กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาค่ำแล้ว เมื่อรถกระบะคันสีน้ำตาลที่บรรทุกต้นไม้มาเต็มคันจอดเทียบหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางไร่ คนที่นั่งข้างคนขับเปิดประตูรถแล้วก้าวออกมา ทำท่าจะช่วยขนต้นไม้ลงอย่างรู้งาน
หากสองมือที่กำลังจับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดนั้นต้องชะงัก“เธอไปพักเถอะ เดี๋ยวคนงานมาจัดการต่อเอง”อาทิตย์บอกให้หล่อนพัก แต่ตัวเขาที่เปิดประตูรถตามออกมาก็หยิบโน่นฉวยนี่อย่างไม่วางมือ ไม่เห็นว่าเขาจะได้พักด้วยเหมือนกัน ทำให้คนอาศัยที่ตั้งใจจะทำตัวให้มีประโยชน์นั้นต้องลังเล“มีอะไรอีก”“จิณช่วยขนต้นไม้ลงจากรถได้ค่ะ จิณยังไม่เหนื่อย”“ถ้าเธออยากจะช่วยก็ช่วยไปพักซะ ฉันโทร.เรียกคนงานแล้ว ปล่อยให้พวกเขาทำกันเองจะเร็วกว่ามีเธอช่วยอยู่ด้วย”เพียงเท่านี้คนหวังดีก็เชิดหน้าขึ้น แล้วหันกายเดินเข้าบ้านโดยไม่เหลียวมองข้างหลังอีก จึงไม่อาจเห็นคนตัวโตที่ยืนเท้าสะเอวมองตามพลางหรี่ตาครุ่นคิด อาทิตย์กำลังทบทวนคำพูดของตัวเอง สงสัยว่าอะไรที่ทำให้หล่อนเปลี่ยนท่าทีไปขนาดนั้น เพราะเมื่อสักครู่ก็เห็นยังดีๆ อยูห้องโล่งกว้างอยู่ทางปีกขวาบนชั้นสองของบ้าน คนละฝั่งกับห้องนอนและห้องทำงานที่ใช้อยู่ประจำ อาทิตย์ปล่อยห้องนี้ไว้ตั้งแต่สร้างบ้านเสร็จเมื่อสี่ปีก่อน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเข้ามาใช้ประโยชน์จากมัน หากอยู่ๆ ก็นึกอยากทำห้องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ จึงเริ่มต้นด้วยการสั่งต้นไม้แล้วพา ‘คนอาศัย’ ไปช่วยขนจากร้าน เพื่อจะนำมาประดับภายในห้องตามภาพที่ร่างอยู่ในหัวไว้ตั้งแต่ต้น “ป้าแวว ให้จิณณาขึ้นมาข้างบนด้วย” ไวเท่าความคิด อาทิตย์โทร.เข้าไปบอกป้าแววที่อยู่ในครัวให้ทำตามคำสั่ง โดยไม่ลืมขยายความ...เผื่อว่าป้าแววจะสงสัย “บอกให้มาทำงานของเมื่อวานให้เสร็จ” “งานอะไรหรือคะคุณอั๋น หนูจิณทำงานอะไรค้างไว้” “เอาต้นไม้ลงกระถาง บอกจิณณาให้มาที่ห้องปีกขวา” “คุณอั๋นรอสักครึ่งชั่วโมงแล้วกันนะ หนูจิณเพิ่งเข้ามาในครัว ยังไม่ได้กินข้าวเช้า” อาทิตย์ตัดสายไปแล้ว ทางด้านป้าแววก็หันไปทางจิณณาซึ่งยืนมองตาปริบๆ เพราะได้ยินว่ามีเอ่ยถึงตัวเองด้วย “มีอะไรหรือจ๊ะป้า แล้วเมื่อกี้ป้าคุยกับใคร ได้ยินพูดถึงหนูด้วย” “คุณอั๋นให้ขึ้นไปทำงานข้างบน เอาต้
จิณณายืนมองคนงานที่กำลังเคลื่อนย้ายกระถางปูนเปลือยขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านอย่างสนใจ หล่อนเพิ่งรู้ว่าต้นไม้ที่อาทิตย์ไปรับมาเมื่อวานนั้น เขาจะปลูกประดับไว้ในบ้าน ไม่ได้ปลูกในไร่เพื่อขายดอกผลอย่างที่เข้าใจ“อ้าว! พี่จิณยังอยู่นี่เหรอ คิดว่าขึ้นไปช่วยเขาทำงานข้างบนแล้วเสียอีก”ส้มโอที่เดินผ่านไปแล้วยังอุตส่าห์ถอยหลังกลับมาสองก้าว แล้วถามอย่างสงสัย“พี่รอให้คนงานทำงานเสร็จก่อน ไม่อยากขึ้นไปเกะกะพวกเขา เดี๋ยวงานจะเสร็จช้าลงอีก”ส้มโอหัวเราะคิกทีเดียว จิณณาหันมาเลิกคิ้วมองอย่างคาใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรที่น่าขำนัก สาวรุ่นน้องถึงต้องหัวเราะขนาดนี้ จนเจ้าตัวต้องเฉลย“พี่จิณตลกเป็นบ้าเลย รู้ตัวหรือเปล่า แล้วเมื่อกี้พูดแซะคุณอั๋นใช่ไหม ที่บอกว่าพี่อยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น”“ไม่ได้แซะใครเลย พี่พูดของพี่เอง”“นั่นสินะ หนูก็คิดว่าคนอย่างพี่จิณไม่มีทางว่ากระทบใครได้หรอก”“ใช่ พี่ไม่ได้มีนิสัยแย่ขนาดนั้น”“หนูเปลี่ยนใจแล้ว”จู่ๆ แม่สาวน
อาทิตย์หัวเราะชอบใจ จิณณารู้ตัวว่าถูกต้อนให้เดินตามเกมเขาเสียแล้ว หญิงสาวจึงย่นจมูกใส่อย่างเผลอตัว “ตอนแรกฉันเลือกบ้านสไตล์ลอฟต์ทั้งหลัง แต่แม่บอกว่ามันดูดิบไป ไม่สวย ขู่ว่าถ้าฉันสร้างบ้านแบบนั้นก็จะไม่ยอมมาหาเด็ดขาด ฉันเลยต้องให้แม่เลือกแบบบ้านเอง แต่ขอเว้นพื้นที่นี้ไว้ให้ฉันได้ทำตามใจตัวเองด้วย” จิณณามองรอบตัวอย่างพิจารณาอีกครั้ง ครามรู้สึกคราวนี้เปลี่ยนไปจากเดิม มองเห็นความสวยงามในความดิบ เรียวปากอิ่มแย้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นสายไฟ ท่อน้ำ และท่อแอร์ โผล่มาให้เห็นด้วย แต่มองแวบเดียวก็รู้ว่าฝีมือช่างนั้นละเอียดนัก ทำให้ห้องไม่กลายสภาพเป็นโรงงานหรือโกดังเก็บของ กระนั้นก็ยากที่จะให้คนอย่างคุณนายอรอรซึ่งคงชินกับความหรูหรายอมรับในรสนิยมแบบนี้ของอาทิตย์ได้ แต่พอนึกในมุมของเขาที่เป็นคนอยู่อาศัยเองก็เผลอถามออกไปตามใจคิด “แล้วไม่ฝืนใจคุณแย่หรือคะ เขาว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่” “ฉันอยู่ได้ บ้านสไตล์ลอฟต์เป็นความชอบ แต่ที่แม่เลือกให้มันคือความสะดวกสบาย ฉันอยู่แล้วก็มีความสุขดี” “ดีจังเลยค่ะ” จิณณาเผลอยิ้มเต็มสีหน้า แล้วมองรอบตัวด้วยสายตาเปลี่ยนไปจา
กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าเคลื่อนมาใกล้ ด้วยความที่หญิงสาวจดจำได้ว่าเสียงฝีเท้านั้นเป็นของใคร หล่อนจึงยังนั่งทำงานนิ่งอยู่เช่นเดิม จนเมื่อเสียงไฟส่องสว่างในห้องดับลงพร้อมกับเสียงกดสวิตช์ จิณณาถึงนิ่วคิ้วขมวด แล้วลุกขึ้นยืน “ปิดไฟทำไมคะ มันมืดหมดแล้ว” เพราะลำแสงจากดวงอาทิตย์ยามนี้ไม่ได้ส่องเข้ามาทางหน้าต่างโดยตรงอีกแล้ว จิณณาจึงต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟเข้ามาช่วยแทน “อ้าว! เธอยังอยู่อีกเหรอ” “ก็จิณยัง...