อาทิตย์กลับเข้ามาในบ้านในเวลาเกือบสองทุ่ม กลางโถงกว้างเมื่อตอนกลางวันมีคนงานอยู่พลุกพล่าน หากเวลานี้กลับเงียบสงัดไร้ใครสักคนที่ยังคงอยู่
แสงไฟส่องสว่างจากโคมไฟประดับหรูตรงเพดานสูงนั้นทำให้เขามองเห็นรอบตัวได้ชัดเจน สายตาทอดไปยังทิศทางด้านในใกล้กับห้องครัว แล้วจับตามองนิ่ง ‘คนพวกนั้นทำอะไรกัน แล้วนั่นคนงานบ้านแกทุกคนเลยหรือ’ แม่ถามขึ้นทันทีเมื่อเขาทำหน้าที่สารถีพาออกจากบ้านในช่วงบ่าย ‘ใช่มั้งครับ’ ‘ใช่มั้ง? หมายความว่ายังไง แกจำคนงานในบ้านไม่ได้หรือไง แล้วอย่างนี้ปล่อยให้ใครต่อใครเข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ งั้นหรือ’ ‘ไม่ขนาดนั้นหรอกแม่ ถึงจำชื่อไม่ได้แต่ก็พอคุ้นหน้า ใครแปลกหน้าเข้ามาผมก็รู้’ ‘ถ้าอย่างนั้นพวกที่จับกลุ่มนั่งเจียนใบตองอยู่ในบ้าน แกก็คุ้นหน้าทุกคนสินะ’ เขารู้ว่าแม่พยายามเลียบเคียงถามถึงบางคนที่นั่งรวมอยู่ในกลุ่มนั้น เขาเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเธอตอนที่แม่พุ่งไปหานั่นละ ดวงตาคมปรายมองไปทางด้านใน ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ตรงไปหาอย่างเห็นเป้าหมายเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนักๆ สามครั้ง จิณณาผุดลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนเกร็งตัวอยู่นานนับสิบนาทีตั้งแต่ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดแล้ว
โรงรถอยู่ใกล้กับห้องพักของคนงาน โดยเฉพาะห้องที่เธอมาอาศัยอยู่กว่าสัปดาห์ก็อยู่ด้านนอกและใกล้ที่สุด จึงย่อมได้ยินชัดเจนกว่าห้องอื่นๆ “ออกมาคุยกันหน่อย” เสียงห้าวคุ้นหูแทรกเข้ามาให้ได้ยิน จิณณาเกิดอาการละล้าละลัง เธอก้มมองเสื้อผ้าที่สวมนอนแล้วปรายตามองบานประตู หัวใจสาวเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อนึกว่าอีกฝั่งของบานประตูกั้นนั้น เจ้าของบ้านที่เธอพยายามหลบหน้ามาหลายวันกำลังยืนอยู่ “จิณณา ตื่นอยู่ไหม” “ค่ะ” หญิงสาวรีบขานรับเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นกว่าเดิม เพราะเกรงว่าห้องข้างๆ จะได้ยินเสียงของเขาด้วย เรือนร่างกลมกลึงในชุดนอนเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขายาวเนื้อผ้านุ่มรีบพุ่งไปยังประตู บังคับตัวเองอย่างหนักเพื่อจะเปล่งเสียงบอกเขา “ห้านาที ฉัน...จะออกไปพบคุณค่ะ” หล่อนทำได้ไม่ดีนัก น้ำเสียงตะกุกตะกักที่เปล่งออกไปนั้นเจือความประหม่าอย่างปิดไม่มิด เสียงฝีเท้าจากด้านนอกเคลื่อนห่างออกไปแล้ว หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีก้มมองความเรียบร้อยของตัวเอง เสื้อผ้าที่สวมใสก็ทะมัดทะแมงดีอยู่หรอก แต่การจะให้ออกไปพบเขา...ผู้ชายที่ดูน่ากลัวคนนั้น โดยไม่มีป้าแววแม่ครัวที่เธอสนิทสนมมากที่สุดในบ้านหลังนี้ จิณณาก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย แถมตอนนี้ก็เป็นเวลากลางคืนอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละ ตราบใดที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ หล่อนก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านเข้าสักวัน ลูกบิดประตูค่อยๆ หมุนคลายออก แล้วบานประตูห้องพักคนงานก็แง้มเปิด จิณณาจึงเร้นกายออกมา ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอกลั้นลมหายใจเพราะพยายามทำตัวเองให้เล็กจิ๋วที่สุด หญิงสาวทำท่าจะก้าวไปตรงโซฟายาวที่ตั้งอยู่ เพราะคิดว่าเขาจะรอคุยอยู่ตรงนั้น หากต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเข้มดังอยู่ใกล้ๆ “ตามฉันมา” อาทิตย์มองแม่สาวผิวขาวผ่องหุ่นอวบอิ่มที่ทำท่าตกใจกลัวเมื่อเห็นว่าเขายืนอยู่ไม่ห่าง เขาบอกตัวเองไม่ได้ว่าความหงุดหงิดที่วิ่งเข้ามาหานั้น เกิดเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ “คะ...