ใกล้เที่ยงวัน แม้สายลมหนาวจะพัดมาเป็นระลอก แต่จิณณาก็รู้สึกแสบร้อนผิวหน้าเพราะแสงแดดที่แผดจ้า หล่อนคลี่ผ้าคลุมไหล่ผืนสวยขึ้นมาคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแสงแดด แล้วก้มหน้าทำงานต่อ พลันก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของหัวหน้าคนงานดังอยู่ใกล้ๆ
“หน้าแดงยังกับกุ้งต้ม ไปพักที่ร่มก่อนเถอะหนูจิณ ช่วงบ่ายค่อยมาทำต่อ” “ขอบคุณค่ะลุงชื่น แต่จิณจะตัดใบแปลงนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยพัก ดูของคนอื่นสิ เสร็จนำหน้าจิณไปอีกแล้ว” จิณณาบอกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากต้นสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกเรียงรายบนแปลง พลางใช้กรรไกรตัดใบแห้งบริเวณโคนต้นออกเพื่อรอรับผลผลิตที่จะตามมา “งั้นก็ทำไปเถอะ แต่ไม่ต้องรีบ เอาที่เราทำไหว คุณอั๋นไม่ได้เคี่ยวเข็ญกับพวกเรามาก คนงานในไร่นี้ นอกจากพวกที่เรี่ยวแรงยังดีก็ยังมีพวกง่อนแง่นอย่างยายป้อมและลุงผินอยู่ด้วย พวกนี้ก็ทำไปพักไปตามที่สังขารอำนวย” จิณณาเงยหน้าขึ้นมามองโดยรอบอย่างสังเกตตาม คนงานในไร่มีหลายวัยจริงตามที่ลุงชื่นพูด นอกจากคนหนุ่มสาวแล้วยังมีคนแก่ชรา กลุ่มหลังก็ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย...จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้ “แล้วคุณอาทิตย์ไม่ขาดทุนแย่หรือจ๊ะ ถ้าเราทำงานกันแบบนี้ มันจะไม่คุ้มเงินค่าจ้างเอาสิ แล้วพืชผักพวกนี้ขายไปจะทำกำไรได้คุ้มค่าแรงหรือ” จิณณาไม่รู้ว่าพืชผักและผลไม้ที่ปลูกอยู่ในไร่ เช่น สตรอว์เบอร์รี เคปกูสเบอร์รี หรือมะเขือเทศ ที่เห็นอยู่หลากหลายพันธุ์นั้น ราคาขายจะสูงพอกับค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าแรงของคนงานในไร่ที่เห็นคร่าวๆ ว่าน่าจะถึงยี่สิบคนได้หรือเปล่า “อยู่ได้สิ ทั้งหมดนี้เป็นพืชอินทรีย์ เราปลูกแบบปลอดสารพิษ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่มียาฆ่าแมลง ต้นทุนเลยไม่สูง คุณอาทิตย์ปลูกไว้ป้อนซูเปอร์มาร์เก็ตของเธอเอง” “อ้าว! ไม่ได้ขายให้พ่อค้าทีละมากๆ หรือจ๊ะ จิณเห็นคนทำไร่ขายกันอย่างนี้ บางช่วงที่พืชผลเกษตรราคาตก เขาขนไปขายกันเป็นคันรถ แต่ได้เงินไม่กี่พันบาทก็มี” เป็นความรู้ใหม่สำหรับจิณณาเกี่ยวกับเจ้าของบ้าน แล้วก็มีเสียงสนับสนุนจากคนงานวัยไล่เลี่ยกับหล่อนที่ทำงานอยู่แปลงติดกันดังขึ้น “ระดับลูกชายของคุณนายอรอรทำไร่ทั้งที จะขายให้พวกพ่อค้าคนกลางไปทำไมล่ะหนูจิณ ตลาดสดติดแอร์ของเขาก็มี ทำเองขายเองไม่ดีกว่าเหรอ” “มันก็ใช่นะ” จิณณาเออออตามแล้วจบการสนทนาถึงเจ้าของบ้านเพียงแค่นั้น แม้ในใจจะยังมีข้อสงสัย แต่เพราะเห็นว่าตัวเองเป็นแค่คนงาน แถมเพิ่งมาอยู่ใหม่ จึงไม่สมควรที่จะอยากรู้เรื่องของเจ้านายจนเกินขอบเขตอาทิตย์จัดการงานเสร็จในเวลาเที่ยงวัน เขาลุกจากโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง และแวดล้อมไปด้วยอุปกรณ์ทำงานที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ
ร่างสูงเพรียวบิดกายไล่ความเมื่อยขบหลังจากนั่งในอิริยาบถเดิมเป็นชั่วโมง แล้วสาวเท้าออกจากห้องทำงานโดยไม่ลืมล็อกประตูห้องให้เรียบร้อย เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในพื้นที่ส่วนตัว แม้จะกำชับทุกคนในบ้านไว้แล้ว แต่ในเขตไร่ก็มีคนงานมากหน้าหลายตา คนที่เปลี่ยนเวียนหน้าก็มีอยู่ไม่น้อย อาทิตย์ไม่กลัวว่าทรัพย์สินในบ้านจะสูญหาย เพราะนอกจากระบบรักษาความปลอดภัยที่วางไว้อย่างรัดกุมดีแล้ว ก็ยังมีคนเก่าแก่ที่วางใจได้คอยเป็นหูเป็นตาให้ทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน แต่ในห้องทำงานนี้ที่มีอุปกรณ์เทคโนโลยีหลายชิ้น เขากลัวว่าจะมีคนหวังดีเข้ามาปัดกวาดทำความสะอาดให้ แล้วเกิดหยิบฉวยด้วยความอยากรู้ พานจะทำให้งานเสียหาย จนครั้งหนึ่งป้าแววถึงกับพูดว่าถ้าเขายังหวงข้าวของในห้องทำงานยิ่งกว่าคนหวงลูกเมีย