หลังจากเรียกเด็กในบ้านให้พาจิณณาไปพักผ่อนแล้ว พอคล้อยหลังจิณณาไป คุณนายอรอรก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนจมอยู่กับความคิด ในขณะที่ลูกชายคนรองก็ยังนั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ไม่ยอมลุกไปไหนเช่นกัน
“แม่คิดว่าซ้ออายุสิบเจ็ดสิบแปดได้ยังไง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและเคยทำงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว”ข้อมูลที่ได้ยินนั้นทำให้เศรษฐีนีใหญ่เบิกตาโต แล้วหันขวับไปทางคนพูด“อ้าว! แล้วทำไมแกเพิ่งบอกฉัน ฉันอุตส่าห์ทำใจให้ยอมรับอยู่ตั้งนานว่าพี่แกไปฉวยเด็กมาทำเมีย เห็นหน้าตายังกับเพิ่งจบมัธยม แต่กิริยาท่าทางก็น่าเอ็นดู ผิดจากที่ฉันนึกภาพเอาไว้มาก แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเป็นเด็กของหนูพิจิกาก็ต้องน่ารักไม่ต่างกัน ไม่งั้นจะให้ตามหลังกันได้ยังไง”“แม่ก็ยังเอ็นดูหนูพิจิกาของแม่ไม่เลิกนะ อย่าเผลอเอาเขาใส่พานให้นายอั๋นเข้าก็แล้วกัน จำไว้ว่าตอนนี้นายอั๋นมีเมียเรียบร้อยแล้ว”“เอาน่า ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แกก็บอกเองนี่ว่าพี่แกย้ำนักย้ำหนาว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่เคยคบหากัน”“นายอั๋นยืนยันตามนั้น ส่วนอีกคนผมไม่รู้ความรู้สึกเขาหรอก สนิทกันมเสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาในหู จิณณาคิดว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะหล่อนพยายามปรือตาเปิด แต่รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งเหลือเกิน ครั้นจะปล่อยตัวเองให้หลับต่อ จิตใต้สำนึกก็บอกว่าหล่อนนอนหลับมากเกินไปแล้ว ควรจะตื่นขึ้นได้สักทีหญิงสาวพยายามฝืนตัวเอง ค่อยๆ ปรือเปิดดวงตาขึ้นอีกรอบ กระทั่งทำได้สำเร็จ เพดานห้องสีขาวที่มีดวงไฟงดงามหรูหราปรากฏขึ้นในสายตา แล้วก็จดจำได้ต่อมาว่าหล่อนอยู่ที่ไหน“ตื่นแล้วหรือหนูจิณ ดูสิ ตัวก็ไม่ร้อน แต่นอนหลับนิ่งไปเลย”เสียงคุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนตรงหน้าผากทำให้จิณณาเบือนหน้าไปมอง แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็ชันกายขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย“อาจารย์พริก!”หล่อนตกใจ ไม่นึกว่าจะเห็นพิจิกาในห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของอาทิตย์ เพราะจิณณายังไม่มั่นใจในสิทธิ์ของตัวเองนัก“ทำไมทำหน้าตกใจ หนูจิณไม่ดีใจหรือที่เห็นฉัน ชักจะน้อยใจแล้วนะ”“ไม่ค่ะ หนูจิณ เอ่อ...นึกไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์”“โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะหนูน้อย”พิจิ
ไม่มีอะไรน่าง่วงนอนไปกว่าการนั่งฟังคุณนายอรอรพูดโน้มน้าวให้เขาหาผู้หญิงมาทำลูกสักครอกอีกแล้วแค่นึกว่าในแต่ละวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่ควบคุมได้ยากนั้นมาวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในบ้านที่เขาหนีมาสร้างอยู่กลางไร่กว้าง อาทิตย์ก็คิดว่าหายนะเกิดกับเขาแน่นอนแล้วชายหนุ่มลอบถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ดูว่าคุณนายยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมถอยเหมือนกัน ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ“ถ้าแกนึกถึงข้อดีของการมีครอบครัวไม่ออก ก็ลองจินตนาการว่า ถ้าปุบปับแกเป็นอะไรไป สมบัติที่แกหามาได้อย่างฟลุกๆ ตั้งมากมายจะตกเป็นของการกุศล แกจะทนได้เหรอ”นี่เอาทุกทางเลยใช่ไหม กล่อมไม่สำเร็จก็แช่งให้ตายซะดื้อๆ เอากับคุณนายเขาสิ!“แกว่าไง ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะมาเป็นชั่วโมง แกจะไม่หือไม่อือสักคำเลยหรือ”“หิวน้ำไหมแม่”อาทิตย์โพล่งถาม จ้องหน้าแม่นิ่งๆ แววตาบอกว่าจริงจัง ทำเอาคุณนายอรอรถึงกับชะงัก ความจังงังกระแทกเข้าอย่างจัง“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”“ผมถามว่าหิวน้ำไหม หรือว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า จะได้บอกเด็กให้ทำมาให้ แม่ก็รู้ตัวว่าพูดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยก็ต้องหิวบ้างละ”ได้ฟังค
อาทิตย์กลับเข้ามาในบ้านในเวลาเกือบสองทุ่ม กลางโถงกว้างเมื่อตอนกลางวันมีคนงานอยู่พลุกพล่าน หากเวลานี้กลับเงียบสงัดไร้ใครสักคนที่ยังคงอยู่แสงไฟส่องสว่างจากโคมไฟประดับหรูตรงเพดานสูงนั้นทำให้เขามองเห็นรอบตัวได้ชัดเจน สายตาทอดไปยังทิศทางด้านในใกล้กับห้องครัว แล้วจับตามองนิ่ง ‘คนพวกนั้นทำอะไรกัน แล้วนั่นคนงานบ้านแกทุกคนเลยหรือ’แม่ถามขึ้นทันทีเมื่อเขาทำหน้าที่สารถีพาออกจากบ้านในช่วงบ่าย ‘ใช่มั้งครับ’‘ใช่มั้ง? หมายความว่ายังไง แกจำคนงานในบ้านไม่ได้หรือไง แล้วอย่างนี้ปล่อยให้ใครต่อใครเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ งั้นหรือ’‘ไม่ขนาดนั้นหรอกแม่ ถึงจำชื่อไม่ได้แต่ก็พอคุ้นหน้า ใครแปลกหน้าเข้ามาผมก็รู้’‘ถ้าอย่างนั้นพวกที่จับกลุ่มนั่งเจียนใบตองอยู่ในบ้าน แกก็คุ้นหน้าทุกคนสินะ’เขารู้ว่าแม่พยายามเลียบเคียงถามถึงบางคนที่นั่งรวมอยู่ในกลุ่มนั้น เขาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเธอตอนที่แม่พุ่งไปหานั่นละดวงตาคมปรายมองไปทางด้านใน ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ตรงไปหาอย่างเห็นเป้าหมายเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนักๆ สามครั้ง จิณณาผุดลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนเกร็งตัวอยู่นานนับสิบนาทีตั้งแต่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดแล้วโรงรถอยู่ใกล้กับห้องพัก
