แค่รถปอร์เช่คันสีขาวเลี้ยวออกจากสนามไดร์ฟกอล์ฟสู่ถนนสายหลักระหว่างเมืองมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ต่อเมื่อรับสาย ถ้อยคำจากคนปลายสายก็ส่งเข้ามา
“แกจะมาหาฉันใช่ไหม” “ใช่ครับ ผมกำลังไปที่สำนักงาน แม่อยู่ที่ไหนแล้วครับตอนนี้” อาคารสำนักงานอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นแหล่งขายผักและผลไม้ปลอดสารพิษรวมอยู่ด้วย “ฉันกลับมาบ้านแล้ว วันนี้ออกข้างนอกทั้งวัน มีทั้งงานแต่งงาน งานเปิดร้านของลูกหลานผู้ใหญ่ในจังหวัด จนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เข้าสำนักงานไม่ไหวแล้ว คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สังขารไม่แน่นอน นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำท่าจะทรุด” “แม่ยังอยู่อีกนานครับ แล้วร่ายมาขนาดนี้ ต้องการอะไรครับ” อาทิตย์ขัดคอเสียงเรียบแล้วถามกลับ จนได้ยินเสียงบ่นลอดไรฟันอยู่สองสามประโยคจากผู้ให้กำเนิด ซึ่งล้วนแต่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา “ผมว่าถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้ก็ต้องซ้อมบทแม่ผัวใจดีมีเมตตาไว้ได้แล้วนะครับ เผื่อจับพลัดจับผลูได้มาแบบไม่ทันตั้งตัว ลูกสะใภ้จะได้ไม่เผ่นหนี เพราะกลัวฤทธิ์แม่ผัวไปเสียก่อน” “แกหมายถึงใครจะหาสะใภ้มาให้ฉันไม่ทันตั้งตัว...หรือแกเปลี่ยนใจมีเมีย แล้วจะมีหลานให้แม่แล้วใช่ไหม” แค่ไม่กี่วินาที คุณนายอรอรก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองเสียหวานจ๋อย จนลูกชายสุดที่รักแทบสำลักลมหายใจ “ยังครับ ไม่ได้หมายถึงผมจะมีเมีย” สาบานได้ว่าตอนแรกก็พูดไปโดยไม่คิดอะไร แต่ในวินาทีนี้ ภาพของแม่ขนุนอวบผิวพรรณผุดผ่องก็ลอยเข้ามาในหัว อาทิตย์เผลอสบถด่าตัวเอง เขาไม่รู้ว่าสมองและความคิดในช่วงนี้เป็นอะไร ถึงมีภาพของหล่อนลอยเข้ามาอยู่ร่ำไป หากถ้อยคำนั้นคงลอดไปถึงหูมารดา เสียงแว้ดแหวจึงลอยเข้ามาจนเขานิ่วหน้าเหยเก เพราะปวดหูกะทันหัน “นี่แกด่าฉันเหรอ เมื่อกี้แกพูดว่าไอ้เวรเอ๊ย ฉันทำให้แกอัดอั้นมากเลยใช่ไหม” “ไม่ใช่ครับแม่ ผมไม่ได้หมายถึงแม่ ผมจะพูดอย่างนั้นได้ยังไง ผมขอโทษครับ เมื่อกี้ผมคิดว่าขะ...เฮ้ย! หนูเข้ามาในรถ แต่พอดูอีกทีก็ไม่ใช่ แต่ตกใจเลยหลุดไปว่าไอ้เวรเอ๊ย” “งั้นก็แล้วไป รถของแกคงซกมกมากเลยสิท่า หนูถึงเข้ามาอยู่ด้วย” ยอมให้มารดาเข้าใจอย่างนั้น ดีกว่าให้รู้ความจริงว่าสมองของเขาช่วงนี้ผิดปกติ พานคิดแต่เรื่องที่ไม่น่าเอามาคิด “ใครจะว่าแม่ตัวเองได้ลงคอเล่า ไม่ว่ายังไงแม่ก็เป็นแม่ที่รักของผม ผมมีแม่คนเดียว ก็ต้องรักและเคารพที่สุดอยู่แล้ว” อาทิตย์พูดเสียงอ่อน ทุกถ้อยคำเขากลั่นออกจากหัวใจ และสายใยของแม่ลูกคงเชื่อมถึงกัน คุณนายอรอรถึงกับนิ่งงัน ก่อนจะพูดขึ้นกับเขา “ขับรถดีๆ แล้วกัน ฉันรอแกอยู่ที่บ้าน” “ครับแม่ ไม่เกินสิบนาทีนี้แหละครับ”รถปอร์เช่คันสีขาวผ่านประตูรั้วสีทองเข้ามาในบ้านสองชั้นที่ตั้งอยู่กลางพื้นที่กว่าสองไร่ แล้วมาจอดเทียบหน้าบ้าน ก่อนคนขับรถจะดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูรถก้าวลงมา
