดการกับความวุ่นวายจนสถานการณ์กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ คนเป็นแม่จึงรีบเข้ามาประคองลูกชายของตัวเองที่ดูจะไร้ซึ่งสติไปแล้ว"ฉันจะพาลูกไปเรียนพระนคร อยู่ที่นี่มีก็จะมีแต่เรื่อง""...""ทั้งที่พี่รู้แล้วว่าใครเป็นคนทำ ก็ยังจะดึงดันให้แต่งงานรึ!"พิภพนั่งเหม่อลอยฟังเสียงพ่อแม่โต้เถียงกันจากอีกห้องของเรือน มองพระอาทิตย์ที่กำลังค่อย ๆ จมลงภูเขาไป*คิก* เด็กชายตัวกระตุกหันหลังมามองแต่ก็ไม่มีใครอยู่ ทั้งหน้าต่างอะไรก็ปิดจนหมด เพียงแค่เสีย
"พี่เป็นทหารเหรอ!? จะ...จะมาจับฉันใช่ไหม!!"ภรรยาของเขาเมื่อได้รู้ความจริงเมื่อเช้าวันแรกของการออกไปทำงานเขาสวมเสื้อผ้าเครื่องแบบราชการเต็มยศ แม้จะไม่ได้เป็นตำรวจสายตรงแต่ก็ต้องมีผวากันบ้าง"วรรณ พี่ไม่ได้จะจับเราเข้าคุก"สามีเดินเข้าไปกอดหญิงสาวที่กำลังสั่นเครือไปทั้งร่าง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเยี่ยงคนลงแดง พิภพจับหญิงสาวนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะหยิบหวีมาสางผมให้กลับมาเรียบดังเดิมอาการประสาทหลอนของภรรยายังคงไม่หายไปแม้เจ้าหล่อนจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขามาร่วมหลายสัปดาห์ ทุกเช้าที่เขาตื่นสวมเสื้อผ้าเตรียมจะไปทำงานวรรณมักจะแสดงอาการหวาดกลัว แม้เขาจะพยายามสุดความสามารถโดยการเฟ้นหาตำรับยาทั่วทุกสารทิศมาแต่เจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้มีอาการที่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ทำเอาเขาหนักใจไม่รู้จะหาหนทางไหนมารักษาเมียจนเมื่อวันหนึ่งเขากลับมาเห็นว่าจู่ ๆ วรรณก็ลุกขึ้นมาช่วยแม่ทำความสะอาดบ้านอย่างขยันขันแข็ง ทั้งยังยิ้มวิ่งเข้ามาต้อนรับเขาจนน่าแปลกใจ"ยินดีต้อนรับกลับจ้ะพี่"พิภพยืนอึ้งมองคนที่วิ่งเข้ามากอดเอว ด้วยความตกใจเขาจึงตอบเพียงเสียง
เช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจนับสิบนายวิ่งตีเข้าล้อมเรือนไทยหลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสวนเขียวชอุ่ม เป็นการดีที่มีคนเข้ามาแจ้งเรื่องจะได้จับมันเข้าคุกไม่ต้องออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านตาดำ ๆ อีก โดยมีสองนายทหารที่มาให้ความร่วมมือในการจับตัวมหาโจรในครั้งนี้คราวแรกหลาย ๆ คนก็ไม่ไว้ใจเพราะผู้ที่แจ้งเป็นถึงลูกชายของเสือหิน ทว่าก็ได้นายสิบมาช่วยเป็นพยานยืนยันความบริสุทธิ์ เขาจึงได้มีโอกาสเข้ามาร่วมอยู่ในขบวนการนี้นายตำรวจค่อย ๆ พาตัวเองขึ้นไปบนบ้านก่อนจะได้ยินเสียงมาจากชั้นที่สอง จึงส่งสัญญาณให้คนที่เหลือค่อย ๆ ขึ้นไปอย่างระมัดระวังที่ต้องมีคนมากมายพร้อมด้วยแผนที่รัดกุมขนาดนี้ก็เพราะเขาว่ากันว่าเสือหินนั้นมีวิชาอาคมมากมายจากหลายสำนัก บ้างก็ว่ามีวิชาพรางตัว บ้างก็ว่ากระสุนยิงไม่เข้า จนเป็นที่หวาดกลัวแก่เหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่ไม่ใช่น้อยยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้ยินเสียงชัดขึ้นจนรู้ได้ว่าภายในห้องไม่ได้มีเสือหินอยู่แต่เพียงผู้เดียวกลับมีหญิงสาวอยู่ด้วยตามที่เจ้าเรื่องได้ให้การมาพิภพกำปืนที่เหน็บเอาไว้แน่น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึง มี
เหล่าคนงานกำลังตั้งใจทำหน้าที่ตนอย่างขะมักเขม้น เสียงกรรไกรตัดกิ่งสอดคล้องไปกับเสียงของไม้กวาดทางมะพร้าวที่ลากถูไปกับพื้น แม่บ้านวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมายกผ้าซับเหงื่อ ทว่าก็ได้ยินเสียงวิ่งเหยาะ ๆ มาแต่ไกล และเจ้าหล่อนก็ยกยิ้มทันทีเมื่อเห็นเด็กชายวัยสิบสองในชุดนักเรียนสะอาดตาวิ่งเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง และโผกอดแม่นมเสียงดัง'ฟุบ'"ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คุณหนูแก้ว แล้วคุณนายไม่กลับมาด้วยเหรอคะ?"แม่บ้านตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เจ้าของนามดึงกระชับแว่นตากลมโตเงยหน้าขึ้นดึงยิ้มเห็นฟัน"คุณแม่บอกว่าจะกลับมาทีหลังน่ะครับ"เด็กชายตอบกลับเหมือนกำลังมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่หลังแววตาสนุกสนาน รอให้แม่นมคนนี้ได้เจอกับตัวเองเด็กชายพูดคุยต่อนิดหน่อยก่อนจะวิ่งเข้าบ้านหลังโตไปพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในมือ ระหว่างทางก็แวะทักทายคนงานของบ้านที่ผ่าน หญิงวัยกลางคนที่มองอยู่จึงอดยิ้มแปลกใจไม่ได้ที่เทพบุตรตัวน้อยคนนี้มักสร้างรอยยิ้มให้คนรอบข้างได้อยู่เสมอเหมือนเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่ทำให้คนมารักอย่างไรอย่างนั้นตระกูล 'วิศิษฐ์สกุล' ได
*กรี๊ด!!!* เสียงหวีดร้องแหลมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในราตรี ตรีศูลสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนจะได้ยินเสียงนั่นอีกครั้งดังมานอกห้อง เขาจึงรีบจุดตะเกียงนำทางเปิดประตูห้องแกว่งตะเกียงไปใช้หูเงี่ยฟังต้นเสียง จนได้รู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากห้องทำงานของคุณพ่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ออกมาจากห้องนอนใหญ่หญิงวัยกลางคนไม่รีรอรีบสาวเท้าตรงไปเปิดยังห้องตัวการก่อนจะยืนผงะ ทำให้ตรีศูลสงสัยเดินเข้าไปใกล้แล้วชะเง้อมองด้านในห้อง"แก้วอย่ามองนะลูก!"