คุณอยู่ตรงนี้หรือคะ” คำถามตะกุกตะกักนั้น ทำให้คนถูกถามตวัดสายตามองอย่างหมั่นไส้โดยไม่ปิดอารมณ์สักนิด ก่อนเขาจะก้าวนำออกมา โดยไม่ทันเห็นว่าคนข้างหลังถึงกับทำคอย่น ขยับปากบ่นอุบโดยไม่มีเสียงเล็ดลอด อาทิตย์เดินตรงไปยังโซฟาที่จิณณาหมายตาว่าเขารออยู่ตั้งแต่แรก เมื่อเขาหย่อนกายนั่งลง เจ้าหล่อนก็ขยับเท้าไปยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วประสานมือพลางก้มหน้าอย่างรอรับฟัง “นั่งสิ” จนเสียงสั่งดังขึ้นนั่นแหละ จิณณาถึงเงยหน้าขึ้นมามองเขา หากต้องหลบตาสายพลัน แล้วเดินตัวลืบไปนั่งบนเก้าอี้ที่หล่อนคิดดีแล้วว่ามีระยะห่างเหมาะสมพอ “เธอคิดจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน” “จิณ เอ่อ...หนูกำลังรองาน คิดว่าไม่เกินเดือนนี้ค่ะ” “งานสำหรับเธอหาง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” “คะ?”“ฉันเห็นว่าช่วงนี้เด็กจบใหม่ตกงานกันเยอะ แล้วคิดยังไงถึงไม่ทำงานที่กรุงเทพฯ”“หนูถูกให้ออกจากงานค่ะ บริษัทต้องการลดคนทำงาน หนูไม่มีรายได้ เลยคิดว่ากลับมาตั้งหลักที่นี่ดีกว่า”“เธอหมายถึงตั้งหลักที่บ้านของฉันงั้นหรือ”อาทิตย์เลิกคิ้วถาม จิณณาเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจหล่อนผิด จึงรีบแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ด้วยเสียงรัวเร็ว“ไม่ใช่ค่ะ หนูหมายถึงกลับมาบ้านของหนูที่อยู่จังหวัดนี้ แต่ตอนนี้หนูอยู่บ้านไม่ได้ มีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย หนูเลยต้องขออาศัยอยู่ห้องของป้าแววก่อน ป้าแววบอกว่าให้หนูอยู่ได้ เพราะแกย้ายไปอยู่บ้านพักคนงานกับลูกสาวในไร่แล้ว”“ห้องของป้าแววที่เธอว่า มันก็คือบ้านของฉัน”“หนูทราบค่ะ ระหว่างนี้หนูจะทำงานแลกกับค่าที่พัก...แล้วก็ค่าอาหารด้วยค่ะ”“เธอจนตรอกขนาดนั้นเลยหรือ”‘จนตรอก’ เขาพูดออกมาอย่างเรียบเรื่อย แต่ทำให้คนฟังคอแข็งจิณณายอมรับว่าตัวเองไม่มีทางไป หล่อนตกงาน ไม่มีรายได้ จึงอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ หล่อนดิ้นรนจนสุดทางแล้ว แต่ก็มองหาทางที่ดีขึ้นไม่ได้ ชีวิตเหมือนจะจมดิ่งลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินหน้าก็ยิ่งมืดมน สุดท้ายจึงตัดสินใจกลับบ้าน...แต่ก็พบว่าบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กน
อาทิตย์เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาติดต่อไปหาคนที่คิดว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบในความหงุดหงิดที่ตัวเองกำลังเผชิญ และเมื่อปลายสายตอบรับ เขาก็ส่งคำพูดไปทันที“มารับลูกศิษย์เธอกลับไปด้วย”“นายพูดเรื่องอะไร รับใคร แล้วรับที่ไหน”“อย่ามาทำไก๋ ยายขนุนนั่นยังอยู่ที่บ้านฉัน วันที่เด็กคนนี้เข้ามาในบ้านของฉัน เธอโทร.