เท้าแข็งแรงที่กำลังจะตรงเข้าไปในบ้านชะงักกึก เมื่อสายตาเหลือบเห็นร่างท้วมของมารดารดน้ำต้นไม้อยู่ตรงริมกำแพงทางด้านขวามือ เขาเดินผ่านสนามหญ้าค่อนข้างกว้างไปอย่างสบายๆ จนเมื่อใกล้จะถึง มารดาก็ส่งสายยางรดน้ำต้นไม้ให้กับเด็กในบ้านที่ยืนอยู่ด้วยกัน แล้วหันมาทางเขาอย่างรู้ถึงการมาอยู่แล้ว “แดดยังร้อน ใครเขารดน้ำต้นไม้กันตอนนี้ล่ะครับแม่” อาทิตย์ไหว้ทักทายมารดาแล้วพูดเย้า “ฉันว่างตอนนี้ ฉันก็จะรด” นี่แหละ แม่ของเขา คุณนายอรอรผู้ที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ...แต่ไหงถึงมาพร่ำเรื่องให้เขาแต่งงานมีลูกตามกระแสสังคมไปได้ก็ไม่รู้นะ “แม่รดน้ำต่อก็ได้นี่ครับ ผมคุยกับแม่ตรงนี้ได้” “ฉันไม่ได้หยุดรดน้ำต้นไม้เพราะแก แต่ฉันหยุดเพราะเมื่อยขา” คราวนี้อาทิตย์ถึงกับชะงัก แล้วเสยกมือขึ้นลูบท้ายทอยด้วยท่าทีแก้เก้อ “แม่นี่ร้ายจริงๆ ยายพริกน่าจะเกิดเป็นลูกของแม่ เพราะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน” “แกจะพูดถึงหนูพริกทำไม แกไม่ได้สนใจเขาสักหน่อย” คุณนายอรอรพูดด้วยท่าทีหมางเมิน แล้วเดินนำเขาไปยังโต๊ะไม้ที่วางอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่าง ก่อนจะทรุดนั่งบนเก้าอี้ อาทิตย์ตามมานั่งอยู่ตรงกันข้ามกับมารดา แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “พริกเป็นเพื่อนของผม เราเป็นเพื่อนกัน เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกครับ” “ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ฉันจะไปบังคับอะไรได้ล่ะ คนสมัยนี้มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง คนแก่ๆ อย่างฉันก็เลยไม่มีความหมาย” “แม่อย่าตัดพ้อเป็นคนแก่ไปหน่อยเลยน่า ผมไม่ชิน” อาทิตย์ถึงกับเกาหัวแกรกเมื่อคุณนายอรอรเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน ที่สำคัญเขาไม่คุ้นสักนิด แล้วก็ได้ผลเมื่อผู้ให้กำเนิดถึงกับค้อนขวับ “พูดธุระของผมดีกว่า” ชายหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้น ด้วยอยากเปลี่ยนข้อหัวสนทนาเป็นสำคัญ “ลุงชื่นส่งเคปกูสเบอร์รีเข้าซูเปอร์มาเก็ตได้ในวันนี้ ค่ำๆ รถคงไปถึง ผลผลิตงวดนี้ดีกว่าคราวก่อน ผมเลยไม่ได้ขยายพื้นที่ปลูก ส่วนสตรอว์เบอร์รีคงออกช้าหน่อย ช่วงนี้อากาศแปรปรวน ผมดูแล้วผลผลิตคงไม่ดีกว่าคราวก่อน”อาทิตย์คีบกระดาษแผ่นเดียวที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหยิบปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อมาวางบนโต๊ะ รายงานผลผลิตของผักและผลไม้ในไร่และช่วงเวลาที่คาดว่าจะส่งเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าของมารดาได้กว่าสิบนาทีที่คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัดนั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และเมื่อลูกชายรายงานผลจบลง เธอก็ถามขึ้น“แกดูแลไร่เองทั้งหมดเลยหรือ”“ก็ใช่สิครับ”อาทิตย์ตอบพลางเลิกคิ้วสงสัย เพราะคิดว่าเรื่องนี้แม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว“นอกจากลุงชื่นและคนงานในไร่ แกมีใครช่วยงานอีกหรือเปล่า”ถามขึ้นเพราะเห็นกระดาษแผ่นเดียวที่ลูกชายเอาติดมา แถมลายมือก็ยังโย้เย้น่าปวดหัว“ไม่มีครับ แต่มันไม่จำเป็นหรอก ผมดูแลไร่ได้ แม่ไม่ต้องหาคนมาช่วยงานผม เพราะผมกลัวว่าจะเข้ามาเกะกะให้เสียงานมากกว่าผมจะได้งาน”ชายหนุ่มรีบปิดทาง เพราะคิดว่าแม่จะวกไปหาเรื่องเดิมๆ นั่นคือส่งสาวๆ มาให้เขาพิจารณาโดยผ่านทางการทำงาน“แกไม่ต้องออกตัวขนาดนั้น ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับแกแล้วเหมือนกัน” คุณนาย