เขาโดนแม่ห้ามก่อนจะถูกแขนของผู้ใหญ่บังสายตาทว่าเขาก็พอจะจับภาพได้ เขาเริ่มเอาสิ่งที่เห็นเมื่อครู่มาคิด พ่อของเขากำลังนอนทับพี่อุ่นอยู่บนโต๊ะทำงานพร้อมกับกองเอกสารและน้ำหมึกที่กระจัดกระจายเต็มพื้นเป็นอีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกห้าม หรือทำไมแม่เขาถึงมีอากัปกิริยาเช่นนี้เขาเห็นคุณแม่โวยวายกับคุณพ่อที่เมาไม่ได้สติและพี่อุ่นที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หลังข้างแม่เขา ประหนึ่งว่าคุณพ่อกำลังทำอะไรผิดไป เขาเพียงแอบดูอยู่ขอบประตูเพราะแม่บอกเขามาว่า'นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก'ทว่าเขาก็พอรู้ไ
หนังสือพิมพ์ต่างออกข่าวถึงเศรษฐีที่เป็นประหนึ่งดาวฤกษ์ดวงใหม่ได้สั่นไหวเนื่องจากมีการเปลี่ยนผู้บริหาร และเผยตัวน้องชายต่างสายเลือดแทนที่ลูกชายแท้ ๆ ซึ่งอาจเสียชีวิตไปด้วยโรคปริศนาบางอย่างตรีศูลที่ได้อ่านก็กลั้วหัวเราะอยู่ในใจถึงโลกจอมปลอมที่ไอ้คนพวกนั้นเป็นคนจ้างนักข่าวปั้นเรื่องขึ้นมาหน้าด้าน ๆ"แก้ว เอ็งยังเศร้าอยู่อีกรึ?"หลวงตาก้มหน้าถามเด็กหนุ่มที่นอนตักอยู่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ตรีศูลจึงหลุดออกจากภวังค์แล้วหันมาส่ายหน้าปฏิเสธ"ไม่หรอกจ้ะ ตอนนี้หลานหนักใจเรื่องผีอำมากกว่า"เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่กลางดึกเขามักจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขยับร่างกายไม่ได้โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเอวลงไปเหมือนกับมีอะไรมาจับไว้ ขนาดเขาเปลี่ยนตำแหน่งการนอนไปนอนมุมอื่น หรือในตอนนี้ที่เขาถึงขั้นขอย้ายมานอนใกล้ ๆ หลวงตาอาการนี้ก็ยังไม่หายไปซ้ำยังหนักขึ้นเรื่อย ๆ มีหลายครั้งที่เขาคิดจะลืมตาขึ้นมาดูทว่าก็ไม่มีความกล้ามากพอ ดีที่หลวงตาท่านเข้าใจและสัญญาว่าจะหาพระมาคล้องคอให้ทว่าความเครียดนั้นก็ถูกบรรเทาลงด้วยงานอดิเรกใหม่ ใกล้ ๆ วัดนั้นมีโ
"นี่ เอ็งรู้อะไรไหม..." ด้วงเปิดบทสนทนาทำลายความเงียบ "ฉันลองไปถามพวกเด็กน้อยในวัดมา พวกมันบอกอิจฉาพี่แก้วเพราะได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ได้มีหนังสืออ่าน ได้นอนในมุ้งดี ๆ ...เอ็งลองคิดซิว่าทำไม"ตรีศูลที่ได้ฟังก็นั่งเงียบทว่ากลับนำประโยคนั่นมาขบคิดในหัว ไม่ใช่ว่าเด็กพวกนั้นได้นอนในเรือนไม้เหมือนเขาหรือ ทั้งเสื้อผ้าก็มีคนมาบริจาค ปัจจัยไทยทานก็มีครบครันไยเด็กน้อยพวกนั้นจึงกล่าวแบบนี้"ดูเหมือนเอ็งจะยังไม่เข้าใจ""...""หนังสือเล่มหนา ๆ ที่เอ็งมีสิบกว่าเล่มปกติชาวบ้านชาวช่องที่มีอันจะกินเขายังหาซื้อไม่ได้เลย...