ระวังไว้เถอะว่าชีวิตนี้อาจไม่มีเมียตัวจริงมาอยู่ด้วย พอนึกเรื่องนี้ทีไร โปรแกรมเมอร์หนุ่มฝีมือดีก็อดที่จะหัวเราะขันไม่ได้ ชายหนุ่มเดินลงมาชั้นล่างด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่ง เพราะจัดการงานในขั้นตอนสำคัญส่งให้ทีมงานที่อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว เขาเหลือบมองไปในทิศทางห้องครัวนิ่งนาน ชั่งใจว่าจะรับประทานอาหารที่บ้านหรือขับรถเข้าเมืองดี แต่แล้วหางตาก็แลเห็นร่างที่แสนจะคุ้นตาก้าวเข้ามาในบ้าน เขาหรี่ตามองอย่างสงสัย เจ้าหล่อนเดิมก้มหน้างุดจนดูผิดปกติ จนแม้แต่เดินมาใกล้เขาแล้ว แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจมอง ทำเหมือนเขาเป็นอากาศ เป็นวัตถุโปร่งแสง ชายหนุ่มมองตามจนเห็นว่าหล่อนเดินตรงไปยังห้องพักของตัวเอง อาทิตย์ส่ายหน้า หากก่อนจะถอนความสนใจออกมาก็เห็นจังหวะหนึ่งที่หล่อนทำท่าเซขึ้นมา ชายหนุ่มสาวเท้าเดินตามไปดูอย่างให้คลายสงสัย “เป็นอะไรของเขาหรือเปล่า” อาทิตย์พึมพำกับตัวเอง จนเมื่อคนงานคนใหม่ของลุงชื่นเปิดประตูห้องพักแล้วเข้าไปในนั้นแล้ว เขาจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วตัดสินใจเดินกลับมา เพื่อออกทางหน้าประตูบ้านไปยังโรงรถแทนรถปอร์เช่คันสีขาวเคลื่อนออกจากบ้านกึ่งตึกสองชั้นไปตามถนนคอนกรีต ผ่านกลางไร่กว้างที่ครอบคลุมพื้นที่เกือบสองร้อยไร่ จนเมื่อใกล้จะถึงประตูรั้วใหญ่ที่กั้นเป็นเขตที่ดิน สายตาคมก็เหลือบไปยังพื้นที่ที่จัดสรรสำหรับปลูกสตรอว์เบอร์รี
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน คนงานกลุ่มใหญ่ที่เห็นไกลๆ เกาะกลุ่มอยู่ในอาคารชั้นเดียวที่ผนังเปิดโล่งด้านหนึ่ง พวกเขาคงรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ แล้วนึกไปถึงคนที่เพิ่งกลับเข้าบ้าน คนที่ตรงดิ่งเข้าไปในห้องพักโดยไม่เหลือบแลและไม่ทักทายเขาที่ยืนมองหล่อนอยู่ “จิณณาไม่กินข้าวที่นี่หรือ แล้วกลับไปที่บ้านจะมีอะไรให้กินหรือเปล่า” เขาพึมพำถามตัวเอง ก่อนตัดสินใจจอดรถไว้บนถนน แล้วเปิดประตูรถก้าวยาวๆ ไปยังกลุ่มคนงาน ลุงชื่นเดินออกมาจากกลุ่มคนงานที่นั่งบนโต๊ะยาวสำหรับรับประทานอาหาร เพื่อรอรับหน้าเจ้านาย “คุณอั๋นมาตรวจงานหรือครับ แหม! มาซะผ่าเที่ยงเลย” “พักกินข้าวกันหรือ” อาทิตย์กวาดสายตาสำรวจคนงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็วางมือจากอาหารแล้วยกมือไหว้ทักทายเขา “ใช่ครับ วันนี้แดดร้อนมาก ผมเลยให้คนงานพักเร็วขึ้น ตากแดดนานจะไม่ไหวเอาครับ” “แล้วคนงานใหม่ของลุงไม่กินข้าวที่นี่หรือ” “ใครครับ” ลุงชื่นตีหน้าสงสัยอย่างไม่เสแสร้ง แล้วไม่กี่วินาทีก็ร้องอ๋อ “หนูจิณหรือครับ วันนี้แกทำงานตั้งแต่เช้า ไม่ยอมเข้าพักที่ร่ม ตากแดดจนตัวแดงเชียวครับ เห็นบ่นว่าเพลียๆ หน้ามืด เลยขอกลับที่พัก บ่ายๆ คงกลับมาทำต่อ แกรับรองกับผมว่าไม่ทิ้งงานแน่นอนครับ” ลุงชื่นอธิบายยาวเหยียด แถมตบท้ายให้เจ้านายหนุ่มมั่นใจในตัวคนงานคนใหม่ “จิณณาไม่สบายหรือ แล้วได้กินยาหรือเปล่า มื้อเที่ยงจะกินข้าวที่ไหน เมื่อกี้ฉันไม่เห็นคนงานในบ้านอยู่สักคน” “อ๋อ! ป้าแววเกณฑ์คนที่บ้านใหญ่ไปช่วยคนงานคัดเคปกูสเบอร์รีกันครับ เห็นว่าจะแพ็กใส่กล่องให้เสร็จในวันนี้ เย็นๆ จะได้ส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตได้ครับ” ลุงชื่นรายงานอย่างเป็นการเป็นงาน แล้วต่อด้วยอีกเรื่องอย่างรู้ใจเจ้านาย “ส่วนหนูจิณ คุณอั๋นไม่ต้องห่วงครับ แกไม่เป็นอะไรมาก เมื่อกี้ก็บอกว่ากลับห้องพักเพราะจะไปเอาหมวกปีกกว้างมาใช้ในช่วงบ่าย วันนี้แสงแดดคงแรงทั้งวัน สู้ไม่ไหวจริงๆ ครับ” อาทิตย์พยักหน้ารับรู้ ตีสีหน้าเรียบนิ่ง ขณะในใจก็รู้สึกโล่งเมื่อได้ยินว่าหล่อนไม่เป็นอะไรมาก “ดีแล้ว ฉันไม่อยากให้ใครมาล้มป่วยในไร่ของเรา เพราะมันจะยุ่งยากทีหลัง” แม้บอกไปอย่างนั้น แต่ลุงชื่นที่ทำงานด้วยกันมานานก็รู้ว่าเจ้านายหนุ่มมีน้ำใจ คอยเป็นห่วงเป็นใยลูกน้องเสมออยู่แล้ว อาทิตย์เดินกลับไปยังรถคันหรูที่จอดอยู่บนถนนแล้วขับออกจากไปด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่งกว่าเดิมตะวันคงบ่ายคล้อยแล้ว ไม่รู้ว่าแสงแดดข้างนอกยังแผดจ้าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับในห้องพักนี้ จิณณารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในตู้อบ“ร้อนจังเลย”เสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนยาวที่หวังจะให้กันแดดยามทำงานในไร่ เวลานี้มันรัดรึงจนแทบหายใจไม่ออกเรียวนิ้วที่เริ่มหยาบกร้านไต่ขึ้นตามสาปเสื้อ ไล่คลำหากระดุมเสื้อเม็ดบนสุดแล้วปลดออกโดยใช้เวลาเกือบนาที ก่อนจะเลื่อนมือลงไปหากระดุมเม็ดถัดไปเสียงครางอือในลำคออย่างพอใจเมื่อรู้สึกสบายตัวมากขึ้นทั้งที่ดวงตายังหลับพริ้ม จนเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสะดวกสบายพอ มือเรียวขาวสะอาดจึงหล่นมาวางขนาบข้างลำตัวเรือนร่างอวบอิ่มทอดนิ่งอยู่บนเตียงนอนขนาดสามฟุตที่วางชิดผนังห้อง โดยมีฟูกนอนบางๆ รองรับ พัดลมตัวเดียวตรงมุมห้องยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ จิณณารู้สึกผ่อนคลายจนปล่อยตัวเองให้หลับใหล เพราะไม่อาจทนกับความเมื่อยล้าจากการกรำงานในไร่มาตลอดทั้งสัปดาห์ได้อีกอาทิตย์จิบเบียร์เย็นพลางทอดมองน้องชายและหญิงสาวร่างโปร่งบางที่กำลังไดร์ฟกอล์ฟอยู่เบื้องหน้าไกลๆ จนเมื่อรู้สึกถึงแรงตบตรงหัวไหล่จนเขาถึงก
“เพ้อเจ้อน่า”เสียงพึมพำหลุดจากเรียวปากหยัก โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเขาบอกตัวเองหรือบอกเพื่อนที่ยังเซ้าซี้ถาม“นายแค่สนุกกับงาน แต่สักพักมันจะเหงา อยากมีคนดูแล”อาทิตย์พยายามห้ามความคิดไม่ให้จดจ่อถึงผู้หญิงคนนั้น แต่ดูว่าช่างยากเหลือเกิน จนต้องเสหยิบแก้วเบียร์มาจิบอีกรอบด้วยอยากกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อคิดว่าปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว จึงโต้กลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเดิม“ไม่ต้องมากล่อมฉัน เพราะนายอีกคนนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้แม่มาเร่งฉันให้แต่งงาน”ปราชญ์หัวเราะร่วน เขาเข้าใจถึงความนัยในคำพูดนั้นดี เพราะชีวิตส่วนตัวของเขาถูกบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนนำไปเปรียบเทียบ แล้วเร่งให้แต่งงานกันหลายคนแล้วสำหรับเขาที่แต่งงานตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปีกับเพื่อนหญิงที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม จนตอนนี้ก็มีลูกชายหญิงรวมสามคนแล้ว“ก็ฉันคบกับป่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียน รวมเวลาก็นับสิบปี ขืนให้รอนานกว่านี้ แม่ยายจะได้ยกลูกสาวให้คนอื่นปะไร”“นายเลยมีลูกทันใช้อยู่คนเดียว”“ถ้านายสตาร
แค่รถปอร์เช่คันสีขาวเลี้ยวออกจากสนามไดร์ฟกอล์ฟสู่ถนนสายหลักระหว่างเมืองมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ต่อเมื่อรับสาย ถ้อยคำจากคนปลายสายก็ส่งเข้ามา“แกจะมาหาฉันใช่ไหม”“ใช่ครับ ผมกำลังไปที่สำนักงาน แม่อยู่ที่ไหนแล้วครับตอนนี้”อาคารสำนักงานอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นแหล่งขายผักและผลไม้ปลอดสารพิษรวมอยู่ด้วย“ฉันกลับมาบ้านแล้ว วันนี้ออกข้างนอกทั้งวัน มีทั้งงานแต่งงาน งานเปิดร้านของลูกหลานผู้ใหญ่ในจังหวัด จนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เข้าสำนักงานไม่ไหวแล้ว คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สังขารไม่แน่นอน นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำท่าจะทรุด”“แม่ยังอยู่อีกนานครับ แล้วร่ายมาขนาดนี้ ต้องการอะไรครับ”อาทิตย์ขัดคอเสียงเรียบแล้วถามกลับ จนได้ยินเสียงบ่นลอดไรฟันอยู่สองสามประโยคจากผู้ให้กำเนิด ซึ่งล้วนแต่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา“ผมว่าถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้ก็ต้องซ้อมบทแม่ผัวใจดีมีเมตตาไว้ได้แล้วนะครับ เผื่อจับพลัดจับผลูได้มาแบบไม่ทันตั้งตัว ลูกสะใภ้จะได้ไม่เผ่นหนี