“ฉันเห็นว่าช่วงนี้เด็กจบใหม่ตกงานกันเยอะ แล้วคิดยังไงถึงไม่ทำงานที่กรุงเทพฯ”“หนูถูกให้ออกจากงานค่ะ บริษัทต้องการลดคนทำงาน หนูไม่มีรายได้ เลยคิดว่ากลับมาตั้งหลักที่นี่ดีกว่า”“เธอหมายถึงตั้งหลักที่บ้านของฉันงั้นหรือ”อาทิตย์เลิกคิ้วถาม จิณณาเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจหล่อนผิด จึงรีบแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ด้วยเสียงรัวเร็ว“ไม่ใช่ค่ะ หนูหมายถึงกลับมาบ้านของหนูที่อยู่จังหวัดนี้ แต่ตอนนี้หนูอยู่บ้านไม่ได้ มีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย หนูเลยต้องขออาศัยอยู่ห้องของป้าแววก่อน ป้าแววบอกว่าให้หนูอยู่ได้ เพราะแกย้ายไปอยู่บ้านพักคนงานกับลูกสาวในไร่แล้ว”“ห้องของป้าแววที่เธอว่า มันก็คือบ้านของฉัน”“หนูทราบค่ะ ระหว่างนี้หนูจะทำงานแลกกับค่าที่พัก...แล้วก็ค่าอาหารด้วยค่ะ”“เธอจนตรอกขนาดนั้นเลยหรือ”‘จนตรอก’ เขาพูดออกมาอย่างเรียบเรื่อย แต่ทำให้คนฟังคอแข็งจิณณายอมรับว่าตัวเองไม่มีทางไป หล่อนตกงาน ไม่มีรายได้ จึงอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ หล่อนดิ้นรนจนสุดทางแล้ว แต่ก็มองหาทางที่ดีขึ้นไม่ได้ ชีวิตเหมือนจะจมดิ่งลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินหน้าก็ยิ่งมืดมน สุดท้ายจึงตัดสินใจกลับบ้าน...แต่ก็พบว่าบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กน
อาทิตย์เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาติดต่อไปหาคนที่คิดว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบในความหงุดหงิดที่ตัวเองกำลังเผชิญ และเมื่อปลายสายตอบรับ เขาก็ส่งคำพูดไปทันที“มารับลูกศิษย์เธอกลับไปด้วย”“นายพูดเรื่องอะไร รับใคร แล้วรับที่ไหน”“อย่ามาทำไก๋ ยายขนุนนั่นยังอยู่ที่บ้านฉัน วันที่เด็กคนนี้เข้ามาในบ้านของฉัน เธอโทร.มาบอกฉัน เธอรู้ก่อนที่ฉันจะรู้เสียอีก แล้วฉันก็เพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นเด็กคนนี้อยู่กับเธอตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็กนักเรียน ฉันจำได้ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าเธอไม่รู้เห็นเป็นใจให้เด็กหอบผ้าเข้ามาปักหลักในบ้านของฉัน แถมแม่ตัวดีก็ไม่มีกำหนดออกไปด้วย”“นายพูดถึงขนุนเหรอ แล้วขนุนเป็นใคร” ปลายสายทวนเสียงงุนงง อาทิตย์หลุดเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างไม่ได้ดังใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้อธิบาย อีกฝ่ายก็ถึงบางอ้อขึ้นเสียก่อน“ฉันนึกออกแล้วละ แหม! เด็กชื่อจิณณา ชื่อออกจะเพราะ แต่นายเรียกขนุน ฉันเลยงงๆ ไป” พอพูดจบ คนที่อาทิตย์ต้องการให้ช่วยเหลือก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง ดูว่าเจ้าหล่อนจะไม่รับรู้ถึงความทุกข์ร้อนของเขาจริงๆ “เด็กนั่นบอกว่ารองาน แต่ฉันมองปราดเดียวก็รู้ว่าคงตกง
