ท้องฟ้าสาดแสงรำไรลู่เจ๋อกลับไปที่บ้านพักลู่เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งตอนที่จะเปิดประตู เพราะนี่ก็ผ่านไปสามปีแล้วที่ลู่เจ๋อไม่ได้กลับมา ไม่นาน รถเบนท์ลีย์สีดำก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาจอดยังลานจอดรถลู่เจ๋อลงจากรถ แล้วปิดประตูด้วยหลังมือเขามองดูทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาหลังจากที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน บ้านเก่า ๆ ก็สูญเสียความมีชีวิตชีวาไป หลงเหลือแต่กลิ่นอายของความทุกข์ระทมขมขื่น......เห็นได้ชัดว่าตอนที่คุณย่าอยู่ เป็นช่วงเวลาที่คึกคักและดูมีชีวิตชีวามาก ๆคนรับใช้ในคฤหาสน์ยังไม่มีใครตื่นพอลู่เจ๋อเดินเข้ามายังห้องโถง รองเท้าหนังของเขาก็กระทบกับพื้นเรียบ ทำให้ส่งเสียงดังฟังชัดออกมา ยิ่งทำให้ห้องที่เดิมทีก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว กลับดูรกร้างมากขึ้นในห้องโถงหลังเล็ก ๆ มีรูปถ่ายของคุณย่าอยู่เป็นรอยยิ้มที่สดใสมากนิ้วของลู่เจ๋อเอื้อมไปสัมผัสด้วยความคิดถึง เขาแตะที่รูปของคุณย่าอย่างอ่อนโยน และกระซิบเบา ๆ “เขากลับมาแล้วครับ เหมือนเขาจะสบายดีนะครับ! คุณย่าวางใจได้”แต่สิ่งเดียวที่ตอบสนองเขาได้ กลับมีแค่รอยยิ้มในรูปถ่ายเท่านั้น คนที่จากไปแล้ว ก็ไม่มีวันหวนกลับมาอีกในใจของลู่เจ๋อรู้สึกเศ
......โรงพยาบาลลู่หลังจากที่เจ้าหนูลู่เหยียนถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล เธอก็จำเป็นต้องได้รับการถ่ายโอนเลือดกรุ๊ป AB โดยเร็วที่สุด แต่เช้าวันนี้ที่เมืองเฉิงก็เพิ่งจะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนขึ้น ทำให้กรุ๊ปเลือด AB ของโรงพยาบาลอยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างมาก......ทั้งลู่เจ๋อและเฉียวซุน ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีกรุ๊ปเลือด AB ถ้าจะให้เรียกรถฉุกเฉินไปที่โรงพยาบาลอื่น ก็อาจจะต้องรอเป็นชั่วโมง แต่ตอนนี้เจ้าหนูลู่เหยียนรู้สึกเวียนหัวมาก และอาจช็อกได้ทุกเมื่อลู่เจ๋อตัดสินใจทันที “เรียกเฮลิคอปเตอร์! ”“ฉันมีเลือดกรุ๊ป AB! ”ทันทีที่เสียงนั้นพูดจบ ก็มีคนเดินเข้าประตูมา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฮ่อจี้ถังทุกคนต่างก็กลั้นหายใจ เพราะพวกเขารู้ว่าหมอเฮ่อคนนี้มักจะมีปัญหากับลู่เจ๋ออยู่เสมอ พวกเขาต่างก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูด ยิ่งไม่มีใครกล้ารับปากด้วย......หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เจ๋อก็พูดออกมาเบา ๆ “เตรียมตัวเจาะเลือดได้! ”เฮ่อจี้ถังได้เข้ารับการตรวจร่างกายอยู่เป็นประจำ สุขภาพแข็งแรงดี เขาเจาะเลือดออกมาทีเดียว 500 มิลลิลตร หลังจากได้เลือดมาแล้ว พยาบาลก็เอาไปมอบให้เจ้าหนูลู่เหยียนทันที......เลือด 500 มิลลิลิตรนี้
ในวอร์ดวีไอพี ผนังทั้งหมดต่างก็เป็นสีชมพูอ่อน ให้ความรู้สึกค่อนข้างอบอุ่นอาการของเจ้าหนูลู่เหยียนยังคงอ่อนแออยู่เธอนอนพิงหมอนสีขาว และถามเฉียวซุนด้วยความกังวลเป็นคำถามแรก “แม่คะ หนูจะตายไหมคะ? ”ในใจเฉียวซุนรู้สึกเศร้า แต่เพราะเธออยู่ต่อหน้าลูก จึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้เธอเลยยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ไม่หรอกจ้ะ! ”เจ้าหนูลู่เหยียนยังคงรู้สึกเวียนหัว เธอพิงแม่ของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ทำไมหนูถึงไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้ล่ะคะ? แม่คะ ถ้าแม่กับพ่อมีน้องชายเพิ่มอีกคน น้องจะต้องแข็งแรงนะคะ แม่ต้องให้น้องเกิดมาดี ๆ หน่อย ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ พอตอนที่เหยียนเหยียนไม่อยู่แล้ว แม่กับพ่อก็ยังมีเจ้าตัวเล็กที่น่ารักให้ดูอยู่นะคะ! ”คำพูดพวกนี้ ไม่รู้เลยว่าเธอไปเรียนหรือจำมาจากไหนแต่มันก็มากพอที่จะทำให้เฉียวซุนทรุดตัวลงทันทีเธอสำลักเสียงสะอื้น แล้วขอให้เสิ่นชิงช่วยดูแลเธอก่อน เธอเปิดประตูแล้วเดินออกไป......เธอต้องการที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เธอเป็นบ้าไปเลยก็ได้ลู่เจ๋อที่ยืนอยู่ตรงประตู ก็ได้พยายามหยุดเธอไว้ เขาพาเธอไปที่ห้องทำงานของเขา......แ