อาทิตย์คีบกระดาษแผ่นเดียวที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหยิบปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อมาวางบนโต๊ะ รายงานผลผลิตของผักและผลไม้ในไร่และช่วงเวลาที่คาดว่าจะส่งเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าของมารดาได้กว่าสิบนาทีที่คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัดนั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และเมื่อลูกชายรายงานผลจบลง เธอก็ถามขึ้น“แกดูแลไร่เองทั้งหมดเลยหรือ”“ก็ใช่สิครับ”อาทิตย์ตอบพลางเลิกคิ้วสงสัย เพราะคิดว่าเรื่องนี้แม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว“นอกจากลุงชื่นและคนงานในไร่ แกมีใครช่วยงานอีกหรือเปล่า”ถามขึ้นเพราะเห็นกระดาษแผ่นเดียวที่ลูกชายเอาติดมา แถมลายมือก็ยังโย้เย้น่าปวดหัว“ไม่มีครับ แต่มันไม่จำเป็นหรอก ผมดูแลไร่ได้ แม่ไม่ต้องหาคนมาช่วยงานผม เพราะผมกลัวว่าจะเข้ามาเกะกะให้เสียงานมากกว่าผมจะได้งาน”ชายหนุ่มรีบปิดทาง เพราะคิดว่าแม่จะวกไปหาเรื่องเดิมๆ นั่นคือส่งสาวๆ มาให้เขาพิจารณาโดยผ่านทางการทำงาน“แกไม่ต้องออกตัวขนาดนั้น ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับแกแล้วเหมือนกัน” คุณนาย
กว่าห้าโมงเย็น รถยนต์คันสีขาวแล่นเข้ามาในเขตไร่กว้างขวางที่จัดสรรพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดไว้อย่างเป็นสัดส่วน เมื่อมองจากถนนดาดคอนกรีตที่รถแล่นผ่านเข้ามาช้าๆ พืชผลที่พร้อมเก็บเกี่ยวหลายแปลงกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้เกิดภาพงดงามอาทิตย์จอดรถตรงที่เดิม จุดที่เคยจอดเมื่อตอนขับรถออกจากไร่ในตอนเที่ยงวันคราวนี้ลุงชื่นที่รอท่ากันอยู่แล้วก็ปรี่มาหา โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายเดินไปเอง พร้อมกับรายงานอย่างกระตือรือร้น“คนงานกำลังขนเคปกูสเบอร์รีขึ้นรถ งวดนี้เราคัดขนาดและตรวจคุณภาพก่อนแพ็กตามที่คุณอั๋นบอกไว้เป๊ะเลย พร้อมส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณนายไม่เกินหกโมงเย็น คุณอั๋นจะดูของก่อนไหมครับ”“ลุงตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วใชไหม”“เรียบร้อยแล้วครับ หลังจากคนงานทำเสร็จ ผมก็เช็กเองอีกรอบ นับจำนวน แยกตามขนาด แล้วจดไว้ในกระดาษแผ่นนี้ครับ”ลุงชื่นรีบยื่นกระดาษแผ่นเดียวให้กับเจ้านาย และเขาก็รับมากวาดสายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะพับเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นทุกครั้งอาทิตย์เงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองโดยรอบ ต่อเมื่อไม่เห็นคนเป้าหมาย
จิณณาล่องลอยอยู่ในความฝัน ท่ามกลางเมฆหมอกสวยงาม...แต่บางสิ่งก็ค้านว่ามันอาจเป็นความจริงไฟร้อนอบอ้าวที่แผดเผาหล่อนมานานกำลังมอดดับลง ร่างกายเริ่มเย็นสบาย สายลมเย็นนั้นไล้ทั่วกาย ช่างให้ความรู้สึกดีจนจิณณาต้องปล่อยเสียงหัวเราะอย่างสุขใจนานทีเดียวกว่าสายลมเย็นนั้นจะหยุดไล้เรือนกาย เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง จิณณาถึงรับรู้ว่าไฟร้อนที่แผดเผากลับมาหาหล่อนอีกแล้ว จิณณาไม่ต้องการ หล่อนอยากหนีไปให้ไกล แต่ตะโกนร้องจนเสียงแห้งก็ไม่มีใครได้ยินเลยน้ำตาแห่งความอาดูรไหลพราก หล่อนไม่อยากกลับไปทรมานอยู่กับความร้อนนั้นอีกแล้วร่างกายก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ จิณณาล่องลอย รู้สึกกายเบาหวิวคล้ายวัตถุไร้น้ำหนัก หล่อนเคลื่อนกายผ่านมวลเมฆสวยงามก้อนแล้วก้อนเล่า ความอบร้อนไม่มาเยือนอีกเลย หญิงสาวครางในลำคออย่างพอใจกระทั่งเคลื่อนเข้าไปอยู่ในมวลอากาศที่เย็นฉ่ำแสนชื่นใจ ร่างกายจึงเคลื่อนลงต่ำ แล้วเอนลงบนผืนหญ้านุ่มดุจพรมเนื้อดีที่ตรงนี้ดีเหลือเกิน เย็นฉ่ำชื่นใจ ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังนุ่มสบายอีกด้วยอาทิตย์ชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับไปมองบนเตียงนอนของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงหัวเ
ไม่มีอะไรน่าง่วงนอนไปกว่าการนั่งฟังคุณนายอรอรพูดโน้มน้าวให้เขาหาผู้หญิงมาทำลูกสักครอกอีกแล้วแค่นึกว่าในแต่ละวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่ควบคุมได้ยากนั้นมาวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในบ้านที่เขาหนีมาสร้างอยู่กลางไร่กว้าง อาทิตย์ก็คิดว่าหายนะเกิดกับเขาแน่นอนแล้วชายหนุ่มลอบถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ดูว่าคุณนายยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมถอยเหมือนกัน ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ“ถ้าแกนึกถึงข้อดีของการมีครอบครัวไม่ออก ก็ลองจินตนาการว่า ถ้าปุบปับแกเป็นอะไรไป สมบัติที่แกหามาได้อย่างฟลุกๆ ตั้งมากมายจะตกเป็นของการกุศล แกจะทนได้เหรอ”นี่เอาทุกทางเลยใช่ไหม กล่อมไม่สำเร็จก็แช่งให้ตายซะดื้อๆ เอากับคุณนายเขาสิ!“แกว่าไง ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะมาเป็นชั่วโมง แกจะไม่หือไม่อือสักคำเลยหรือ”“หิวน้ำไหมแม่”อาทิตย์โพล่งถาม จ้องหน้าแม่นิ่งๆ แววตาบอกว่าจริงจัง ทำเอาคุณนายอรอรถึงกับชะงัก ความจังงังกระแทกเข้าอย่างจัง“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”“ผมถามว่าหิวน้ำไหม หรือว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า จะได้บอกเด็กให้ทำมาให้ แม่ก็รู้ตัวว่าพูดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยก็ต้องหิวบ้างละ”ได้ฟังค
อาทิตย์กลับเข้ามาในบ้านในเวลาเกือบสองทุ่ม กลางโถงกว้างเมื่อตอนกลางวันมีคนงานอยู่พลุกพล่าน หากเวลานี้กลับเงียบสงัดไร้ใครสักคนที่ยังคงอยู่แสงไฟส่องสว่างจากโคมไฟประดับหรูตรงเพดานสูงนั้นทำให้เขามองเห็นรอบตัวได้ชัดเจน สายตาทอดไปยังทิศทางด้านในใกล้กับห้องครัว แล้วจับตามองนิ่ง ‘คนพวกนั้นทำอะไรกัน แล้วนั่นคนงานบ้านแกทุกคนเลยหรือ’แม่ถามขึ้นทันทีเมื่อเขาทำหน้าที่สารถีพาออกจากบ้านในช่วงบ่าย ‘ใช่มั้งครับ’‘ใช่มั้ง? หมายความว่ายังไง แกจำคนงานในบ้านไม่ได้หรือไง แล้วอย่างนี้ปล่อยให้ใครต่อใครเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ งั้นหรือ’‘ไม่ขนาดนั้นหรอกแม่ ถึงจำชื่อไม่ได้แต่ก็พอคุ้นหน้า ใครแปลกหน้าเข้ามาผมก็รู้’‘ถ้าอย่างนั้นพวกที่จับกลุ่มนั่งเจียนใบตองอยู่ในบ้าน แกก็คุ้นหน้าทุกคนสินะ’เขารู้ว่าแม่พยายามเลียบเคียงถามถึงบางคนที่นั่งรวมอยู่ในกลุ่มนั้น เขาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเธอตอนที่แม่พุ่งไปหานั่นละดวงตาคมปรายมองไปทางด้านใน ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ตรงไปหาอย่างเห็นเป้าหมายเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนักๆ สามครั้ง จิณณาผุดลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนเกร็งตัวอยู่นานนับสิบนาทีตั้งแต่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดแล้วโรงรถอยู่ใกล้กับห้องพัก
จิณณาล่องลอยอยู่ในความฝัน ท่ามกลางเมฆหมอกสวยงาม...