“อะไรนะ! เลิกกันแล้วเหรอ เลิกกันทำไม แล้วเลิกตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”ยอมรับว่าตกใจและคาดไม่ถึง เพราะเท่าที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ มันก็ไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ ว่าเรื่องราวจะจบลงในรูปแบบนี้“หมดความปรารถนาในกันและกัน แรงดึงดูดระหว่างกันไม่เหลือแล้ว”ถ้อยคำสวยงามของพิจิกา อาทิตย์คงไม่คิดจะติดใจ ถ้าน้ำเสียงนั้นไม่เหมือนการท่องจำมาบอก“เธอหรือนายกรณ์ที่รู้สึกอย่างนี้”“กรณ์บอกฉัน”อาทิตย์แทบพ่นลมหายใจเมื่อได้ยินคำตอบคิดอยู่แล้วเชียว...อย่างยายพริกนะหรือที่จะรู้ตัวเองและเป็นฝ่ายบอกนายกรณ์ก่อน“แล้วเธอโอเคไหม”“ตอนแรกฉันก็งง ไม่รู้ว่าเวลาถูกบอกเลิกต้องทำตัวยังไง มันมึนๆ ตื้อๆ ไปหมด ฉันสอนเด็กไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนนายนิสัยแย่มาก บอกเลิกฉันตอนเช้าในวันที่ฉันมีสอนเต็มวัน สรุปว่าวันนั้นฉันไม่มีสมาธิ ไม่รู้ว่านักศึกษาจะคิดยังไงกันบ้าง”พอได้ฟังเรื่องราวของแม่คุณ อาทิตย์ก็เป็นฝ่ายมึนตื้อขึ้นมาบ้าง“เดี๋ยวนะ เธอถูกบอกเลิก แล้ว...เธอไม่เสียใจเหรอ”“ฉันบอกแล้วไงว่าทำตัวไม่ถูก ตอนนั้นฉันงงและมึนไปหมด”“แล้วทำไมไม่โทร.มาล่ะ ตกลงเลิกกันเมื่อไหร่”“นั่นสินะ ทำไมฉันไม่โทร.หานาย” พิจิ
“หนูรู้สึกได้เอง” ก็แค่ตอนที่จิณณาช่วยขนอาหารออกไปให้คนงานได้รับประทานตอนพักเที่ยง แล้วได้ยินพวกเขาถามกันว่ามื้อนี้เป็นฝีมือของใคร พอรู้ว่าไม่ใช่ของหล่อน ต่างก็หัวเราะดีใจกันยกใหญ่แต่ก็ยังดีนะ ที่พอเห็นว่าหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อุบอิบบอกขอโทษ ก่อนจะพากันเดินหนีหลบหน้าหล่อนไปจนหมดจิณณาถอนหายใจยาว แล้วระบายต่ออย่างได้โอกาส“หนูทำงานไม่เป็น ทั้งที่เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนสักหน่อย”“ก็หนูจิณเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำงานกันล่ะ ตั้งใจเรียนจนจบก็ดีแล้วนี่”“หนูเรียนจบแล้วทำงาน แต่หนูก็ถูกปลดจากงาน แสดงว่าหนูเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานครัว หรืองานตามสายที่เรียนมา”“โธ่เอ๊ย! ชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวหนูก็เจอทางที่ถนัดเอง”“แต่ปากท้องมันรอนานไม่ได้สิจ๊ะ”“แล้วจะเร่งรีบไปทำไม อยู่ช่วยงานที่นี่ไปเรื่อยๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านแม่อีกนะ ความโชคดีไม่ได้เป็นของเราทุกคราว”สีหน้าของจิณณาสลดลง หล่อนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มด้านซ้ายภาพความเกรี้ยวกราดของแม่ในวันนั้นผุดขึ้นมา...วันที่จิณณากลับมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหวังจะตั้งหลักอยู่กั
“ฉันแค่ตลกเธอ ทำไมเธอต้องพูดดิฉันกับฉันด้วย” แม้เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนได้สงสัยนาน แต่จิณณาก็ไม่คิดจะขอบคุณเขาหรอกนะ“อ้าว! ก็คุณไม่ให้ดิฉันแทนตัวเองว่าหนู”“แล้วตอนเธอคุยกับคนอื่น เธอแทนตัวเองว่าอะไร”“ก็...หนู”“เพื่อนเธอล่ะ”“แต่คุณไม่ใช่เพื่อนดิฉันนี่คะ”“แน่นอน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่รับเธอเป็นเพื่อนของฉัน”“ค่ะ” หญิงสาวเผลอยู่ปาก คนระดับอาทิตย์จะมาคบเธอเป็นเพื่อนได้อย่างไร แค่เขามองเห็นเธอเป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศก็ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว“เมื่อกี้เธอรับคำว่าค่ะ...