กว่าห้าโมงเย็น รถยนต์คันสีขาวแล่นเข้ามาในเขตไร่กว้างขวางที่จัดสรรพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดไว้อย่างเป็นสัดส่วน เมื่อมองจากถนนดาดคอนกรีตที่รถแล่นผ่านเข้ามาช้าๆ พืชผลที่พร้อมเก็บเกี่ยวหลายแปลงกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้เกิดภาพงดงามอาทิตย์จอดรถตรงที่เดิม จุดที่เคยจอดเมื่อตอนขับรถออกจากไร่ในตอนเที่ยงวันคราวนี้ลุงชื่นที่รอท่ากันอยู่แล้วก็ปรี่มาหา โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายเดินไปเอง พร้อมกับรายงานอย่างกระตือรือร้น“คนงานกำลังขนเคปกูสเบอร์รีขึ้นรถ งวดนี้เราคัดขนาดและตรวจคุณภาพก่อนแพ็กตามที่คุณอั๋นบอกไว้เป๊ะเลย พร้อมส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณนายไม่เกินหกโมงเย็น คุณอั๋นจะดูของก่อนไหมครับ”“ลุงตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วใชไหม”“เรียบร้อยแล้วครับ หลังจากคนงานทำเสร็จ ผมก็เช็กเองอีกรอบ นับจำนวน แยกตามขนาด แล้วจดไว้ในกระดาษแผ่นนี้ครับ”ลุงชื่นรีบยื่นกระดาษแผ่นเดียวให้กับเจ้านาย และเขาก็รับมากวาดสายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะพับเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นทุกครั้งอาทิตย์เงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองโดยรอบ ต่อเมื่อไม่เห็นคนเป้าหมาย
จิณณาล่องลอยอยู่ในความฝัน ท่ามกลางเมฆหมอกสวยงาม...แต่บางสิ่งก็ค้านว่ามันอาจเป็นความจริงไฟร้อนอบอ้าวที่แผดเผาหล่อนมานานกำลังมอดดับลง ร่างกายเริ่มเย็นสบาย สายลมเย็นนั้นไล้ทั่วกาย ช่างให้ความรู้สึกดีจนจิณณาต้องปล่อยเสียงหัวเราะอย่างสุขใจนานทีเดียวกว่าสายลมเย็นนั้นจะหยุดไล้เรือนกาย เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง จิณณาถึงรับรู้ว่าไฟร้อนที่แผดเผากลับมาหาหล่อนอีกแล้ว จิณณาไม่ต้องการ หล่อนอยากหนีไปให้ไกล แต่ตะโกนร้องจนเสียงแห้งก็ไม่มีใครได้ยินเลยน้ำตาแห่งความอาดูรไหลพราก หล่อนไม่อยากกลับไปทรมานอยู่กับความร้อนนั้นอีกแล้วร่างกายก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ จิณณาล่องลอย รู้สึกกายเบาหวิวคล้ายวัตถุไร้น้ำหนัก หล่อนเคลื่อนกายผ่านมวลเมฆสวยงามก้อนแล้วก้อนเล่า ความอบร้อนไม่มาเยือนอีกเลย หญิงสาวครางในลำคออย่างพอใจกระทั่งเคลื่อนเข้าไปอยู่ในมวลอากาศที่เย็นฉ่ำแสนชื่นใจ ร่างกายจึงเคลื่อนลงต่ำ แล้วเอนลงบนผืนหญ้านุ่มดุจพรมเนื้อดีที่ตรงนี้ดีเหลือเกิน เย็นฉ่ำชื่นใจ ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังนุ่มสบายอีกด้วยอาทิตย์ชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับไปมองบนเตียงนอนของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงหัวเ
ไม่มีอะไรน่าง่วงนอนไปกว่าการนั่งฟังคุณนายอรอรพูดโน้มน้าวให้เขาหาผู้หญิงมาทำลูกสักครอกอีกแล้วแค่นึกว่าในแต่ละวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่ควบคุมได้ยากนั้นมาวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในบ้านที่เขาหนีมาสร้างอยู่กลางไร่กว้าง อาทิตย์ก็คิดว่าหายนะเกิดกับเขาแน่นอนแล้วชายหนุ่มลอบถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ดูว่าคุณนายยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมถอยเหมือนกัน ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ“ถ้าแกนึกถึงข้อดีของการมีครอบครัวไม่ออก ก็ลองจินตนาการว่า ถ้าปุบปับแกเป็นอะไรไป สมบัติที่แกหามาได้อย่างฟลุกๆ ตั้งมากมายจะตกเป็นของการกุศล แกจะทนได้เหรอ”นี่เอาทุกทางเลยใช่ไหม กล่อมไม่สำเร็จก็แช่งให้ตายซะดื้อๆ เอากับคุณนายเขาสิ!“แกว่าไง ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะมาเป็นชั่วโมง แกจะไม่หือไม่อือสักคำเลยหรือ”“หิวน้ำไหมแม่”อาทิตย์โพล่งถาม จ้องหน้าแม่นิ่งๆ แววตาบอกว่าจริงจัง ทำเอาคุณนายอรอรถึงกับชะงัก ความจังงังกระแทกเข้าอย่างจัง“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”“ผมถามว่าหิวน้ำไหม หรือว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า จะได้บอกเด็กให้ทำมาให้ แม่ก็รู้ตัวว่าพูดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยก็ต้องหิวบ้างละ”ได้ฟังค