แต่บางสิ่งก็ค้านว่ามันอาจเป็นความจริงไฟร้อนอบอ้าวที่แผดเผาหล่อนมานานกำลังมอดดับลง ร่างกายเริ่มเย็นสบาย สายลมเย็นนั้นไล้ทั่วกาย ช่างให้ความรู้สึกดีจนจิณณาต้องปล่อยเสียงหัวเราะอย่างสุขใจนานทีเดียวกว่าสายลมเย็นนั้นจะหยุดไล้เรือนกาย เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง จิณณาถึงรับรู้ว่าไฟร้อนที่แผดเผากลับมาหาหล่อนอีกแล้ว จิณณาไม่ต้องการ หล่อนอยากหนีไปให้ไกล แต่ตะโกนร้องจนเสียงแห้งก็ไม่มีใครได้ยินเลยน้ำตาแห่งความอาดูรไหลพราก หล่อนไม่อยากกลับไปทรมานอยู่กับความร้อนนั้นอีกแล้วร่างกายก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ จิณณาล่องลอย รู้สึกกายเบาหวิวคล้ายวัตถุไร้น้ำหนัก หล่อนเคลื่อนกายผ่านมวลเมฆสวยงามก้อนแล้วก้อนเล่า ความอบร้อนไม่มาเยือนอีกเลย หญิงสาวครางในลำคออย่างพอใจกระทั่งเคลื่อนเข้าไปอยู่ในมวลอากาศที่เย็นฉ่ำแสนชื่นใจ ร่างกายจึงเคลื่อนลงต่ำ แล้วเอนลงบนผืนหญ้านุ่มดุจพรมเนื้อดีที่ตรงนี้ดีเหลือเกิน เย็นฉ่ำชื่นใจ ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังนุ่มสบายอีกด้วยอาทิตย์ชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับไปมองบนเตียงนอนของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงหัวเ
กว่าห้าโมงเย็น รถยนต์คันสีขาวแล่นเข้ามาในเขตไร่กว้างขวางที่จัดสรรพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดไว้อย่างเป็นสัดส่วน เมื่อมองจากถนนดาดคอนกรีตที่รถแล่นผ่านเข้ามาช้าๆ พืชผลที่พร้อมเก็บเกี่ยวหลายแปลงกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้เกิดภาพงดงามอาทิตย์จอดรถตรงที่เดิม จุดที่เคยจอดเมื่อตอนขับรถออกจากไร่ในตอนเที่ยงวันคราวนี้ลุงชื่นที่รอท่ากันอยู่แล้วก็ปรี่มาหา โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายเดินไปเอง พร้อมกับรายงานอย่างกระตือรือร้น“คนงานกำลังขนเคปกูสเบอร์รีขึ้นรถ งวดนี้เราคัดขนาดและตรวจคุณภาพก่อนแพ็กตามที่คุณอั๋นบอกไว้เป๊ะเลย พร้อมส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณนายไม่เกินหกโมงเย็น คุณอั๋นจะดูของก่อนไหมครับ”“ลุงตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วใชไหม”“เรียบร้อยแล้วครับ หลังจากคนงานทำเสร็จ ผมก็เช็กเองอีกรอบ นับจำนวน แยกตามขนาด แล้วจดไว้ในกระดาษแผ่นนี้ครับ”ลุงชื่นรีบยื่นกระดาษแผ่นเดียวให้กับเจ้านาย และเขาก็รับมากวาดสายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะพับเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นทุกครั้งอาทิตย์เงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองโดยรอบ ต่อเมื่อไม่เห็นคนเป้าหมาย
อาทิตย์คีบกระดาษแผ่นเดียวที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหยิบปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อมาวางบนโต๊ะ รายงานผลผลิตของผักและผลไม้ในไร่และช่วงเวลาที่คาดว่าจะส่งเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าของมารดาได้กว่าสิบนาทีที่คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัดนั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และเมื่อลูกชายรายงานผลจบลง เธอก็ถามขึ้น“แกดูแลไร่เองทั้งหมดเลยหรือ”“ก็ใช่สิครับ”อาทิตย์ตอบพลางเลิกคิ้วสงสัย เพราะคิดว่าเรื่องนี้แม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว“นอกจากลุงชื่นและคนงานในไร่ แกมีใครช่วยงานอีกหรือเปล่า”ถามขึ้นเพราะเห็นกระดาษแผ่นเดียวที่ลูกชายเอาติดมา แถมลายมือก็ยังโย้เย้น่าปวดหัว“ไม่มีครับ แต่มันไม่จำเป็นหรอก ผมดูแลไร่ได้ แม่ไม่ต้องหาคนมาช่วยงานผม เพราะผมกลัวว่าจะเข้ามาเกะกะให้เสียงานมากกว่าผมจะได้งาน”ชายหนุ่มรีบปิดทาง เพราะคิดว่าแม่จะวกไปหาเรื่องเดิมๆ นั่นคือส่งสาวๆ มาให้เขาพิจารณาโดยผ่านทางการทำงาน“แกไม่ต้องออกตัวขนาดนั้น ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับแกแล้วเหมือนกัน” คุณนาย