มาบอกฉัน เธอรู้ก่อนที่ฉันจะรู้เสียอีก แล้วฉันก็เพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นเด็กคนนี้อยู่กับเธอตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็กนักเรียน ฉันจำได้ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าเธอไม่รู้เห็นเป็นใจให้เด็กหอบผ้าเข้ามาปักหลักในบ้านของฉัน แถมแม่ตัวดีก็ไม่มีกำหนดออกไปด้วย”“นายพูดถึงขนุนเหรอ แล้วขนุนเป็นใคร” ปลายสายทวนเสียงงุนงง อาทิตย์หลุดเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างไม่ได้ดังใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้อธิบาย อีกฝ่ายก็ถึงบางอ้อขึ้นเสียก่อน“ฉันนึกออกแล้วละ แหม! เด็กชื่อจิณณา ชื่อออกจะเพราะ แต่นายเรียกขนุน ฉันเลยงงๆ ไป” พอพูดจบ คนที่อาทิตย์ต้องการให้ช่วยเหลือก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง ดูว่าเจ้าหล่อนจะไม่รับรู้ถึงความทุกข์ร้อนของเขาจริงๆ “เด็กนั่นบอกว่ารองาน แต่ฉันมองปราดเดียวก็รู้ว่าคงตกง
“อะไรนะ! เลิกกันแล้วเหรอ เลิกกันทำไม แล้วเลิกตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”ยอมรับว่าตกใจและคาดไม่ถึง เพราะเท่าที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ มันก็ไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ ว่าเรื่องราวจะจบลงในรูปแบบนี้“หมดความปรารถนาในกันและกัน แรงดึงดูดระหว่างกันไม่เหลือแล้ว”ถ้อยคำสวยงามของพิจิกา อาทิตย์คงไม่คิดจะติดใจ ถ้าน้ำเสียงนั้นไม่เหมือนการท่องจำมาบอก“เธอหรือนายกรณ์ที่รู้สึกอย่างนี้”“กรณ์บอกฉัน”อาทิตย์แทบพ่นลมหายใจเมื่อได้ยินคำตอบคิดอยู่แล้วเชียว...อย่างยายพริกนะหรือที่จะรู้ตัวเองและเป็นฝ่ายบอกนายกรณ์ก่อน“แล้วเธอโอเคไหม”“ตอนแรกฉันก็งง ไม่รู้ว่าเวลาถูกบอกเลิกต้องทำตัวยังไง มันมึนๆ ตื้อๆ ไปหมด ฉันสอนเด็กไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนนายนิสัยแย่มาก บอกเลิกฉันตอนเช้าในวันที่ฉันมีสอนเต็มวัน สรุปว่าวันนั้นฉันไม่มีสมาธิ ไม่รู้ว่านักศึกษาจะคิดยังไงกันบ้าง”พอได้ฟังเรื่องราวของแม่คุณ อาทิตย์ก็เป็นฝ่ายมึนตื้อขึ้นมาบ้าง“เดี๋ยวนะ เธอถูกบอกเลิก แล้ว...เธอไม่เสียใจเหรอ”“ฉันบอกแล้วไงว่าทำตัวไม่ถูก ตอนนั้นฉันงงและมึนไปหมด”“แล้วทำไมไม่โทร.มาล่ะ ตกลงเลิกกันเมื่อไหร่”“นั่นสินะ ทำไมฉันไม่โทร.หานาย” พิจิ
“หนูรู้สึกได้เอง” ก็แค่ตอนที่จิณณาช่วยขนอาหารออกไปให้คนงานได้รับประทานตอนพักเที่ยง แล้วได้ยินพวกเขาถามกันว่ามื้อนี้เป็นฝีมือของใคร พอรู้ว่าไม่ใช่ของหล่อน ต่างก็หัวเราะดีใจกันยกใหญ่แต่ก็ยังดีนะ ที่พอเห็นว่าหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็อุบอิบบอกขอโทษ ก่อนจะพากันเดินหนีหลบหน้าหล่อนไปจนหมดจิณณาถอนหายใจยาว แล้วระบายต่ออย่างได้โอกาส“หนูทำงานไม่เป็น ทั้งที่เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าในตลาด ไม่ใช่คุณหนูที่ไหนสักหน่อย”“ก็หนูจิณเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะมีเวลาที่ไหนมาทำงานกันล่ะ ตั้งใจเรียนจนจบก็ดีแล้วนี่”“หนูเรียนจบแล้วทำงาน แต่หนูก็ถูกปลดจากงาน แสดงว่าหนูเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานครัว หรืองานตามสายที่เรียนมา”“โธ่เอ๊ย! ชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวหนูก็เจอทางที่ถนัดเอง”“แต่ปากท้องมันรอนานไม่ได้สิจ๊ะ”“แล้วจะเร่งรีบไปทำไม อยู่ช่วยงานที่นี่ไปเรื่อยๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านแม่อีกนะ ความโชคดีไม่ได้เป็นของเราทุกคราว”สีหน้าของจิณณาสลดลง หล่อนเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มด้านซ้ายภาพความเกรี้ยวกราดของแม่ในวันนั้นผุดขึ้นมา...วันที่จิณณากลับมาจากกรุงเทพฯ ด้วยหวังจะตั้งหลักอยู่กั