“ผมทำไม่ได้!”“เจ้าหนูลู่เหยียนสำคัญกับผมมาก แต่เฉียวซุนเองก็สำคัญสำหรับผมเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมเคยทำผิดต่อเธอเอาไว้มากมายขนาดนั้นอีก! ”......ลู่เจ๋อชะงักไปครู่หนึ่งเขากำหมัดแน่น และพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ผมรู้ว่าพี่ยังชอบเธออยู่ และเธอเองก็เคยหวั่นไหวกับพี่...... ”เฮ่อจี้ถังขัดจังหวะเขา “ทำไมนายถึงได้กลายเป็นคนใจกว้างไปได้? ”ลู่เจ๋อหรี่ตาลง และยิ้มด้วยความขมขื่นผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมามองเฮ่อจี้ถัง แล้วพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อก่อนในใจของผมมีแค่อำนาจเท่านั้นที่สำคัญสำหรับผม ภรรยาและลูกก็เป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง ไม่มีวันไหนที่ผมเคยคิดเอาไว้เลยสักครั้ง ว่าผมจะเต็มใจใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อแลกชีวิตของลูก......หากสูญเสียคนหนึ่งไป ก็แค่ให้กำเนิดอีกคนแทน ก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ? ”“แต่เฉียวซุนให้กำเนิดเจ้าหนูลู่เหยียนเพื่อผม”“ผมรักเธอจริง ๆ”......ลู่เจ๋อไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ‘เธอ’ ที่เขาหมายถึง คือเฉียวซุน หรือเจ้าหนูลู่เหยียนกันแน่เฮ่อจี้ถังเองก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีกเขาไม่คัดค้านอีกต่อไป เพราะเขาเห็นความมุ่งมั่น และมองเห็นความกล้าหาญของลู่เจ๋อแล้
สามวันต่อมา เจ้าหนูลู่เหยียนก็ได้ออกจากโรงพยาบาลพวกเขากลับมาที่สวนฉินเดือนนั้นเป็นเดือนที่สงบสุขและสวยงามมาก ๆ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ดูแลเจ้าหนูลู่เหยียนร่วมกัน บางครั้งที่ลู่เจ๋อมีงานเข้าสังคม เขาก็จะพาเฉียวซุนไปร่วมด้วย ตอนนี้พวกเขาเหมือนสามีภรรยากันมากจริง ๆความเจ็บปวดเหล่านั้น อดีตที่ผ่านมาเหล่านั้นเขาไม่ได้เอ่ยถึงมันเลย เฉียวซุนเองก็เช่นกัน ที่พวกเขาตั้งใจลืม บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน......ลู่เจ๋อเคยบอกเอาไว้ว่า เขาอาจต้องทำงานล่วงเวลาแต่ทุก ๆ คืน เขาก็จะรีบกลับมาก่อนที่เจ้าหนูลู่เหยียนจะเข้านอน เขาจะอาบน้ำให้เจ้าหนูลู่เหยียน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็จะห่อเธอด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำผืนเล็ก ๆ แล้วให้เธอปีนขึ้นมาบนอ้อมแขนตัวเอง......เขาจะอยู่ใต้แสงไฟสลัว แล้วเล่านิทานให้เจ้าหนูลู่เหยียนฟังอย่างอ่อนโยน จนกระทั่งเจ้าตัวเล็กหลับไปหลังจากที่เจ้าหนูลู่เหยียนหลับไปแล้วลู่เจ๋อถึงจะไปที่ห้องหนังสือเพื่อสะสางงานต่อ ตอนที่เขาจัดการงานเสร็จ เวลาก็ปาไปตีหนึ่งตีสอง เฉียวซุนกับเจ้าหนูลู่เหยียนก็หลับกันไปนานแล้ว......เขาทิ้งตัวนอนข้าง