แค่รถปอร์เช่คันสีขาวเลี้ยวออกจากสนามไดร์ฟกอล์ฟสู่ถนนสายหลักระหว่างเมืองมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ต่อเมื่อรับสาย ถ้อยคำจากคนปลายสายก็ส่งเข้ามา“แกจะมาหาฉันใช่ไหม”“ใช่ครับ ผมกำลังไปที่สำนักงาน แม่อยู่ที่ไหนแล้วครับตอนนี้”อาคารสำนักงานอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นแหล่งขายผักและผลไม้ปลอดสารพิษรวมอยู่ด้วย“ฉันกลับมาบ้านแล้ว วันนี้ออกข้างนอกทั้งวัน มีทั้งงานแต่งงาน งานเปิดร้านของลูกหลานผู้ใหญ่ในจังหวัด จนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เข้าสำนักงานไม่ไหวแล้ว คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สังขารไม่แน่นอน นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำท่าจะทรุด”“แม่ยังอยู่อีกนานครับ แล้วร่ายมาขนาดนี้ ต้องการอะไรครับ”อาทิตย์ขัดคอเสียงเรียบแล้วถามกลับ จนได้ยินเสียงบ่นลอดไรฟันอยู่สองสามประโยคจากผู้ให้กำเนิด ซึ่งล้วนแต่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา“ผมว่าถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้ก็ต้องซ้อมบทแม่ผัวใจดีมีเมตตาไว้ได้แล้วนะครับ เผื่อจับพลัดจับผลูได้มาแบบไม่ทันตั้งตัว ลูกสะใภ้จะได้ไม่เผ่นหนี
“เพ้อเจ้อน่า”เสียงพึมพำหลุดจากเรียวปากหยัก โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเขาบอกตัวเองหรือบอกเพื่อนที่ยังเซ้าซี้ถาม“นายแค่สนุกกับงาน แต่สักพักมันจะเหงา อยากมีคนดูแล”อาทิตย์พยายามห้ามความคิดไม่ให้จดจ่อถึงผู้หญิงคนนั้น แต่ดูว่าช่างยากเหลือเกิน จนต้องเสหยิบแก้วเบียร์มาจิบอีกรอบด้วยอยากกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อคิดว่าปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว จึงโต้กลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเดิม“ไม่ต้องมากล่อมฉัน เพราะนายอีกคนนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้แม่มาเร่งฉันให้แต่งงาน”ปราชญ์หัวเราะร่วน เขาเข้าใจถึงความนัยในคำพูดนั้นดี เพราะชีวิตส่วนตัวของเขาถูกบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนนำไปเปรียบเทียบ แล้วเร่งให้แต่งงานกันหลายคนแล้วสำหรับเขาที่แต่งงานตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปีกับเพื่อนหญิงที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม จนตอนนี้ก็มีลูกชายหญิงรวมสามคนแล้ว“ก็ฉันคบกับป่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียน รวมเวลาก็นับสิบปี ขืนให้รอนานกว่านี้ แม่ยายจะได้ยกลูกสาวให้คนอื่นปะไร”“นายเลยมีลูกทันใช้อยู่คนเดียว”“ถ้านายสตาร
ตะวันคงบ่ายคล้อยแล้ว ไม่รู้ว่าแสงแดดข้างนอกยังแผดจ้าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับในห้องพักนี้ จิณณารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในตู้อบ“ร้อนจังเลย”เสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนยาวที่หวังจะให้กันแดดยามทำงานในไร่ เวลานี้มันรัดรึงจนแทบหายใจไม่ออกเรียวนิ้วที่เริ่มหยาบกร้านไต่ขึ้นตามสาปเสื้อ ไล่คลำหากระดุมเสื้อเม็ดบนสุดแล้วปลดออกโดยใช้เวลาเกือบนาที ก่อนจะเลื่อนมือลงไปหากระดุมเม็ดถัดไปเสียงครางอือในลำคออย่างพอใจเมื่อรู้สึกสบายตัวมากขึ้นทั้งที่ดวงตายังหลับพริ้ม จนเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสะดวกสบายพอ มือเรียวขาวสะอาดจึงหล่นมาวางขนาบข้างลำตัวเรือนร่างอวบอิ่มทอดนิ่งอยู่บนเตียงนอนขนาดสามฟุตที่วางชิดผนังห้อง โดยมีฟูกนอนบางๆ รองรับ พัดลมตัวเดียวตรงมุมห้องยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ จิณณารู้สึกผ่อนคลายจนปล่อยตัวเองให้หลับใหล เพราะไม่อาจทนกับความเมื่อยล้าจากการกรำงานในไร่มาตลอดทั้งสัปดาห์ได้อีกอาทิตย์จิบเบียร์เย็นพลางทอดมองน้องชายและหญิงสาวร่างโปร่งบางที่กำลังไดร์ฟกอล์ฟอยู่เบื้องหน้าไกลๆ จนเมื่อรู้สึกถึงแรงตบตรงหัวไหล่จนเขาถึงก