“ฉันแค่ตลกเธอ ทำไมเธอต้องพูดดิฉันกับฉันด้วย” แม้เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนได้สงสัยนาน แต่จิณณาก็ไม่คิดจะขอบคุณเขาหรอกนะ“อ้าว! ก็คุณไม่ให้ดิฉันแทนตัวเองว่าหนู”“แล้วตอนเธอคุยกับคนอื่น เธอแทนตัวเองว่าอะไร”“ก็...หนู”“เพื่อนเธอล่ะ”“แต่คุณไม่ใช่เพื่อนดิฉันนี่คะ”“แน่นอน ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่รับเธอเป็นเพื่อนของฉัน”“ค่ะ” หญิงสาวเผลอยู่ปาก คนระดับอาทิตย์จะมาคบเธอเป็นเพื่อนได้อย่างไร แค่เขามองเห็นเธอเป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศก็ถือว่าเกินคาดไปมากแล้ว“เมื่อกี้เธอรับคำว่าค่ะ...ค่ะ? คืออะไร”“ก็รับทราบว่าไม่ใช่เพื่อนค่ะ”อาทิตย์มองดวงหน้าสวยสุกปลั่งด้วยไอแดด มองเพื่อให้มั่นใจว่าคำพูดนั้นไม่ได้แฝงการประชด หากก็ไม่พบอารมณ์อื่นใดในแววตาของหล่อน นอกจากการคาดคะเนและรอลุ้นจนชายหนุ่มอดที่จะใจอ่อนไม่ได้ สุดท้ายจึงบอกออกมา“ถ้าเธออยากทำงานในไร่ก็ตามใจ แต่ไม่ต้องย้ายไปบ้านพักคนงาน” อาทิตย์เว้นจังหวะ มองดวงหน้าของหญิงสาวที่ค่อยๆ แย้มเบิกอย่างดีใจใช่ นั่นละ นึกไว้อยู่แล้วว่าจะได้เห็น“บ้านพักคนงานไม่มีหลังที่ว่างสำหรับเธอ แล้วส่วนใหญ่พวกเขาอยู่กันเป็นครอบครัว เป็นผัว
ใกล้เที่ยงวัน แม้สายลมหนาวจะพัดมาเป็นระลอก แต่จิณณาก็รู้สึกแสบร้อนผิวหน้าเพราะแสงแดดที่แผดจ้า หล่อนคลี่ผ้าคลุมไหล่ผืนสวยขึ้นมาคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแสงแดด แล้วก้มหน้าทำงานต่อ พลันก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของหัวหน้าคนงานดังอยู่ใกล้ๆ“หน้าแดงยังกับกุ้งต้ม ไปพักที่ร่มก่อนเถอะหนูจิณ ช่วงบ่ายค่อยมาทำต่อ”“ขอบคุณค่ะลุงชื่น แต่จิณจะตัดใบแปลงนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยพัก ดูของคนอื่นสิ เสร็จนำหน้าจิณไปอีกแล้ว”จิณณาบอกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากต้นสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกเรียงรายบนแปลง พลางใช้กรรไกรตัดใบแห้งบริเวณโคนต้นออกเพื่อรอรับผลผลิตที่จะตามมา“งั้นก็ทำไปเถอะ แต่ไม่ต้องรีบ เอาที่เราทำไหว คุณอั๋นไม่ได้เคี่ยวเข็ญกับพวกเรามาก คนงานในไร่นี้ นอกจากพวกที่เรี่ยวแรงยังดีก็ยังมีพวกง่อนแง่นอย่างยายป้อมและลุงผินอยู่ด้วย พวกนี้ก็ทำไปพักไปตามที่สังขารอำนวย”จิณณาเงยหน้าขึ้นมามองโดยรอบอย่างสังเกตตาม คนงานในไร่มีหลายวัยจริงตามที่ลุงชื่นพูด นอกจากคนหนุ่มสาวแล้วยังมีคนแก่ชรา กลุ่มหลังก็ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย...จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้“แล้วคุณอาทิตย์ไม่ขาดทุนแย่หรือจ๊ะ ถ้าเราทำงานกันแบบนี้ มันจะไม่คุ้มเงินค่าจ้างเอาสิ แล