ความรักและความเกลียดชังของพวกเขา ก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์!หลังจากการพบกันใหม่ เธอก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเธอเริ่มโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา พูดคุยราวกับคู่รักสามีภรรยาทั่วไป เธอพูดกับลู่เจ๋อด้วยเสียงที่แผ่วเบา “งานแต่งงานของหลินเซียวกับคุณฟ่าน จะจัดขึ้นสิ้นปีนี้ พอถึงตอนนั้นเจ้าหนูลู่เหยียนเองก็น่าจะดีขึ้นมากแล้ว......ฉันสามารถพาเธอไปร่วมงานแต่งงานได้ ฉันกำลังคิดอยู่เลย ว่าจะมอบอะไรให้หลินเซียวเป็นของขวัญดี”ลู่เจ๋อไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเขาลูบผมที่ชุ่มเหงื่อของเธอเบา ๆ ซึมซับบรรยากาศอันเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้าเฉียวซุนเองก็ไม่อยากที่จะทำลายบรรยากาศเช่นกันขณะที่เธอกำลังจะเปิดปากพูดนั้น น้ำเสียงของเธอก็รู้สึกตึงขึ้นเล็กน้อย เธอถามลู่เจ๋อออกไป “คุณจะไปร่วมงานด้วยไหม? เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันได้ยินหลินเซียวบอกว่า ช่วงนี้คุณกับคุณฟ่านได้มีการติดต่อทางธุรกิจกันด้วย”ลู่เจ๋อก้มศีรษะลง แววตาที่ลึกล้ำเกินคาดเดา “คุณอยากให้ผมไปจริง ๆ เหรอ? ”เฉียวซุนไม่ได้ตอบโดยตรงเธอลูบไล้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างอ่อนโยน จากนั้นเธอกลับพูดถึงครอบครัวของคุณนายหลี่แทน “คุณนายหลี่เองก็ไปด้วยเหมือนกัน ปกติเธอก
“เดี๋ยวพ่อไปต้มน้ำให้นะ!”ลู่เจ๋อไม่ได้ปฏิเสธ เขามองตามลู่เหวินหลี่ที่เดินเข้าไปในห้องครัวเล็ก ๆ จัดการชงชาอย่างไม่เป็นทางการมากนัก อาจจะเป็นเพราะข้างนอกลมแรง เลยทำให้ลู่เหวินหลี่ไอออกมาบ้างเป็นครั้งคราวจู่ ๆ ลู่เจ๋อก็ถามขึ้นว่า “ป่วยแล้วทำไมไม่ไปรักษาล่ะครับ? ”ลู่เหวินลี่ตัวแข็งทื่อ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ปัญหาโรคเก่าน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร! เดี๋ยวทานยาแก้หวัดแล้วก็หายเองแหละ”ลู่เจ๋อรู้ว่าเขากำลังโกหก ท่าทางของลู่เหวินหลี่ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาป่วยหนักมาเป็นเวลานานแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก ได้แต่เปิดหนังสืออ่านอยู่เงียบ ๆ ต่อมา ลู่เหวินหลี่ที่เพิ่งต้มน้ำเสร็จ ก็ชงชาราคาถูกมาให้ ขณะที่เขาเชิญให้ลู่เจ๋อดื่มชา ในใจเขาก็รู้สึกกังวล กระทั่งเขาแทบจะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ “พอดีว่าไม่ได้เตรียมตัวเองไว้ล่วงหน้า เลยไม่มีอะไรไว้ต้อนรับเลย”ลู่เจ๋อจิบชาเข้าไปแค่คำเดียวลู่เหวินหลี่ก็รู้ว่าเขาไม่ชินกับการดื่มอะไรแบบนี้ เขาจึงนั่งลง และถามลู่เจ๋อถึงสถานการณ์ทางบ้าน สิ่งที่ถามถึงมากที่สุดคืออาการของเจ้าหนูลู่เหยียน......ลู่เจ๋อหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วย
ลู่เจ๋อเดินไปยังข้างเตียงแล้วนั่งลง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “ผมออกไปจัดการเรื่องนิดหน่อย! คุณฝันร้ายเหรอ? ”เฉียวซุนจ้องมองเขาอย่างใกล้ชิดเธอไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เธอฝันออกมา เพราะเธอมักจะรู้สึกว่ามันจะทำให้โชคไม่ดี ต่อมา ขณะที่ลู่เจ๋อนอนอยู่ข้าง ๆ เธอก็เริ่มจับมือเขา......สัมผัสอันอบอุ่นทำให้เธอค่อย ๆ สงบลงเธอคิดว่า ความฝันอาจจะเกิดขึ้นตรงกันข้ามกับความจริงก็ได้ มันไม่น่าจะเป็นจริงนั่นก็เป็นแค่เพียงความฝันเท่านั้น!ต่อมา ขณะที่เธอกำลังจะหลับด้วยท่าทางที่สะลึมสะลืออยู่นั้น ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินลู่เจ๋อกระซิบที่ข้างหู เขาบอกว่า ถ้าคืนนี้พวกเขามีลูกด้วยกัน ก็ให้เขาชื่อว่าลู่ฉวินเถอะนะ......เมื่อถึงรุ่งสาง เฉียวซุนก็คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และแน่ใจว่านั่นน่าจะเป็นความฝันลู่เจ๋อบอกว่าเธอกังวลมากเกินไปแต่เฉียวซุนกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมักจะสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น......ความรู้สึกนั้นมันยิ่งหนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดของเจ้าหนูลู่เหยียนการตรวจก่อนการผ่าตัดความรู้สึกไม่สบายใจในใจของเฉียวซุนก็มาถึงขีดสุดเธอถึงขั้นถามลู่เจ๋อ ว่า