อาทิตย์กลับเข้ามาในบ้านในเวลาเกือบสองทุ่ม กลางโถงกว้างเมื่อตอนกลางวันมีคนงานอยู่พลุกพล่าน หากเวลานี้กลับเงียบสงัดไร้ใครสักคนที่ยังคงอยู่แสงไฟส่องสว่างจากโคมไฟประดับหรูตรงเพดานสูงนั้นทำให้เขามองเห็นรอบตัวได้ชัดเจน สายตาทอดไปยังทิศทางด้านในใกล้กับห้องครัว แล้วจับตามองนิ่ง ‘คนพวกนั้นทำอะไรกัน แล้วนั่นคนงานบ้านแกทุกคนเลยหรือ’แม่ถามขึ้นทันทีเมื่อเขาทำหน้าที่สารถีพาออกจากบ้านในช่วงบ่าย ‘ใช่มั้งครับ’‘ใช่มั้ง? หมายความว่ายังไง แกจำคนงานในบ้านไม่ได้หรือไง แล้วอย่างนี้ปล่อยให้ใครต่อใครเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ งั้นหรือ’‘ไม่ขนาดนั้นหรอกแม่ ถึงจำชื่อไม่ได้แต่ก็พอคุ้นหน้า ใครแปลกหน้าเข้ามาผมก็รู้’‘ถ้าอย่างนั้นพวกที่จับกลุ่มนั่งเจียนใบตองอยู่ในบ้าน แกก็คุ้นหน้าทุกคนสินะ’เขารู้ว่าแม่พยายามเลียบเคียงถามถึงบางคนที่นั่งรวมอยู่ในกลุ่มนั้น เขาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเธอตอนที่แม่พุ่งไปหานั่นละดวงตาคมปรายมองไปทางด้านใน ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ตรงไปหาอย่างเห็นเป้าหมายเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนักๆ สามครั้ง จิณณาผุดลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนเกร็งตัวอยู่นานนับสิบนาทีตั้งแต่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดแล้วโรงรถอยู่ใกล้กับห้องพัก
“ฉันเห็นว่าช่วงนี้เด็กจบใหม่ตกงานกันเยอะ แล้วคิดยังไงถึงไม่ทำงานที่กรุงเทพฯ”“หนูถูกให้ออกจากงานค่ะ บริษัทต้องการลดคนทำงาน หนูไม่มีรายได้ เลยคิดว่ากลับมาตั้งหลักที่นี่ดีกว่า”“เธอหมายถึงตั้งหลักที่บ้านของฉันงั้นหรือ”อาทิตย์เลิกคิ้วถาม จิณณาเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจหล่อนผิด จึงรีบแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ด้วยเสียงรัวเร็ว“ไม่ใช่ค่ะ หนูหมายถึงกลับมาบ้านของหนูที่อยู่จังหวัดนี้ แต่ตอนนี้หนูอยู่บ้านไม่ได้ มีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย หนูเลยต้องขออาศัยอยู่ห้องของป้าแววก่อน ป้าแววบอกว่าให้หนูอยู่ได้ เพราะแกย้ายไปอยู่บ้านพักคนงานกับลูกสาวในไร่แล้ว”“ห้องของป้าแววที่เธอว่า มันก็คือบ้านของฉัน”“หนูทราบค่ะ ระหว่างนี้หนูจะทำงานแลกกับค่าที่พัก...แล้วก็ค่าอาหารด้วยค่ะ”“เธอจนตรอกขนาดนั้นเลยหรือ”‘จนตรอก’ เขาพูดออกมาอย่างเรียบเรื่อย แต่ทำให้คนฟังคอแข็งจิณณายอมรับว่าตัวเองไม่มีทางไป หล่อนตกงาน ไม่มีรายได้ จึงอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ หล่อนดิ้นรนจนสุดทางแล้ว แต่ก็มองหาทางที่ดีขึ้นไม่ได้ ชีวิตเหมือนจะจมดิ่งลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินหน้าก็ยิ่งมืดมน สุดท้ายจึงตัดสินใจกลับบ้าน...แต่ก็พบว่าบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กน
อาทิตย์เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาติดต่อไปหาคนที่คิดว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบในความหงุดหงิดที่ตัวเองกำลังเผชิญ และเมื่อปลายสายตอบรับ เขาก็ส่งคำพูดไปทันที“มารับลูกศิษย์เธอกลับไปด้วย”“นายพูดเรื่องอะไร รับใคร แล้วรับที่ไหน”“อย่ามาทำไก๋ ยายขนุนนั่นยังอยู่ที่บ้านฉัน วันที่เด็กคนนี้เข้ามาในบ้านของฉัน เธอโทร.