ตะวันคงบ่ายคล้อยแล้ว ไม่รู้ว่าแสงแดดข้างนอกยังแผดจ้าอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับในห้องพักนี้ จิณณารู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่ในตู้อบ“ร้อนจังเลย”เสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนยาวที่หวังจะให้กันแดดยามทำงานในไร่ เวลานี้มันรัดรึงจนแทบหายใจไม่ออกเรียวนิ้วที่เริ่มหยาบกร้านไต่ขึ้นตามสาปเสื้อ ไล่คลำหากระดุมเสื้อเม็ดบนสุดแล้วปลดออกโดยใช้เวลาเกือบนาที ก่อนจะเลื่อนมือลงไปหากระดุมเม็ดถัดไปเสียงครางอือในลำคออย่างพอใจเมื่อรู้สึกสบายตัวมากขึ้นทั้งที่ดวงตายังหลับพริ้ม จนเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสะดวกสบายพอ มือเรียวขาวสะอาดจึงหล่นมาวางขนาบข้างลำตัวเรือนร่างอวบอิ่มทอดนิ่งอยู่บนเตียงนอนขนาดสามฟุตที่วางชิดผนังห้อง โดยมีฟูกนอนบางๆ รองรับ พัดลมตัวเดียวตรงมุมห้องยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ จิณณารู้สึกผ่อนคลายจนปล่อยตัวเองให้หลับใหล เพราะไม่อาจทนกับความเมื่อยล้าจากการกรำงานในไร่มาตลอดทั้งสัปดาห์ได้อีกอาทิตย์จิบเบียร์เย็นพลางทอดมองน้องชายและหญิงสาวร่างโปร่งบางที่กำลังไดร์ฟกอล์ฟอยู่เบื้องหน้าไกลๆ จนเมื่อรู้สึกถึงแรงตบตรงหัวไหล่จนเขาถึงก
“เพ้อเจ้อน่า”เสียงพึมพำหลุดจากเรียวปากหยัก โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเขาบอกตัวเองหรือบอกเพื่อนที่ยังเซ้าซี้ถาม“นายแค่สนุกกับงาน แต่สักพักมันจะเหงา อยากมีคนดูแล”อาทิตย์พยายามห้ามความคิดไม่ให้จดจ่อถึงผู้หญิงคนนั้น แต่ดูว่าช่างยากเหลือเกิน จนต้องเสหยิบแก้วเบียร์มาจิบอีกรอบด้วยอยากกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อคิดว่าปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว จึงโต้กลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดังเดิม“ไม่ต้องมากล่อมฉัน เพราะนายอีกคนนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้แม่มาเร่งฉันให้แต่งงาน”ปราชญ์หัวเราะร่วน เขาเข้าใจถึงความนัยในคำพูดนั้นดี เพราะชีวิตส่วนตัวของเขาถูกบรรดาแม่ๆ ของเพื่อนนำไปเปรียบเทียบ แล้วเร่งให้แต่งงานกันหลายคนแล้วสำหรับเขาที่แต่งงานตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปีกับเพื่อนหญิงที่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยม จนตอนนี้ก็มีลูกชายหญิงรวมสามคนแล้ว“ก็ฉันคบกับป่านมาตั้งแต่เป็นนักเรียน รวมเวลาก็นับสิบปี ขืนให้รอนานกว่านี้ แม่ยายจะได้ยกลูกสาวให้คนอื่นปะไร”“นายเลยมีลูกทันใช้อยู่คนเดียว”“ถ้านายสตาร
“ฉันกลับจากธุระแล้วผ่านมาทางนี้ เลยให้คนรถแวะเข้ามาในไร่ของแก เห็นลุงชื่นบอกว่าสตรอว์เบอร์รีบางแปลงเริ่มเก็บได้แล้ว”คุณนายอรอรเดินนำลูกชายเข้ามาในบ้าน สายตาคมกริบกวาดรอบโถงกว้างอย่างสำรวจ เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต เธอก็ตรงไปนั่งบนโซฟารับแขก มุมที่สบายที่สุดสำหรับเธอ“เห็นแม่หายไปหลายวัน ปกติยังโทร.มาปลุกผมตอนเช้า หรือไม่บางทีช่วงเย็นก็โทร.มาถามว่าจะกินอะไร แล้วแม่ก็ให้คนรถเอาของกินมาส่ง”“หน้าที่นี้ควรเป็นแกทำให้ฉันมากกว่านะ นี่พอฉันหายไป แกก็ทวงเลยสิท่า” คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าประจำจังหวัดค้อนลูกชายคนโต แล้วหรี่ตาอย่างจับสังเกต “แล้วทำไมแกถึงถามจุกจิกกับฉันจังเลย เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้”“ผมแค่เป็นห่วง เพราะแม่หายไปหลายวัน แล้วจู่ๆ ก็มาหาด้วยตัวเองในช่วงใกล้ค่ำ ผมห่วงว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับแม่น่ะสิ”“แล้วถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับฉัน แกจะช่วยฉันทันไหม พอฉันไม่แวะมา แกก็ไม่ไปหา ไม่คิดจะถามข่าวคราวของฉันเหมือนกัน”คุณนายอรอรบ่นด้วยน้ำเสียงติดจะน้อยใจ จนอ