แล้วก็เสื้อผ้าเอ็งน่ะเย็บมาแล้วทุกตัวใช่ไหมล่ะ ทั่วไปที่เขาจะเอาถวายวัดมีแต่ม้วนผ้าให้เอาไปเย็บกันเอง มีแต่เอ็งนั่นแหละที่ใส่แบบนี้ คนอื่นเขานุ่งโจงเหน็บผ้ามีแต่เอ็งเท่านั้นแหละใส่เสื้อมีตะเข็บ ของพวกนี้ราคาแพงหูฉี่ต้องใช้เงินเกือบทั้งวัดนั่นแหละถึงจะซื้อมาได้"ไอ้ด้วงมองโฉมงามที่นั่งน้ำตาตกเผาะ ๆ ตรีศูลกำถ้วยยาในมือสั่นระริก เป็นมันเองก็คงตั้งสติไม่ได้เหมือนกันเมื่อรู้ว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติพิเศษกว่าคนอื่นเพื่อจะถูกใช้เป็นเครื่องบำเ
หลังผ่านสงครามร่วมหลายชั่วโมงเหล่าชาวบ้านพากันปันอาหารข้าวของเครื่องใช้บางส่วนเท่าที่จะให้ได้แก่ผู้ประสบภัยที่ต้องหนีระหกระเหินออกจากเขตสู้รบมารวมถึงเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ โรงเรียนมัธยมเพียงหนึ่งเดียวถูกเปลี่ยนเป็นฐานที่มั่นของทหารญี่ปุ่น และโรงพยาบาลสนามชั่วคราวบรรยากาศทั้งวันนั้นเต็มไปด้วยความอึมครึม เม็ดฝนทยอยโปรยปรายลงมาอ่อน ๆ พื้นดินพื้นหญ้าชื้นแฉะส่งกลิ่นหอมโชยขึ้นมาปลุกโฉมงามที่หลับใหลอยู่บนฟูกนอนผืนบาง ดวงตาเรียวสวยค่อย ๆ เปิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกปวดตุบในศีรษะตรีศูลยันตัวเองขึ้นนั่งมองไปรอบ ๆ แล้วจึงเห็นว่าตอนนี้ตนเองอยู่บนอาคารเรียน พร้อมกับผู้คนอีกนับสิบที่นอนเรียงรายบาดเจ็บป่วยไข้กันอยู่ กลุ่มแพทย์พยาบาลเดินกันขวักไขว่เป็นพร้อมปลอกแขนสีขาวปักสายเครื่องหมายหน่วยพยาบาลสีแดงเด่น"อาจารย์! ฟื้นแล้วเหรอ!?"เสียงของเจ้าเด็กนพดังมาจากโถงทางเดิน เจ้าตัวเดินเข้ามาพร้อมสิงห์ที่หิ้วปิ่นโตกับจานผลไม้ปอก"นี่กี่โมงแล้ว"คนแก่กว่าถามด้วยความสงสัยเพราะท้องฟ้าด้านนอกก็บอกเวลาแทบไม่ได้ ทั้งยังไม่มีนาฬิกาแขวนในห้อง"จะห้า
เรือนนางรำ๔ เมษายน ๒๔๘๕ถึง แก้วทีแรกพี่เป็นห่วงกลัวว่าเราจะเป็นอะไรไปเพราะจดหมายส่งถึงช้ามาก แต่ก็ดีแล้วที่แก้วปลอดภัยถ้าเราเป็นอะไรไปอีกพี่คงไปหาทันทีไม่ได้เรื่องออกกำลังกายที่พระนครคงไม่ค่อยถนัดนัก ถนนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเปิดให้คนเดินกันแล้วเพราะมีแต่รถวิ่ง ไว้เดี๋ยวพี่กลับไปสอนเรานะครับพระนครก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ขนาดพี่ที่อยู่มาตลอดก่อนจะมาชุมพรข้าวของแทบจะเปลี่ยนรายปี ไวมากจริง ๆ จนเกือบตามไม่ทัน ส่วนห้างห้างนั้นคงจะเป็นไนติงเกลใช่ไหมครับ มันเปิดมาได้เกือบสิบปีแล้ว แต่ยังมีคนเข้าไปซื้อของกันอยู่เลย พี่ไม่เคยไปเป็นการส่วนตัว เพราะส่วนมากจะเป็นผู้หญิงเดินเข้าไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ พี่เป็นผู้ชายเข้าไปคนเดียวคงรู้สึกแปลกพิกล แต่ถ้าไปกับแก้วก็อีกเรื่องนะครับแม่นมนี่เป็นคนอย่างไรเหรอ ถ้าเป็นแบบตาเทิดตาไฮ้พี่คงต้องเตรียมหมวกกันกระสุนไปด้วย ส่วนเรื่องแต่งตัวถ้าพี่ใส่ชุดทหารไปนี่จะหล่อถูกใจเราไหมครับถ้าวิทยาลัยของเด็ก ๆ ห่างกับเราแบบนี้คงเจอกันยาก แก้วจะไม่
เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เป็นป้าทูลที่มาเคาะปลุกพร้อมนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ แม้หญิงเจ้าจะบอกว่าเป็นเสื้อที่กะวัดด้วยสายตาแต่มันกลับพอดีตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาชักจะแปลกใจขึ้นทุกทีเมื่อได้เห็นบริการอันเกินจินตนาการของคนงานบ้านนี้ตรีศูลวันนี้นัดเพื่อนเก่าเอาไว้ที่สถานี ทีแรกเขากะจะไปเองเพราะเมื่อวานก็พอจำทางได้แล้วแต่คุณลุงคนขับที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินออกจากเขตบ้านก็ส่งสายตาวิบวับเป็นประกาย"ให้ผมไปส่งคุณหนูนะครับ""ไม่เป็น-"รับทราบครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปเตรียมรถรบกวนรอสักครู่นะครับ"ไม่ทันที่ตรีศูลจะได้ปราม คุณลุงก็วิ่งแจ้นออกไปยังลานจอดโดยทิ้งเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว บรรยากาศแบบนี้ชวนให้นึกไปถึงมื้อเช้าที่หากคนใช้ทั้งหลายป้อนได้คงจับช้อนป้อนแล้ว'คุณหนูทานนี่สิคะ ป้าทำเองกับมือ''คุณหนูรับขนมเพิ่มไหมคะ กว่าจะไปถึงสถานีคงหิวแย่''คุณหนูจะไปเจอเพื่อนเก่าเหรอคะ มานี่มาเดี๋ยวยายทำผมให้'โดยเหตุการณ์ข้างต้นเจ้าศรก็โดนไม่ต่างกัน ด้วยนิสัยอันสงบเสงี่ยมน่ารักน่าเอ็นดูมาแต่เด็กแม้จะไม่ใช่ทายาทต
ร่างสูงสันทัดก้าวเดินด้วยความมั่นคงไปตามพื้นกระเบื้องเงา เสียงรองเท้าหนังเคาะเป็นจังหวะกระชับตามวิถีก้าวอันรวดเร็ว แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดนอกจากผู้มารอรถแล้ว จำนวนพนักงานยังคงบางตา คนในชุดกากีพร้อมหมวกหม้อน้ำตาลหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้กลมแววตาคมคร้ามจ้องมองไปยังทางรถไฟอย่างเหม่อลอย เขามักจะมาก่อนใครและกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ"ไอ้ด้วง มาเช้าอีกแล้วนะเอ็ง พักบ้างก็ได้ ฮ่า ๆ "เพื่อนคนสนิทเดินเข้ามาคล้องคอชิดเชื้อถูไถหน้าไปมา"เอ็งอย่ามาจับน่า รำคาญ""กะจะเก็บไว้ให้เมียจับอย่างเดียวเลยสิ!""เมียอะไรไอ้แผน กูไม่คิดจะมี"เจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย นั่งยองลงกับพื้นเงยหน้าสบตาพ่อหนุ่มหน้ายักษ์ นับตั้งแต่รู้จักการตอนเป็นพนักงานฝ่ายปฏิบัติก็ไม่เห็นเจ้าตัวจะใฝ่รักหญิงสักคน ทั้ง ๆ ที่มันเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสาวมาวอแว"แล้วคนที่เอ็งรอเขากลับมาอยู่เนี่ย ไม่ได้กะจะเอามาทำเมียรึ?""เงียบได้แล้ว คนอื่นเขามอง""แหม เนียนเลยนะ"แผนลากเสียงยาวยกมือป้องปากแซะแซวเพื่อนขี้เก๊กด้วงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เบนหน้าเมินสายตาของเพื่อนร่วมงานท