ใกล้เที่ยงวัน แม้สายลมหนาวจะพัดมาเป็นระลอก แต่จิณณาก็รู้สึกแสบร้อนผิวหน้าเพราะแสงแดดที่แผดจ้า หล่อนคลี่ผ้าคลุมไหล่ผืนสวยขึ้นมาคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแสงแดด แล้วก้มหน้าทำงานต่อ พลันก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของหัวหน้าคนงานดังอยู่ใกล้ๆ“หน้าแดงยังกับกุ้งต้ม ไปพักที่ร่มก่อนเถอะหนูจิณ ช่วงบ่ายค่อยมาทำต่อ”“ขอบคุณค่ะลุงชื่น แต่จิณจะตัดใบแปลงนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยพัก ดูของคนอื่นสิ เสร็จนำหน้าจิณไปอีกแล้ว”จิณณาบอกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากต้นสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกเรียงรายบนแปลง พลางใช้กรรไกรตัดใบแห้งบริเวณโคนต้นออกเพื่อรอรับผลผลิตที่จะตามมา“งั้นก็ทำไปเถอะ แต่ไม่ต้องรีบ เอาที่เราทำไหว คุณอั๋นไม่ได้เคี่ยวเข็ญกับพวกเรามาก คนงานในไร่นี้ นอกจากพวกที่เรี่ยวแรงยังดีก็ยังมีพวกง่อนแง่นอย่างยายป้อมและลุงผินอยู่ด้วย พวกนี้ก็ทำไปพักไปตามที่สังขารอำนวย”จิณณาเงยหน้าขึ้นมามองโดยรอบอย่างสังเกตตาม คนงานในไร่มีหลายวัยจริงตามที่ลุงชื่นพูด นอกจากคนหนุ่มสาวแล้วยังมีคนแก่ชรา กลุ่มหลังก็ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย...จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้“แล้วคุณอาทิตย์ไม่ขาดทุนแย่หรือจ๊ะ ถ้าเราทำงานกันแบบนี้ มันจะไม่คุ้มเงินค่าจ้างเอาสิ แล
“ฉันแค่ตลกเธอ ทำไมเธอต้องพูดดิฉันกับฉันด้วย” แม้เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนได้สงสัยนาน แต่จิณณาก็ไม่คิดจะขอบคุณเขาหรอกนะ“อ้าว! ก็คุณไม่ให้ดิฉันแทนตัวเองว่าหนู”“แล้วตอนเธอคุยกับคนอื่น เธอแทนตัวเองว่าอะไร”“ก็...หนู”“เพื่อนเธอล่ะ”“แต่คุณไม่ใช่เพื่อนดิฉันนี่คะ”“แน่นอน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่รับเธอเป็นเพื่อนของฉัน”“ค่ะ” หญิงสาวเผลอยู่ปาก คนระดับอาทิตย์จะมาคบเธอเป็นเพื่อนได้อย่างไร แค่เขามองเห็นเธอเป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศก็ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว“เมื่อกี้เธอรับคำว่าค่ะ...ค่ะ? คืออะไร”“ก็รับทราบว่าไม่ใช่เพื่อนค่ะ”อาทิตย์มองดวงหน้าสวยสุกปลั่งด้วยไอแดด มองเพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดนั้นไม่ได้แฝงการประชด หากก็ไม่พบอารมณ์อื่นใดในแววตาของหล่อน นอกจากการคาดคะเนและรอลุ้นจนชายหนุ่มอดที่จะใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายจึงบอกออกมา“ถ้าเธออยากทำงานในไร่ก็ตามใจ แต่ไม่ต้องย้ายไปบ้านพักคนงาน” อาทิตย์เว้นจังหวะ มองดวงหน้าของหญิงสาวที่ค่อยๆ แย้มเบิกอย่างดีใจใช่ นั่นละ นึกไว้อยู่แล้วว่าจะได้เห็น“บ้านพักคนงานไม่มีหลังที่ว่างสำหรับเธอ แล้วส่วนใหญ่พวกเขาอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นผัว
“หนูรู้สึกได้เอง” ก็แค่ตอนที่จิณณาช่วยขนอาหารออกไปให้คนงานได้รับประทานตอนพักเที่ยง แล้วได้ยินพวกเขาถามกันว่ามื้อนี้เป็นฝีมือของใคร พอรู้ว่าไม่ใช่ของหล่อน ต่างก็หัวเราะดีใจกันยกใหญ่แต่ก็ยังดีนะ ที่พอเห็นว่าหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อุบอิบบอกขอโทษ ก่อนจะพากันเดินหนีหลบหน้าหล่อนไปจนหมดจิณณาถอนหายใจยาว แล้วระบายต่ออย่างได้โอกาส“หนูทำงานไม่เป็น ทั้งที่เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนสักหน่อย”“ก็หนูจิณเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำงานกันล่ะ ตั้งใจเรียนจนจบก็ดีแล้วนี่”“หนูเรียนจบแล้วทำงาน แต่หนูก็ถูกปลดจากงาน แสดงว่าหนูเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานครัว หรืองานตามสายที่เรียนมา”“โธ่เอ๊ย! ชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวหนูก็เจอทางที่ถนัดเอง”“แต่ปากท้องมันรอนานไม่ได้สิจ๊ะ”“แล้วจะเร่งรีบไปทำไม อยู่ช่วยงานที่นี่ไปเรื่อยๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านแม่อีกนะ ความโชคดีไม่ได้เป็นของเราทุกคราว”สีหน้าของจิณณาสลดลง หล่อนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มด้านซ้ายภาพความเกรี้ยวกราดของแม่ในวันนั้นผุดขึ้นมา...วันที่จิณณากลับมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหวังจะตั้งหลักอยู่กั