“เพราะคุณมีพร้อม อยู่ในจุดที่สบายพอแล้ว”“ไม่รู้สิ ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่พอเป็นผู้ใหญ่ก็อยากมีชีวิตของตัวเอง ฉันก็เปลี่ยนของฉันเอง เพราะจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยโดยหวังพึ่งพาแม่หรือที่บ้านตลอดไปก็ไม่ดี”“คุณเป็นลูกคนโต ตอนนี้คุณนายคงภูมิใจมากค่ะ เพราะคุณเก่ง คุณทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง”จิณณาเพิ่งได้คิดว่าอาทิตย์เป็นลูกชายของเศรษฐีใหญ่ในจังหวัด ตระกูลของเขาเป็นที่รู้จักของคนในสังคม ยิ่งการที่เขาเป็นทายาทคนโตซึ่งต้องเป็นความหวังและความภูมิใจของครอบครัว...โดยเฉพาะคุณนายอรอรที่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขามา“แม่ไม่เคี่ยวเข็ญเกี่ยวกับงานว่าจะให้ใครทำอะไร เราสามารถเลือกทำตามที่ถนัดได้ทุกคน...แต่มียกเว้นเรื่องเดียว”“เรื่องอะไรคะ”“อีกไม่นานเธอจะได้รู้เอง คุณนายยังตามเคี่ยวเข็ญฉันอยู่จนถึงตอนนี้ ดูท่าแล้วคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ”จิณณามองอาทิตย์อย่างคาดเดา เรื่องที่เขาพูดควรเป็นเรื่องชวนเครียด แต่ทำไมเขาต้องหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขำ แถมหน้าตาก็บ่งบอกว่ามีความสุขอีกด้วยช่วงเ
คำว่าคิดถึงของเขามาพร้อมกับดวงตาพราวระยับ จิณณามองปราดเดียวก็รู้ทันคนคิดไม่ซื่อ และแววตาของหญิงสาวก็ทำให้ชายหนุ่มต้องลอบยิ้ม เขาโน้มตัวลงไปโอบกอดหล่อนไว้ แล้วกดจุมพิตหนักๆ ตรงต้นคอ หากเพียงแค่นี้ก็ทำให้จิณณาวูบไหวไปทั้งกาย “จิณกำลังแกะเมล็ดสตรอว์เบอร์รีเอาไว้ปลูกค่ะ เมื่อวานลุงชื่นเอาลูกใหญ่ๆ มาให้จิณสี่ลูก จิณเห็นแล้วอยากแกะเมล็ดมาปลูกใส่กระถางไว้ในห้องนี้” จิณณาเบือนหนีสัมผัสของเขา แล้วบอกถึงความตั้งใจในสิ่งที่จะทำต่อไป อาทิตย์มองตามก็เห็นเปลือกสตรอว์เบอร์รีที่มีเมล็ดเกาะอยู่บนกระดาษทิชชู สภาพแห้งเหมือนถูกตากแดดไว้ระยะหนึ่งแล้ว “แกะเมล็ดแล้วยังไงต่อ” “เอาไปแช่น้ำหนึ่งสัปดาห์ แล้วเอาไปปลูกในกระเปาะเล็กๆ ระหว่างนั้นก็ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นไปด้วยค่ะ” “ยุ่งยาก มันดีกว่าใช้ไหลสตรอว์เบอร์รีปลูกยังไง” “ดีกว่าตรงที่เราได้ฟูมฟักมันขึ้นมาจากเมล็ด เฝ้ารอและประคับประคองให้ต้นเติบใหญ่จนออกลูกออกผลให้เราชื่นชมสิคะ” “ปลูกไว้ชื่นชมหรอกหรือ” “คุณจะกินก็ได้ค่ะ” “ให้ถึงตอนนั้นก่อน แล้วฉันค่อยตัดสินใจว่าจะเก็บไว้ชื่นชมหรือเอามากิน”
“สองทุ่มนี่นะ นายนอนแต่หัวค่ำตั้งแต่เมื่อไร”น้องชายจอมจุ้นยังไม่เลิกเซ้าซี้ถาม อาทิตย์จึงตัดบทโดยการตัดสายแล้วปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อป้องกันการถูกรบกวนเสียเลย ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะทำงาน แล้วเดินมาผลักบานประตูที่เชื่อมกันเพื่อเข้ามาในห้องนอนแม่เนื้อนวลของเขายังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในส่วนพักผ่อนของห้องนอน เห็นหล่อนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับนักร้องไทยที่มีลุคคล้ายเกาหลีอยู่ในจอขวางหูขวางตาชะมัด!