ค่ะ? คืออะไร”“ก็รับทราบว่าไม่ใช่เพื่อนค่ะ”อาทิตย์มองดวงหน้าสวยสุกปลั่งด้วยไอแดด มองเพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดนั้นไม่ได้แฝงการประชด หากก็ไม่พบอารมณ์อื่นใดในแววตาของหล่อน นอกจากการคาดคะเนและรอลุ้นจนชายหนุ่มอดที่จะใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายจึงบอกออกมา“ถ้าเธออยากทำงานในไร่ก็ตามใจ แต่ไม่ต้องย้ายไปบ้านพักคนงาน” อาทิตย์เว้นจังหวะ มองดวงหน้าของหญิงสาวที่ค่อยๆ แย้มเบิกอย่างดีใจใช่ นั่นละ นึกไว้อยู่แล้วว่าจะได้เห็น“บ้านพักคนงานไม่มีหลังที่ว่างสำหรับเธอ แล้วส่วนใหญ่พวกเขาอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นผัว
เสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาในหู จิณณาคิดว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะหล่อนพยายามปรือตาเปิด แต่รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งเหลือเกิน ครั้นจะปล่อยตัวเองให้หลับต่อ จิตใต้สำนึกก็บอกว่าหล่อนนอนหลับมากเกินไปแล้ว ควรจะตื่นขึ้นได้สักทีหญิงสาวพยายามฝืนตัวเอง ค่อยๆ ปรือเปิดดวงตาขึ้นอีกรอบ กระทั่งทำได้สำเร็จ เพดานห้องสีขาวที่มีดวงไฟงดงามหรูหราปรากฏขึ้นในสายตา แล้วก็จดจำได้ต่อมาว่าหล่อนอยู่ที่ไหน“ตื่นแล้วหรือหนูจิณ ดูสิ ตัวก็ไม่ร้อน แต่นอนหลับนิ่งไปเลย”เสียงคุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนตรงหน้าผากทำให้จิณณาเบือนหน้าไปมอง แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็ชันกายขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย“อาจารย์พริก!”หล่อนตกใจ ไม่นึกว่าจะเห็นพิจิกาในห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของอาทิตย์ เพราะจิณณายังไม่มั่นใจในสิทธิ์ของตัวเองนัก“ทำไมทำหน้าตกใจ หนูจิณไม่ดีใจหรือที่เห็นฉัน ชักจะน้อยใจแล้วนะ”“ไม่ค่ะ หนูจิณ เอ่อ...นึกไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์”“โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะหนูน้อย”พิจิ
หลังจากเรียกเด็กในบ้านให้พาจิณณาไปพักผ่อนแล้ว พอคล้อยหลังจิณณาไป คุณนายอรอรก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนจมอยู่กับความคิด ในขณะที่ลูกชายคนรองก็ยังนั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ไม่ยอมลุกไปไหนเช่นกัน“แม่คิดว่าซ้ออายุสิบเจ็ดสิบแปดได้ยังไง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและเคยทำงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว”ข้อมูลที่ได้ยินนั้นทำให้เศรษฐีนีใหญ่เบิกตาโต แล้วหันขวับไปทางคนพูด“อ้าว! แล้วทำไมแกเพิ่งบอกฉัน ฉันอุตส่าห์ทำใจให้ยอมรับอยู่ตั้งนานว่าพี่แกไปฉวยเด็กมาทำเมีย เห็นหน้าตายังกับเพิ่งจบมัธยม แต่กิริยาท่าทางก็น่าเอ็นดู ผิดจากที่ฉันนึกภาพเอาไว้มาก แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเป็นเด็กของหนูพิจิกาก็ต้องน่ารักไม่ต่างกัน