มาบอกฉัน เธอรู้ก่อนที่ฉันจะรู้เสียอีก แล้วฉันก็เพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นเด็กคนนี้อยู่กับเธอตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็กนักเรียน ฉันจำได้ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าเธอไม่รู้เห็นเป็นใจให้เด็กหอบผ้าเข้ามาปักหลักในบ้านของฉัน แถมแม่ตัวดีก็ไม่มีกำหนดออกไปด้วย”“นายพูดถึงขนุนเหรอ แล้วขนุนเป็นใคร” ปลายสายทวนเสียงงุนงง อาทิตย์หลุดเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างไม่ได้ดังใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้อธิบาย อีกฝ่ายก็ถึงบางอ้อขึ้นเสียก่อน“ฉันนึกออกแล้วละ แหม! เด็กชื่อจิณณา ชื่อออกจะเพราะ แต่นายเรียกขนุน ฉันเลยงงๆ ไป” พอพูดจบ คนที่อาทิตย์ต้องการให้ช่วยเหลือก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง ดูว่าเจ้าหล่อนจะไม่รับรู้ถึงความทุกข์ร้อนของเขาจริงๆ “เด็กนั่นบอกว่ารองาน แต่ฉันมองปราดเดียวก็รู้ว่าคงตกง
“อะไรนะ! เลิกกันแล้วเหรอ เลิกกันทำไม แล้วเลิกตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”ยอมรับว่าตกใจและคาดไม่ถึง เพราะเท่าที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ มันก็ไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ ว่าเรื่องราวจะจบลงในรูปแบบนี้“หมดความปรารถนาในกันและกัน แรงดึงดูดระหว่างกันไม่เหลือแล้ว”ถ้อยคำสวยงามของพิจิกา อาทิตย์คงไม่คิดจะติดใจ ถ้าน้ำเสียงนั้นไม่เหมือนการท่องจำมาบอก“เธอหรือนายกรณ์ที่รู้สึกอย่างนี้”“กรณ์บอกฉัน”อาทิตย์แทบพ่นลมหายใจเมื่อได้ยินคำตอบคิดอยู่แล้วเชียว...อย่างยายพริกนะหรือที่จะรู้ตัวเองและเป็นฝ่ายบอกนายกรณ์ก่อน“แล้วเธอโอเคไหม”“ตอนแรกฉันก็งง ไม่รู้ว่าเวลาถูกบอกเลิกต้องทำตัวยังไง มันมึนๆ ตื้อๆ ไปหมด ฉันสอนเด็กไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนนายนิสัยแย่มาก บอกเลิกฉันตอนเช้าในวันที่ฉันมีสอนเต็มวัน สรุปว่าวันนั้นฉันไม่มีสมาธิ ไม่รู้ว่านักศึกษาจะคิดยังไงกันบ้าง”พอได้ฟังเรื่องราวของแม่คุณ อาทิตย์ก็เป็นฝ่ายมึนตื้อขึ้นมาบ้าง“เดี๋ยวนะ เธอถูกบอกเลิก แล้ว...เธอไม่เสียใจเหรอ”“ฉันบอกแล้วไงว่าทำตัวไม่ถูก ตอนนั้นฉันงงและมึนไปหมด”“แล้วทำไมไม่โทร.มาล่ะ ตกลงเลิกกันเมื่อไหร่”“นั่นสินะ ทำไมฉันไม่โทร.หานาย” พิจิ
จิณณาล่องลอยอยู่ในความฝัน ท่ามกลางเมฆหมอกสวยงาม...แต่บางสิ่งก็ค้านว่ามันอาจเป็นความจริงไฟร้อนอบอ้าวที่แผดเผาหล่อนมานานกำลังมอดดับลง ร่างกายเริ่มเย็นสบาย สายลมเย็นนั้นไล้ทั่วกาย ช่างให้ความรู้สึกดีจนจิณณาต้องปล่อยเสียงหัวเราะอย่างสุขใจนานทีเดียวกว่าสายลมเย็นนั้นจะหยุดไล้เรือนกาย เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง จิณณาถึงรับรู้ว่าไฟร้อนที่แผดเผากลับมาหาหล่อนอีกแล้ว จิณณาไม่ต้องการ หล่อนอยากหนีไปให้ไกล แต่ตะโกนร้องจนเสียงแห้งก็ไม่มีใครได้ยินเลยน้ำตาแห่งความอาดูรไหลพราก หล่อนไม่อยากกลับไปทรมานอยู่กับความร้อนนั้นอีกแล้วร่างกายก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ จิณณาล่องลอย รู้สึกกายเบาหวิวคล้ายวัตถุไร้น้ำหนัก หล่อนเคลื่อนกายผ่านมวลเมฆสวยงามก้อนแล้วก้อนเล่า ความอบร้อนไม่มาเยือนอีกเลย หญิงสาวครางในลำคออย่างพอใจกระทั่งเคลื่อนเข้าไปอยู่ในมวลอากาศที่เย็นฉ่ำแสนชื่นใจ ร่างกายจึงเคลื่อนลงต่ำ แล้วเอนลงบนผืนหญ้านุ่มดุจพรมเนื้อดีที่ตรงนี้ดีเหลือเกิน เย็นฉ่ำชื่นใจ ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังนุ่มสบายอีกด้วยอาทิตย์ชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับไปมองบนเตียงนอนของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงหัวเ
กว่าห้าโมงเย็น รถยนต์คันสีขาวแล่นเข้ามาในเขตไร่กว้างขวางที่จัดสรรพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดไว้อย่างเป็นสัดส่วน เมื่อมองจากถนนดาดคอนกรีตที่รถแล่นผ่านเข้ามาช้าๆ พืชผลที่พร้อมเก็บเกี่ยวหลายแปลงกำลังต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้เกิดภาพงดงามอาทิตย์จอดรถตรงที่เดิม จุดที่เคยจอดเมื่อตอนขับรถออกจากไร่ในตอนเที่ยงวันคราวนี้ลุงชื่นที่รอท่ากันอยู่แล้วก็ปรี่มาหา โดยไม่ต้องรอให้เจ้านายเดินไปเอง พร้อมกับรายงานอย่างกระตือรือร้น“คนงานกำลังขนเคปกูสเบอร์รีขึ้นรถ งวดนี้เราคัดขนาดและตรวจคุณภาพก่อนแพ็กตามที่คุณอั๋นบอกไว้เป๊ะเลย พร้อมส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณนายไม่เกินหกโมงเย็น คุณอั๋นจะดูของก่อนไหมครับ”“ลุงตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วใชไหม”“เรียบร้อยแล้วครับ หลังจากคนงานทำเสร็จ ผมก็เช็กเองอีกรอบ นับจำนวน แยกตามขนาด แล้วจดไว้ในกระดาษแผ่นนี้ครับ”ลุงชื่นรีบยื่นกระดาษแผ่นเดียวให้กับเจ้านาย และเขาก็รับมากวาดสายตาดูคร่าวๆ ก่อนจะพับเก็บในกระเป๋ากางเกงเช่นทุกครั้งอาทิตย์เงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองโดยรอบ ต่อเมื่อไม่เห็นคนเป้าหมาย
อาทิตย์คีบกระดาษแผ่นเดียวที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหยิบปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อมาวางบนโต๊ะ รายงานผลผลิตของผักและผลไม้ในไร่และช่วงเวลาที่คาดว่าจะส่งเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าของมารดาได้กว่าสิบนาทีที่คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัดนั่งฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และเมื่อลูกชายรายงานผลจบลง เธอก็ถามขึ้น“แกดูแลไร่เองทั้งหมดเลยหรือ”“ก็ใช่สิครับ”อาทิตย์ตอบพลางเลิกคิ้วสงสัย เพราะคิดว่าเรื่องนี้แม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว“นอกจากลุงชื่นและคนงานในไร่ แกมีใครช่วยงานอีกหรือเปล่า”ถามขึ้นเพราะเห็นกระดาษแผ่นเดียวที่ลูกชายเอาติดมา แถมลายมือก็ยังโย้เย้น่าปวดหัว“ไม่มีครับ แต่มันไม่จำเป็นหรอก ผมดูแลไร่ได้ แม่ไม่ต้องหาคนมาช่วยงานผม เพราะผมกลัวว่าจะเข้ามาเกะกะให้เสียงานมากกว่าผมจะได้งาน”ชายหนุ่มรีบปิดทาง เพราะคิดว่าแม่จะวกไปหาเรื่องเดิมๆ นั่นคือส่งสาวๆ มาให้เขาพิจารณาโดยผ่านทางการทำงาน“แกไม่ต้องออกตัวขนาดนั้น ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับแกแล้วเหมือนกัน” คุณนาย
แค่รถปอร์เช่คันสีขาวเลี้ยวออกจากสนามไดร์ฟกอล์ฟสู่ถนนสายหลักระหว่างเมืองมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ต่อเมื่อรับสาย ถ้อยคำจากคนปลายสายก็ส่งเข้ามา“แกจะมาหาฉันใช่ไหม”“ใช่ครับ ผมกำลังไปที่สำนักงาน แม่อยู่ที่ไหนแล้วครับตอนนี้”อาคารสำนักงานอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นแหล่งขายผักและผลไม้ปลอดสารพิษรวมอยู่ด้วย“ฉันกลับมาบ้านแล้ว วันนี้ออกข้างนอกทั้งวัน มีทั้งงานแต่งงาน งานเปิดร้านของลูกหลานผู้ใหญ่ในจังหวัด จนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เข้าสำนักงานไม่ไหวแล้ว คนแก่ก็อย่างนี้แหละ สังขารไม่แน่นอน นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำท่าจะทรุด”“แม่ยังอยู่อีกนานครับ แล้วร่ายมาขนาดนี้ ต้องการอะไรครับ”อาทิตย์ขัดคอเสียงเรียบแล้วถามกลับ จนได้ยินเสียงบ่นลอดไรฟันอยู่สองสามประโยคจากผู้ให้กำเนิด ซึ่งล้วนแต่ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมา“ผมว่าถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้ก็ต้องซ้อมบทแม่ผัวใจดีมีเมตตาไว้ได้แล้วนะครับ เผื่อจับพลัดจับผลูได้มาแบบไม่ทันตั้งตัว ลูกสะใภ้จะได้ไม่เผ่นหนี