อาทิตย์ก้าวอาดๆ ไปหาอย่างไม่รอช้า“อย่านะ! อย่าปิดทีวี จิณยังดูไม่จบ”“ดูนักร้องคนนี้หรือ แล้วทำไมต้องยิ้มให้เขาด้วย”ชายหนุ่มชี้ไปทางหน้าจอโทรทัศน์อย่างสุดที่ทนได้ไหว“ใช่ ขอดูพี่เป๊กให้จบก่อนนะ คนดี๊คนดีของหนูจิณ คุณอั๋นไปนอนก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูจิณตามไป”น้องก็กวนโมโห เมียก็ไม่ยอมเอาใจคนหัวร้อนออกอาการฮึดฮัดจำต้องเดินไปยังที่นอนคนเดียว แล้วก็ได้แต่เดินไปเดินมาสะกดอารมณ์อยู่สองสามรอบ แต่ใจก็ไม่ยอมสงบ จนเมื่อคิดว่าจะลงไปข้างล่างก็เห็นคนร่างกลมกลึงปรี่มาหาเสียก่อน“รายการทีวีจบแล้วห
“แม่คุณสงสัยว่าคุณมีใครแอบไว้หรือเปล่า แล้วคุณก็ว่าสุดท้ายคุณก็ซุกจิณไว้จริงๆ อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าเมียเก็บแล้วจะให้เรียกอะไร”อาทิตย์ถึงกับกุมขมับกับการก้าวพลาดของตัวเอง...แต่ก็ยังดีที่แม่คุณยอมเปิดปากบอกสิ่งที่อยู่ในใจ แม้แลกด้วยการถูกเรียกว่าเป็นผัวเก็บของเจ้าหล่อนก็เถอะ!“ฉันไม่เคยคิดจะให้เธอเป็นเมียเก็บหรือเมียซุก แต่ฉันจะเอาเธอมาเป็นเมียจริงๆ”คำยืนยันที่แสนโอหังของเขาทำให้จิณณาตีสีหน้าไม่ถูก แน่นอนว่าความเสียใจและน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครู่บินหายไปแล้ว แต่ความหมั่นไส้ที่มีต่อเขานั้นกลับเพิ่มเป็นทวีหญิงสาวจ้องมองเขานิ่ง มือก็ดึงผ้าห่มมาคลุมกายไว้ด้วย จนเมื่อเห็นว่ามิดชิดพอก็พูดกับเขา“จิณโกรธคุณ”“โกรธเรื่อง…?”“คุณบังคับจิณ ทำให้จิณเจ็บ ดูสิ เป็นจ้ำๆ หมดแล้ว”“ไหนดูสิ” เขาดึงแขนหล่อนมาดู พอเห็นว่าเป็นจริงตามที่บอกก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเหมือนกัน “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้อยากให้เธอเจ็บ...แต่เธอผิวบาง”“คุณทำผิดแล้วมาใส่ร้ายจิณ”
ไม่ยากเกินความสามารถของอาทิตย์สำหรับการหลอกล่อให้จิณณาเข้ามาอยู่ในห้องนอนของเขาในทุกค่ำคืน แม้ใครจะมองว่าเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบหญิงสาว แต่อาทิตย์ก็ไม่สนใจเขายอมรับว่าตัวเองเห็นแก่ตัว แต่ในจังหวะนี้ขอเลือกทำตามใจตัวเอง และคิดเข้าข้างตัวเองว่าทุกครั้งที่ร่วมรักกัน เขาก็ทำให้จิณณาได้พบกับความสุขล้นไปด้วยที่สำคัญกว่านั้น อาทิตย์มั่นใจว่าจิณณาไม่ได้รังเกียจเขา เขาไม่ได้คิดไปเอง แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าท่าทางของแม่สาวน้อยที่มีต่อเขานั้นมันคืออะไร บางเรื่องไม่ต้องมีคำอธิบาย แต่สัมผัสได้ด้วยหัวใจและความรู้สึก“แม่เคยเห็นเธอแล้ว”จู่ๆ อาทิตย์ก็พูดขึ้นในค่ำคืนที่ทั้งสองคนขลุกอยู่บนเตียงนอน จนคนที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขาตัวเกร็งขึ้นมา“ครั้งล่าสุดที่แม่มาที่นี่ เธอย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ตอนนั้นเธอนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่กับคนงานในโถงใกล้กับห้องครัว แม่ทำท่าจะเดินไปหา คงอยากจะดูหน้าเธอให้ได้ แต่ฉันขวางเอาไว้ก่อน”จิณณาเริ่มร้อนรน หากอาทิตย์กลับเห็นเป็นเรื่องขัน เขายังมีแก่ใจหัวเราะ“แค