ไม่งั้นจะให้ตามหลังกันได้ยังไง”“แม่ก็ยังเอ็นดูหนูพิจิกาของแม่ไม่เลิกนะ อย่าเผลอเอาเขาใส่พานให้นายอั๋นเข้าก็แล้วกัน จำไว้ว่าตอนนี้นายอั๋นมีเมียเรียบร้อยแล้ว”“เอาน่า ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แกก็บอกเองนี่ว่าพี่แกย้ำนักย้ำหนาว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่เคยคบหากัน”“นายอั๋นยืนยันตามนั้น ส่วนอีกคนผมไม่รู้ความรู้สึกเขาหรอก สนิทกันม
“หนูจิณไม่อยู่ ไม่มีใครเห็นว่าออกไปไหน มันเป็นไปได้ยังไง ทั้งในบ้านและไร่ของเราก็มีคนอยู่ตั้งมาก”อาทิตย์ออกอาการตกใจ เมื่อเรียกคนงานมาพร้อมหน้าเพื่อสอบถามว่าเห็นจิณณากันบ้างไหม และคำตอบก็ไปในทางเดียวกัน...ไม่มีใครรู้และไม่มีใครเห็นหล่อน“หนูจิณเอาโทรศัพท์ไปด้วยไหม แล้วคุณอั๋นโทร.หาเธอหรือยัง”ป้าแววที่ถูกตามมาจากบ้านพักกลางไร่ออกอาการร้อนรน นางเป็นห่วงจิณณาไม่น้อยกว่าใคร ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ยังโกรธอาทิตย์อยู่ เพิ่งบอกกับตัวเองว่าจะไม่พูดและไม่ยุ่งแล้วด้วยซ้ำ แต่พอไม่ทันข้ามวันก็กลับต้องมาช่วยกันเหมือนเดิม“ผมไม่มีเบอร์หนูจิณ”“แล้วเป็นผัวเมียประสาอะไร ไม่รู้เรื่องของเขาเลย”ป้าแววอดไม่ได้ที่จะบ่น ถ้าอาทิตย์จะโกรธนางอีกก็ตามใจ เพราะเหลืออดเต็มทนแล้วเหมือนกัน หากคราวนี้เจ้าของบ้านหนุ่มกลับก้มหน้ายอมรับผิดเสียง่ายๆ“ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้ใส่ใจหนูจิณอย่างที่ป้าพูดจริงๆ” อาทิตย์บอกเสียงอ่อนน้อม เพราะรู้สึกสำนึกผิด “เมื่อตอนเย็นผมก็ก้าวร้าวกับป้า ผมขอโทษด้วย&rd
และเวลานี้จิณณาก็ห่วงความรู้สึกของหญิงชราเช่นกัน รู้ดีว่าฝ่ายนั้นยอมออกปากพูดกับอาทิตย์เพราะหวังดีต่อทุกคน...โดยเฉพาะพิจิกาที่เป็นเจ้านายเก่าของป้าแววเองหญิงสาววางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง แล้วตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อเชิ้ตเข้ารูปกับกางเกงยีนออกมา แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ที่มีแบงก์ร้อยสามใบกับเหรียญอีกไม่กี่เหรียญวางเคียงกันอย่างเตรียมพร้อมบรรยากาศในตลาดประจำอำเภอช่วงเวลาเย็นนั้นค่อนข้างเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่านเช่นเวลาเช้า ร้านรวงปิดไปหมดแล้ว เหลือแต่ร้านค้าที่เป็นตึกแถวซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นที่พักอาศัยด้วยที่ยังเปิดอยู่จิณณาเดินผ่านไปเงียบๆ ละแวกนี้หล่อนคุ้นเคยดี เพราะเห็นจนชินตามาตั้งแต่จำความได้ ผู้คนล้วนแต่คุ้นหน้า แถมเวลานี้หล่อนก็สัมผัสได้ว่าสายตาบางคู่ก็กำลังมองตาม หากจิณณายังคงก้าวดุ่มๆ ตรงไป หล่อนไม่พร้อมจะทักทายกับใครทั้งสิ้น และยินดีที่ไม่ได้ยินเสียงทักถามจากพวกเขาหญิงสาวเดินไปหยุดตรงห้องแถวชั้นเดียว เมื่อกวาดสายตามองรอบตัว หล่อนก็เห็นความเก่าโทรมชัดตาขึ้น“มาถึงแล้วหรือ แล้วมายังไง มีใครมาส่งหรือเปล่า”ลัดดา...แม่วั