"หลานไปก่อนนะจ๊ะตา"ตรีศูลเดินลงมาหาตาเทิดตาไฮ้ที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรือนตลอดการไปศึกษาของเจ้าของคณะ"เอ้อ ๆ ไปดีมาดีล่ะ" ตาเทิดรับไหว้หลาน"อย่าไปนอกใจไอ้เสือมันล่ะ ฮ่า ๆ เดี๋ยวได้โดนมันจับขังอีกหรอก""ตาละก็!"ตาไฮ้แซะแซวหลานสุดที่รัก พวกเขาไปได้ยินเรื่องวีรกรรมของเจ้าหลานเขยคนนี้มาแล้วเป็นที่เรียบร้อยตรีศูลได้ยินก็ยิ่งอายเขาจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า แม่นางรำโกรธพิดพัดกอดอกไม่พอใจเป็นที่ขบขันแก่สองตาช่างแกล้ง ส่วนอดิศรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เป็นที่เอ็นดูไม่แพ้กัน เห็นสงบเสงี่ยมแบบนี้เจ้าศรเองก็สนิทกับสองตาพอสมควร"ไว้ผมจะกลับมาหานะครับ"เด็กชายกล่าว แม้เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในคณะเหมือนพี่ชาย แต่อย่างไรที่แห่งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่เขาจะไม่มีวันลืมพี่น้องทั้งสองเมื่อกล่าวลาผู้อาวุโสเสร็จจึงเดินไปยังประตูรั้วหน้าเรือนที่ถูกเปิดเตรียมเอาไว้ ตรีศูลเงยมองหน้าพ่อทหารที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว"รีบไปเถอะครับ ป่านนี้นพคงบ่นแล้ว"คุณครูนาฏศิลป์คำนึงถึงลูกศิษย์ตัวเองที่ขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง พร้อมก
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีแน่นอนว่าหากเป็นวันในสัปดาห์เช่นนี้พิภพจำต้องออกไปทำงาน ทว่านั่นหาใช่ประเด็นไม่ เพราะเย็นวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องไปส่งคนรักขึ้นรถไฟพร้อมกับเด็ก ๆพิภพนั่งตวัดข้อมือร่างเอกสารไปอย่างเหม่อลอย เพียงคิดภาพที่ต้องไกลห่าง ความรู้สึกคิดถึงก็ผุดขึ้นมาเสียแล้ว ตลอดหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาตื่นเต้นในทุกเย็นหลังเวลาเลิกงานเมื่อรู้ว่าจะได้กลับไปสอนหนังสือแม่นางรำ ดังนั้นช่วงเวลางานในหัวเขากลับเอาแต่คิดแต่วิธีการสอน ไม่ก็มัวแต่จดจ่อกับการตระเตรียมเอกสารการเรียนให้แก้วจนบางครั้งเกือบไม่เป็นอันทำงานเพราะหากเจ้าตัวสอบติดวิทยาลัยพระนครหมายความว่าแก้วจะได้เป็นฝ่ายมาอยู่บ้านของเขา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาอดใจรอแทบไม่ไหวเช่นกัน มันจะดีสักแค่ไหนกันเชียวหากได้เห็นโฉมงามเดินทำกิจภายในบ้านตนเอง"เหม่ออีกแล้วนะครับ"ปลื้มที่เดินเอารายงานมาให้ตรวจทักขึ้น ไม่รู้ทำไมช่วงนี้รุ่นพี่เขาถึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ แต่คงจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตามเคย ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้"มีเรื่อง