เป็นเวลาเย็นมากแล้วที่อาทิตย์เฝ้าสังเกตจิณณาซึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ทางหน้าบ้าน เขาบอกผ่านป้าแววให้สั่งส้มโอคอยอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวอาทิตย์เชื่อว่าตนเลือกคนไม่ผิด เพราะเด็กคนนั้นพูดเป็นต่อยหอยอยู่ตลอดเวลา คงทำให้จิณณาเพลินไปได้ในจังหวะนี้จะหาว่าเขาไม่มีปัญญาทำให้หล่อนสบายใจ เขาก็ยอมรับ ดังนั้นใครก็ตามที่สามารถทำให้หล่อนร่าเริงขึ้นมาได้ เขาก็ไม่ขัดทั้งนั้นส่วนป้าแววนั้นไม่ผิดจากที่เขาคาด หญิงชรารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาและจิณณา แถมยังพูดให้อาทิตย์ต้องหน้าม้านด้วยว่ารู้สึกพลาด ไม่น่าปล่อยให้ปลาย่างอย่างจิณณาให้อยู่ใกล้แมวตะกละอย่างเขา‘ป้าแววก็พูดเกินไป ผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย’‘คุณอั๋นรู้ใช่ไหมว่าจะมาทำเล่นๆ กับคนในบ้านไม่ได้ ถ้ารู้ถึงหูคุณนายจะเป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ เพราะคุณนายถือเรื่องพวกนี้มาก มันทำให้คนในปกครองไม่เคารพเรา’‘ให้ผมพูดตอนนี้ก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะป้าแววก็ไม่เชื่อผมอยู่ดี รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่า’‘เวลาอะไรคะ แล้วนานแค่ไหน จะปล่อยให้คุณอั๋นเอาเปรียบ
หลังจากเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้ว อาทิตย์ก็เข้าไปในห้องลอฟต์ในเวลาเกือบสิบนาฬิกา เขาทอดฝีเท้าตรงไปยังมุมด้านในของห้อง ซึ่งเป็นจุดที่เขาและจิณณาโรมรันกันเมื่อวานนอกจากเครื่องนอนจะถูกพับเก็บแล้ว เสื้อผ้าของจิณณาทั้งชั้นนอกและชั้นใจก็ถูกพับวางไว้ข้างๆ อย่างเรียบร้อย รวมถึงเสื้อเชิ้ตชื้นฝนที่เขาถอดทิ้งไว้ด้วยชายหนุ่มก้มหยิบเสื้อผ้าทั้งของเขาและหล่อนไว้ในมือ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบห้อง“ใครเข้ามาเก็บห้อง...ป้าแววหรือเปล่า”อาทิตย์หรี่ตาครุ่นคิด อาจเป็นแม่บ้านใหญ่ที่เข้ามาทำความสะอาดห้องลอฟต์อย่างที่เคยทำ และแม่บ้านคนนี้ก็เคยทำงานอยู่กับพิจิกา เขารู้อยู่เต็มอกว่าทั้งสองคนยังคงติดต่อสม่ำเสมอ แถมค่อนข้างสนิทสนมกันด้วยและจากสภาพห้องนี้ที่เขาทิ้งร่องรอยไว้ แน่นอนว่าคนอย่างป้าแววมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น อาทิตย์คาดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้อย่างทะลุปรุโปร่งเขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนที่ทิ้งจิณณาไว้ตามลำพัง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาเองก็ไม่คิดจะปิดบังคนในบ้าน ให้รู้เสียเลยก็เป็นการดี เขากับจิณณาจะได้ทำตัวได้สะด
จิณณาขยับตัวเมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งขยุกขยิกอยู่บนกาย หล่อนพลิกหนีแล้วตั้งท่าจะนอนหลับต่อ แต่เจ้าสิ่งนั้นก็ยังตามติดมา“อืม...”หล่อนส่งเสียงในลำคอพลางสะบัดน้อยๆ หวังให้เจ้าสิ่งรบกวนนั้นหายไป แต่กลายเป็นว่ามันกลับโอบรัดแล้วกักกันหล่อนไว้ทั้งตัวจิณณาปรือเปลือกตา แล้วกะพริบตาปริบๆ เพื่อโฟกัสภาพ สิ่งแรกที่สายตาจับได้เป็นโคมไฟที่อยู่ใกล้หัวเตียงความคิดและสติของจิณณาแล่นปราดกลับคืนร่างอย่างรวดเร็ว หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ หากสิ่งรบกวนนั้นกลับรัดหล่อน แล้วดึงจนล้มลงบนที่นอนตามเดิม“คุณอั๋น”“ตื่นแล้วหรือ ฉันรอตั้งนาน” ...จวนเจียนจะลักหลับอยู่ตั้งหลายครั้งอาทิตย์มองร่างกลมกลึงที่เขานอนกกกอดมาครึ่งค่อนคืนด้วยสายตาพราวระยับ มีความสุขเหลือเกินที่ได้กอดรัดแม่ร่างน้อย เขาสูดดมกลิ่นหอมของนวลเนื้อสาวอย่างแสนชื่นใจ“คุณ! คุณมานอนตรงนี้ได้ยังไง ก็ไหนว่า...”“ว่าอะไร...หืม”“เมื่อคืนคุณบอกว่าจะนอนบนโซฟา”“ใช่ ฉันนอนบนโซฟาไปแล้ว แต่นอนไม่หลับ มันปวดคอปวดหลังไ