“เมื่อกี้ฉันโทร.ไป แกไม่ได้รับ ยุ่งอยู่หรือเปล่า”น้ำเสียงของแม่ผิดจากที่จิณณาคาด หล่อนคิดว่าแม่จะโกรธและเกรี้ยวกราดกับเรื่องที่หล่อนทำลงไปเสียอีก หากน้ำเสียงนั้นกลับทอดอ่อนเจือความอ่อนล้า วูบหนึ่งจิณณาก็รู้สึกผิด ขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสุขสบายในบ้านหลังใหญ่ ได้รับการดูแลอย่างดี แต่แม่ยังทำงานอย่างหนัก แม่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสามมาดักรอซื้อของจากพ่อค้าขายส่ง เพื่อจะนำมาขายบนแผงในช่วงเวลากลางวัน“ไม่ยุ่งค่ะ แม่สบายดีไหม”“ไม่เจ็บไม่ป่วย ฉันก็เป็นของฉันเหมือนเดิม แล้วแกล่ะ เป็นยังไงบ้าง”จิณณาเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลพรั่งพรูอีกคราว หล่อนอ้าปากจะตอบ แต่กลัวเสียงสะอื้นจะหลุดลอดออกไป“แกหายไปเลยนะ ทำงานกับใคร อยู่ที่ไหนก็ไม่โทร.มาบอกฉัน ถ้าพ่อแกไม่บังเอิญได้ยินคนในตลาดพูดถึงแก ฉันก็คงหูหนวกตาบอดไปอีกนาน”เป็นอย่างที่จิณณาคาดไว้ แม่รู้เรื่องของหล่อนจากพ่อเลี้ยงจริงๆ“แม่ผัวของแกมากว้านซื้อตึกแถวในตลาดเราไปหลายคูหา เห็นว่าจะทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่เป็นศูนย์การค้าขายจำพวกพืชผลทางเกษตรครบวงจร มีพวก
“พี่ไม่เข้าใจจิณ พี่คิดว่าเราเข้าใจกันแล้วเสียอีก”น้ำเสียงของอาทิตย์ติดจะตัดพ้อ จิณณาเมินหนี เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองใจอ่อน“มันเป็นไปไม่ได้...ไม่ได้เลย”“ตรงไหนที่คิดว่าไม่ได้ จิณติดขัดยังไง”“มันไม่เหมาะสมเลย จิณกับ...คนรอบตัวของจิณจะทำให้พี่อั๋นมัวหมอง ทำให้คุณนายเสื่อมเสีย แล้วทำให้อาจารย์พริกเสียชื่อเสียงไปด้วย”ต้นเหตุมาจากหล่อนคนเดียว การดื้อรั้นเดินไปข้างหน้าอาจทำให้ทุกคนที่หล่อนรักและเคารพต้องเสียหายไปด้วย“อธิบายให้เข้าใจกว่านี้ว่าพี่จะมัวหมองยังไง ทำไมแม่ของพี่ถึงจะได้รับผลกระทบไปด้วย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพริกตรงไหน”“จิณและครอบครัวของจิณต่างกับพี่อั๋นมาก จิณไม่เคยคิดเรื่องของเราสองคนว่าจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะจิณมองไม่เห็นทาง”“หนูจิณคิดมากไปเองนะ มันไม่มีปัญหาอะไรเลย พี่ไม่เคยคาดหวังให้ใครดีพร้อม เพราะพี่เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบเหมือนกัน พี่ต้องการแค่คนที่พี่รักและเขาก็รักพี่ เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเราสองคนมีความสุขเท่านั้นก็พอ”
จิณณาเลือกที่จะกอบโกยช่วงเวลาที่สร้างความสุขให้กับตัวเอง แม้ความรู้สึกหวั่นต่ออนาคตจะเข้ามาหาอยู่บ่อยครั้ง แล้วยังมีความรู้สึกผิดต่อแม่ที่หล่อนทำตัวออกนอกลู่นอกทางอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ยังเข้ามาสะกิดเตือน มันเป็นความหอมหวานที่ยังแทรกด้วยรสขมเพื่อให้หล่อนได้รู้ตัวอยู่เรื่อยๆในช่วงบ่ายของวันทำงาน คนงานในไร่ยังทำงานกันตามปกติ จิณณาใช้เวลาว่างของตัวเองหางานในบ้านทำไปด้วย และวันนี้หล่อนก็เช็ดฝุ่นตรงกรอบหน้าต่างเสร็จเป็นบานที่สามแล้วส่วนอาทิตย์ก็มักจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงานนานๆ บางครั้งเขาก็ประชุมทางไกลกับทีมงานที่อยู่คนละประเทศ เมื่อเขาทำงานอยู่ภายในบ้าน จิณณาจึงต้องอยู่ป้วนเปี้ยนไม่ห่างจากเขา เพราะเวลาชายหนุ่มเรียกหาหรือต้องการสิ่งใด หญิงสาวก็จะจัดหาให้เขา งานเหล่านี้ได้กลายเป็นหน้าที่ของหล่อนไปโดยปริยายเช่นกันจนเมื่อจิณณาเช็ดกระจกจนเมื่อยแขนก็คิดว่าจะเก็บงานที่เหลือไว้ทำต่อในวันพรุ่งนี้ หล่อนนำอุปกรณ์ทำงานไปทำความสะอาดแล้วเก็บเข้าที่ไว้ดังเดิม ก่อนจะเดินกลับมายังโถงบ้านอาทิตย์เดินลงบันไดมาพอดี จิณณาเห็นเข้าก็หยุดมองเขาด้วยความที่อยู่ด้วยกันแท
คนที่กำลังกุมเกมรักไล่สายตาหื่นกระหายทั่วกายสาว แผ่นหลังบางและเอวคอดกิ่ว ก่อนจะเคลื่อนมือร้อนผ่าวมาจับสะโพกผายงามจนมั่น แล้วเร่งจังหวะถี่กระชั้นซ้ำๆ เข้าหา หวังแกล้งเจ้าร่างงามจิณณาบิดกายเร่าอยู่เบื้องล่าง ความเสียววาบก่อตัวอยู่ในช่องท้อง ยิ่งสะโพกเพรียวแกร่งขยับเคลื่อนหมุนวนสลับกับการกระแทกซ้ำอย่างช่ำชอง แก่นกายยาวใหญ่อาละวาดอยู่ภายในช่องทางรัก ความคับแคบอุ่นนุ่มที่ชุ่มชื้นนั้นก็บีบกระชับ หญิงสาวกระตุกถี่เมื่อเขายิ่งเร่งจังหวะรัวเร็ว สะโพกสาวหนั่นแน่นกระเพื่อมไหวช่างเร้าใจนักแล้วการควบคุมของอาทิตย์ก็ขาดสะบั้น จากที่คิดเพียงจะแกล้งหญิงสาว หากเป็นเขาที่ตกหลุมพราง ถูกกับดักความอุ่นนุ่มและอ่อนหวานจนต้องเร่งจังหวะกระชั้นส่งหล่อนถึงเส้นชัย แล้วเคลื่อนไหวถี่แรงเพื่อปลดปล่อยตัวเองตามสงครามรักค่อยๆ สงบลง คงเหลือเพียงเสียงหายใจหอบของฝ่ายชายและเสียงครางแผ่วเหมือนแมวอิ่มจากหญิงสาว อ้อมกอดแข็งแรงยังคงโอบรัดร่างงามสะพรั่งไว้อย่างหวงแหน ชายหนุ่มกดจมูกโด่งลงตรงซอกคอระหง แล้วขบเม้มดูดดึงผิวนวลด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ“คนเจ้าเล่ห์”คำแรกจากหญิงส
“เกลียด!”“เกลียดพี่หรือ แล้วทำไมหนูจิณหน้าแดง”ชายหนุ่มจ้องมองใกล้ๆ เหมือนจะสำรวจตรวจตราหาทุกความรู้สึกที่ผุดออกมาจากดวงหน้าผุดผ่อง จนเจ้าหล่อนต้องผงะกายหนี กลัวใจคนบ้านี่จะทำอะไรอย่างไม่คาดคิด จิณณายังไม่อยากเสี่ยง เพราะบริเวณนี้ยังมีคนงานในไร่ป้วนเปี้ยนอยู่“เมื่อกี้พี่รอหนูจิณอยู่ที่บ้าน ห่วงจนจะบ้าตาย ไม่รู้ว่าร้อนหรือไม่สบายตัวหรือเปล่า ใจจริงพี่ไม่อยากให้ตากแดดตากลมหรอกนะ แต่ที่ให้มาเพราะเห็นว่าหนูจิณสนุกกับการทำงานในไร่” อาทิตย์บอกความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่อยากให้หญิงสาวเข้าใจเขาผิด คิดว่าเป็นจอมบงการไปเสียทุกเรื่อง “ที่พี่มารับให้กลับบ้านด้วยกัน หนูจิณเข้าใจพี่นะ”จิณณามองเขานิ่ง หล่อนเข้าใจความรู้สึกของอาทิตย์ตั้งแต่เห็นเขามาตามแล้วละ แต่ที่ยังต่อต้าน เพราะขัดใจกับการชอบสั่งของเขามากกว่าแต่พอเขาพูดออกมาตรงๆ อย่างนี้ มีหรือที่หล่อนจะไม่เข้าใจและเห็นใจเขา“หนูจิณก็อยู่ในไร่นี้ อยู่ใกล้พี่อั๋นอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องห่วง”“อยากให้ใกล้มากกว่านี้ พี่ชอบให้อยู่ด้วยกัน