เดินเข้าไปใกล้ศาลาการเปรียญเรื่อย ๆ ผู้คนก็เริ่มชุกชุม เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อยชวนให้ตรีศูลรู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นเท่าตัว มองเข้าไปก็เห็นคุณนายผอ.กำลังยืนพูดอยู่หน้าแถว ก่อนที่เจ้าตัวจะทำท่ากวักมือมาทางพวกเขา"พี่ต้องไปแล้ว ส่วนแก้วพี่ว่าเรานั่งพักสักหน่อยก็ดีนะครับ"พิภพที่ต้องไปทำหน้าที่ยังไม่วายเป็นห่วงโฉมงาม ตรีศูลเลือกหย่อนกายลงม้านั่งโบกมือเบา ๆ ส่งพ่อทหารแล้วจึงมองตามแผ่นหลังนั้นไปยังหน้าศาลาด้วยความขัด ๆ เขิน ๆ เล็กน้อยจากความไม่คุ้นชินในศัพท์คำพูดตอนนั้นจนถึงตอนนี้ตรีศูลไม่รู้จะขอบคุณพ่อทหารอย่างไรดี หากไม่มีเจ้าตัวเข้ามาเผลอ ๆ เขาอาจจะต้องระทมทุกข์ไปกับความทรงจำอันเลวร้ายนั่นตลอดทั้งชีวิตแม่นางรำนั่งเรียบร้อยใช้สายตาทอดมองไปยังหน้าเคหสถาน เห็นคนรักกำลังพูดชมเชยเหล่าสมาชิกยุวชนทหาร เสียงทุ้มเมื่ออยู่ในหน้าที่พูดจาฉะฉานตรงประเด็นสมกับสัมมาอาชีพ แม้ตนจะไม่ได้ไปยืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้นก็รู้สึกภูมิใจแทนเสียจนต้องอมยิ้มออกมา ผู้ชายอะไรครบเครื่องจริง ๆ ดังนั้นเขาจะต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้น้อยหน้า ชักจะมีกำลังใจในการเรียนขึ้นมาแล้วสิ&
ตรีศูลในตอนนี้กำลังหาย่ามที่น่าจะมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับการขนของ ไม่ใช่การจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางไปพระนครเพราะเขายังคงเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนในการเตรียมตัว แต่เขากำลังจะไปพูดคุยกับคุณนายผอ.เรื่องเรียนต่อเพิ่มอีกสักหน่อย ยิ่งเวลาที่เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ ก็ชวนให้เขาตื่นเต้นไม่ใช่น้อย หลายวันมานี้เขาขอหนังสือเจ้าศรน้องน้อยมาอ่านระหว่างวัน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมแม่นางรำถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าที่ตนอ่านหนังสือไม่เข้าหัวไม่ใช่เพราะเนื้อหาแต่เป็นเพราะเขาหาเวลาอ่านไม่ได้ต่างหาก ยิ่งต้นปีหลายบ้านหลายนายจ้างล้วนมีกิจทั้งนั้น แต่ละคนก็เข้ามาจ้างงานจนตารางแทบชนกัน ขนาดมีนพเข้ามาช่วยอย่างเต็มตัวภาระก็ยังคงหนักอยู่ดี กลายเป็นว่าอ่าน ๆ อยู่แล้วก็โดนเคาะเรียกให้ออกไปเก็บท่าบ้าง เพิ่มท่าบ้าง แปรแถวบ้างจนตัวหนังสือที่อ่านมาไหลออกไปจากหัวจนหมด แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้าไปเรียนพระนครอีกแต่วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไปหาคุณนายผอ.ถามเรื่องหนังสือโดยละเอียดอีกครั้ง ต่อให้ต้องเข้าไปนั่งเรียนกับเด็กวัยกระเตาะเข้าเขาก็ยอม"แก้ว เราจะไหวแน่เหรอ?"ชายค