“เพ้อเจ้อน่า”เสียงพึมพำหลุดจากเรียวปากหยัก โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเขาบอกตัวเองหรือบอกเพื่อนที่ยังเซ้าซี้ถาม“นายแค่สนุกกับงาน แต่สักพักมันจะเหงา อยากมีคนดูแล”อาทิตย์พยายามห้ามความคิดไม่ให้จดจ่อถึงผู้หญิงคนนั้น แต่ดูว่าช่างยากเหลือเกิน จนต้องเสหยิบแก้วเบียร์มาจิบอีกรอบด้วยอยากกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อคิดว่าปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว จึงโต้กลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเดิม“ไม่ต้องมากล่อมฉัน เพราะนายอีกคนนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้แม่มาเร่งฉันให้แต่งงาน”ปราชญ์หัวเราะร่วน เขาเข้าใจถึงความนัยในคำพูดนั้นดี เพราะชีวิตส่วนตัวของเขาถูกบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนนำไปเปรียบเทียบ แล้วเร่งให้แต่งงานกันหลายคนแล้วสำหรับเขาที่แต่งงานตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปีกับเพื่อนหญิงที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม จนตอนนี้ก็มีลูกชายหญิงรวมสามคนแล้ว“ก็ฉันคบกับป่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียน รวมเวลาก็นับสิบปี ขืนให้รอนานกว่านี้ แม่ยายจะได้ยกลูกสาวให้คนอื่นปะไร”“นายเลยมีลูกทันใช้อยู่คนเดียว”“ถ้านายสตาร
ตะวันคงบ่ายคล้อยแล้ว ไม่รู้ว่าแสงแดดข้างนอกยังแผดจ้าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับในห้องพักนี้ จิณณารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในตู้อบ“ร้อนจังเลย”เสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนยาวที่หวังจะให้กันแดดยามทำงานในไร่ เวลานี้มันรัดรึงจนแทบหายใจไม่ออกเรียวนิ้วที่เริ่มหยาบกร้านไต่ขึ้นตามสาปเสื้อ ไล่คลำหากระดุมเสื้อเม็ดบนสุดแล้วปลดออกโดยใช้เวลาเกือบนาที ก่อนจะเลื่อนมือลงไปหากระดุมเม็ดถัดไปเสียงครางอือในลำคออย่างพอใจเมื่อรู้สึกสบายตัวมากขึ้นทั้งที่ดวงตายังหลับพริ้ม จนเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสะดวกสบายพอ มือเรียวขาวสะอาดจึงหล่นมาวางขนาบข้างลำตัวเรือนร่างอวบอิ่มทอดนิ่งอยู่บนเตียงนอนขนาดสามฟุตที่วางชิดผนังห้อง โดยมีฟูกนอนบางๆ รองรับ พัดลมตัวเดียวตรงมุมห้องยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ จิณณารู้สึกผ่อนคลายจนปล่อยตัวเองให้หลับใหล เพราะไม่อาจทนกับความเมื่อยล้าจากการกรำงานในไร่มาตลอดทั้งสัปดาห์ได้อีกอาทิตย์จิบเบียร์เย็นพลางทอดมองน้องชายและหญิงสาวร่างโปร่งบางที่กำลังไดร์ฟกอล์ฟอยู่เบื้องหน้าไกลๆ จนเมื่อรู้สึกถึงแรงตบตรงหัวไหล่จนเขาถึงก
ใกล้เที่ยงวัน แม้สายลมหนาวจะพัดมาเป็นระลอก แต่จิณณาก็รู้สึกแสบร้อนผิวหน้าเพราะแสงแดดที่แผดจ้า หล่อนคลี่ผ้าคลุมไหล่ผืนสวยขึ้นมาคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแสงแดด แล้วก้มหน้าทำงานต่อ พลันก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของหัวหน้าคนงานดังอยู่ใกล้ๆ“หน้าแดงยังกับกุ้งต้ม ไปพักที่ร่มก่อนเถอะหนูจิณ ช่วงบ่ายค่อยมาทำต่อ”“ขอบคุณค่ะลุงชื่น แต่จิณจะตัดใบแปลงนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยพัก ดูของคนอื่นสิ เสร็จนำหน้าจิณไปอีกแล้ว”จิณณาบอกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากต้นสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกเรียงรายบนแปลง พลางใช้กรรไกรตัดใบแห้งบริเวณโคนต้นออกเพื่อรอรับผลผลิตที่จะตามมา“งั้นก็ทำไปเถอะ แต่ไม่ต้องรีบ เอาที่เราทำไหว คุณอั๋นไม่ได้เคี่ยวเข็ญกับพวกเรามาก คนงานในไร่นี้ นอกจากพวกที่เรี่ยวแรงยังดีก็ยังมีพวกง่อนแง่นอย่างยายป้อมและลุงผินอยู่ด้วย พวกนี้ก็ทำไปพักไปตามที่สังขารอำนวย”จิณณาเงยหน้าขึ้นมามองโดยรอบอย่างสังเกตตาม คนงานในไร่มีหลายวัยจริงตามที่ลุงชื่นพูด นอกจากคนหนุ่มสาวแล้วยังมีคนแก่ชรา กลุ่มหลังก็ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย...จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้“แล้วคุณอาทิตย์ไม่ขาดทุนแย่หรือจ๊ะ ถ้าเราทำงานกันแบบนี้ มันจะไม่คุ้มเงินค่าจ้างเอาสิ แล
“ฉันแค่ตลกเธอ ทำไมเธอต้องพูดดิฉันกับฉันด้วย” แม้เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนได้สงสัยนาน แต่จิณณาก็ไม่คิดจะขอบคุณเขาหรอกนะ“อ้าว! ก็คุณไม่ให้ดิฉันแทนตัวเองว่าหนู”“แล้วตอนเธอคุยกับคนอื่น เธอแทนตัวเองว่าอะไร”“ก็...หนู”“เพื่อนเธอล่ะ”“แต่คุณไม่ใช่เพื่อนดิฉันนี่คะ”“แน่นอน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่รับเธอเป็นเพื่อนของฉัน”“ค่ะ” หญิงสาวเผลอยู่ปาก คนระดับอาทิตย์จะมาคบเธอเป็นเพื่อนได้อย่างไร แค่เขามองเห็นเธอเป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศก็ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว“เมื่อกี้เธอรับคำว่าค่ะ...ค่ะ? คืออะไร”“ก็รับทราบว่าไม่ใช่เพื่อนค่ะ”อาทิตย์มองดวงหน้าสวยสุกปลั่งด้วยไอแดด มองเพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดนั้นไม่ได้แฝงการประชด หากก็ไม่พบอารมณ์อื่นใดในแววตาของหล่อน นอกจากการคาดคะเนและรอลุ้นจนชายหนุ่มอดที่จะใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายจึงบอกออกมา“ถ้าเธออยากทำงานในไร่ก็ตามใจ แต่ไม่ต้องย้ายไปบ้านพักคนงาน” อาทิตย์เว้นจังหวะ มองดวงหน้าของหญิงสาวที่ค่อยๆ แย้มเบิกอย่างดีใจใช่ นั่นละ นึกไว้อยู่แล้วว่าจะได้เห็น“บ้านพักคนงานไม่มีหลังที่ว่างสำหรับเธอ แล้วส่วนใหญ่พวกเขาอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นผัว
“หนูรู้สึกได้เอง” ก็แค่ตอนที่จิณณาช่วยขนอาหารออกไปให้คนงานได้รับประทานตอนพักเที่ยง แล้วได้ยินพวกเขาถามกันว่ามื้อนี้เป็นฝีมือของใคร พอรู้ว่าไม่ใช่ของหล่อน ต่างก็หัวเราะดีใจกันยกใหญ่แต่ก็ยังดีนะ ที่พอเห็นว่าหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อุบอิบบอกขอโทษ ก่อนจะพากันเดินหนีหลบหน้าหล่อนไปจนหมดจิณณาถอนหายใจยาว แล้วระบายต่ออย่างได้โอกาส“หนูทำงานไม่เป็น ทั้งที่เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนสักหน่อย”“ก็หนูจิณเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำงานกันล่ะ ตั้งใจเรียนจนจบก็ดีแล้วนี่”“หนูเรียนจบแล้วทำงาน แต่หนูก็ถูกปลดจากงาน แสดงว่าหนูเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานครัว หรืองานตามสายที่เรียนมา”“โธ่เอ๊ย! ชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวหนูก็เจอทางที่ถนัดเอง”“แต่ปากท้องมันรอนานไม่ได้สิจ๊ะ”“แล้วจะเร่งรีบไปทำไม อยู่ช่วยงานที่นี่ไปเรื่อยๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านแม่อีกนะ ความโชคดีไม่ได้เป็นของเราทุกคราว”สีหน้าของจิณณาสลดลง หล่อนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มด้านซ้ายภาพความเกรี้ยวกราดของแม่ในวันนั้นผุดขึ้นมา...วันที่จิณณากลับมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหวังจะตั้งหลักอยู่กั