พิภพเอนหลังปล่อยกายพิงพนักให้สบาย หรี่ตามภาพแผ่นหลังของแม่นางรำโฉมงามที่เตรียมตัวจัดท่าจัดทางให้เข้าที่พร้อมขึ้นแสดง นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มานั่งดูเจ้าตัวรำอย่างเป็นกิจจะลักษณะนอกจากจะเห็นฝึกซ้อมอยู่บนเรือน เท่าที่จำได้คงเป็นงานวันชาติกระมังที่เขาได้เห็นเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วก็คงมีอีกครั้งในตอนที่เขาตื่นมาจากการหลับใหลหลังผ่านสมรภูมิรบมาหากให้เทียบแล้วการได้มองคนงามซักซ้อมแม้จะใช้ท่วงท่าเดียวกันแต่มันคนละเรื่องกับการที่ได้มาเห็นเจ้าตัวครบองค์เช่นนี้เสียงบรรเลงระนาดเอกขึ้นพร้อมกับฝีเท้าบางซอยถี่วาดลวดลายเข้าไปยังใจกลางวงเสียงกระพรวนข้อเท้าแม้จะแผ่วเบาเมื่อเทียบกับปี่ที่เล่นอยู่ทว่าเมื่อผสานกันแล้วกลับเสนาะหูยิ่ง อุบะทัดหูเอนเอียงไปตามกรอบหน้างามเมื่อเจ้าของร่างบางกดเอวเบี่ยงกาย สายตาคู่สวยเชิดมองไปยังเหล่าคนดูที่แม้จะพร่ามัวแต่ก็จับได้ว่าพวกเขากำลังมองมาด้วยใบหน้าผ่องใสพิภพมองร่างผอมเพรียวอย่างเคลิบเคลิ้มสดับฟังท่อนร้องที่เอื้อนเอ่ยตามทำนองฉุยฉายเอยเจ้าช่างจำแลงแปลงกายงามคล้ายบุษบาหน้าเป็นใ
ตรีศูลที่กลับมาจากการอาบน้ำผลัดผ้าเข้าในห้องนอน ระหว่างรอตัวแห้งสนิทก็มาจัดแจงเครื่องแต่งกายประจำวันนี้เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะต้องไปออกงานรำขึ้นบ้านใหม่ของพ่อเศรษฐีนายจ้างเจ้าประจำโฉมงามหยิบต่างหูเคลือบแผ่นทองขึ้นมาส่องกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งเทียบเคียงความเหมาะสมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจเลือกต่างหูเต่าร้างที่เล็กกว่าแล้วจึงค่อยเก็บอีกคู่ลงกล่องไม้ไป ดวงตาคู่สวยผัดผินลงมามองเสื้อยืดสีขาวก่อนจะยกมือขึ้นมาปลดกระดุมทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปมองยังขอบเตียงข้าง ๆ กลับต้องเอ่ยคำถามขึ้นมาแก่ชายที่ทำเป็นเนียนนั่งอ่านเอกสาร"คุณดินทำไมถึงยังนั่งอยู่ในนี้เหรอครับ?"ตรีศูลหันกลับไปถามพ่อทหาร ที่ตั้งแต่เช้าก็ดูจะปักหลักอยู่ในหอนอนแทนที่จะออกไปนั่งจิบกาแฟทำงานตากลมเย็นข้างนอกอย่างเคย"แล้วทำไมผมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ?"นายทหารถามยอกย้อนคล้ายว่าการนั่งในห้องนี้แอบแฝงไปด้วยจุดประสงค์บางอย่าง"ผมจะแต่งตัว""เราก็แต่งไปสิ""ผมอาย""จะอายทำไม พี่เห็นเรามาทั้งตั-"ไม่ทันที่นายทหารจะได้กล่าวจบก็ถูกเจ้าของเรือนไล่ออก