เอ่อ! งานยังไม่เสร็จ” จิณณาหลบสายตาวูบเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นอยู่ในสภาพไหน และสีหน้าของเขาที่ยืนมองหล่อนก็บ่งบอกว่างุนงงสุดขีด อาทิตย์ยืนอยู่กลางห้องในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวพันกายท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ ผมเปียกลู่ศีรษะจนเผยให้เห็นดวงหน้าคมสันเด่นชัด ในมือของเขายังมีผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือมาด้วย “เธอจะทำให้เสร็จในวันนี้หรือไง” “คุณไม่ได้บอกนี่คะว่าให้ทำจนถึงกี่โมง” “วันนี้พอได้แล้ว กลับไปได้” “แต่จิณยังไม่เหนื่อย จิณตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ งานจะได้เสร็จเร็วขึ้น ตอนนี้เพิ่งได้สี่กระถาง ยังเหลืออีกต
“จิณไว้ใจอาจารย์พริก” จิณณาอ้างถึงดร.พิจิกา เพราะหวังจะเรียกสติของอาทิตย์เป็นสำคัญ ด้วยคิดว่าทั้งสองคนคบหากัน อาทิตย์ต้องคิดอะไรได้บ้าง อย่างน้อยเขาคงจะลดคำพูดและกิริยาท่าทางที่ทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องอย่างที่เป็นอยู่ในบางเวลา หากถ้อยคำที่เขาตอบกลับมา จิณณารู้สึกว่ามันยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม “ยายพริกยิ่งซื่อ ยังเอาตัวเองไม่รอด แถมตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หลายวันก่อนบอกฉันว่าจะเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาหรือยังก็ไม่รู้ หายเงียบไปเลย แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ คิดหรือว่าเขาจะมาช่วยทัน” จิณณาเหลือบมองคนตัวโต เห็นสีหน้าของเขาเครียดขรึมต่างจากเดิม ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้ทำให้หล่อนสบายใจสักนิด “หยุดพูดเถอะค่ะ จิณกลัว” อาทิตย์ถอนหายใจ ไม่คิดจะขู่หล่อนหรอกนะ แต่บอกให้รู้ตัวว่าอย่าวางใจใครนัก...แม้แต่ตัวเขาเอง “แล้วนี่คุณจะไปไหนคะ” “สวนป่า เมื่อวานเธอไปกับส้มโอแล้วนี่” “เราไม่ได้มาทางนี้” “แน่นอน ฉันเห็นพวกเธอลุยป่าเข้าไปอีกฝั่ง ช่างกล้ากันจริงๆ ฉันดูอยู่จากหน้าต่างในห้องลอฟต์ นึกอยากจับมาฟา
หลังจากกลับจากสวนป่าด้วยกันในวันนั้น จิณณาก็ไม่เจอหน้าอาทิตย์อีกเลย มีเพียงข้อความที่เขาฝากไว้กับป้าแวว สั่งให้หล่อนทำงานในห้องลอฟต์ให้เสร็จ โดยไม่ต้องออกไปทำงานในไร่สตรอว์เบอร์รีอีกการไม่พบหน้าเขาทำให้จิณณาหายใจหายคอโล่งขึ้นเช่นกัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาช่วยหล่อนไม่ให้ลื่นตกไปในลำธาร ดวงหน้าผุดผ่องก็ร้อนเห่อขึ้น‘โอ๊ย!’เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดของเขายังดังก้องอยู่ในหู ในเวลานั้นจิณณาไม่กล้าลืมตามาเห็นความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หล่อนยังคงทอดตัวนิ่งอยู่บนความอบอุ่นที่รองรับอยู่หลายวินาทีกระทั่งรู้สึกถึงแรงโอบรัดรอบแผ่นหลัง จิณณาจึงสะดุ้ง ลืมตาขึ้นโดยพลันด้วยสัญชาตญาณของวัยสาวหากพริบตาเดียว ร่างของหล่อนก็ถูกพลิกลงไปอยู่เบื้องล่าง เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อรับรู้ว่าร่างกายและวิญญาณถูกครอบงำจนสูญสิ้นการควบคุมวงแขนแข็งแรงรัดร่างของหล่อนเอาไว้แน่น ดวงหน้าคมสันที่หล่อนเคยลอบมองอยู่หลายครั้งนั้นเคลื่อนมาใกล้ จิณณาหลับตาหนี แล้วริมฝีปากก็ถูกความรุ่มร้อนเข้าครอบครอง ประกบบดเบียดจนแน่นร่างกายของจิณณาเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไป
“คุณ!”จิณณาอึกอัก พูดต่อไม่ถูก จึงได้แต่หลบหน้าหลบตาความทรงจำน่าอายครั้งที่นัวเนียอยู่กับเขาตรงริมลำธารเด่นชัดขึ้นอีกหนแล้วคราวนี้หล่อนยังแอบมานอนหลับอยู่ในห้องแสนรักของเขาแถมเมื่อก้มมองตัวเองก็พบว่ายังเอาเครื่องนอนของเขามาใช้อีก...จิณณารู้สึกแย่กับตัวเองก็คราวนี้นี่แหละ“ขอโทษค่ะ จิณไม่ตั้งใจ”“ขอโทษเรื่องอะไร”อาทิตย์ถามเสียงเหมือนละเมอ ดวงตาคมจับจ้องอยู่กับดวงหน้าสวยที่เพิ่งตื่นนอน ผมยาวสยายดูยุ่งเหยิง...หากเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ“จิณมาแอบนอนหลับในห้องของคุณ ขอโทษนะคะ”“นั่นสิ ฉันต้องทำโทษเธอยังไง”เสียงของเขาแปลกไป จิณณาไม่ได้คิดไปเอง เมื่อเหลือบมองหน้าเขาก็พบสายตารุ่มร้อนแปลกๆ สายตาแบบนี้ทำให้จิณณาไม่อยากอยู่ใกล้เขาสักนิด พอเลื่อนสายตาลงต่ำ ดวงหน้าของหญิงสาวก็เห่อร้อนเสื้อเชิ้ตของเขาถูกปลดกระดุมตลอดแนว จนเห็นกล้ามท้องแข็งรำไรอยู่ข้างในแม้จะเคยเห็นเขาในสภาพเปลือยท่อนบนมาก่อน แต่มันต่างจากคราวนี้ จิณณากำลังรู้สึกเหมือนถูกเขย่าขวัญยิ่งกว่าครา
อาทิตย์มองร่างอวบอัดกลมกลึงในห่อผ้านวมที่ถอยไปซุกอยู่ตรงมุมห้องด้วยความสงสารและเกิดความรู้สึกหวงแหนขึ้นเต็มหัวใจ“ฉันขอโทษที่ฉวยโอกาสกับเธอ”ชายหนุ่มบอก ‘ขอโทษ’ เป็นครั้งที่สอง และทั้งสองครั้งนั้นเมื่อจิณณาได้ฟัง หล่อนก็ยิ่งน้ำตาซึมไหล จนเขาพูดต่อไม่ออก“คุณออกไป”แล้วนี่เป็นคำขอของหล่อนที่เขาให้ไม่ได้เช่นกัน เขาไม่อาจทิ้งจิณณาไว้ในห้องนี้ตามลำพังหลังจากเอาเปรียบหล่อนถึงสามครั้งติดกัน“ฉันต้องดูแลเธอ”“ไม่ต้อง!”เสียงแผ่วเครือสวนกลับทันที อาทิตย์ยกมุมปากยิ้ม ให้หล่อนต่อว่าและโต้กลับเขายังดีกว่าเห็นหล่อนเอาแต่นั่งซึมเศร้า“เอาละ ฉันจะพาเธอไปห้องนอน เธอต้องอยู่ในห้องนอนของฉัน คืนนี้ฉันยังไม่ให้เธอกลับไปห้องพักข้างล่าง”จบถ้อยคำนั้นหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาของหล่อนดูตื่นพิกล จนชายหนุ่มต้องเม้มริมฝีปากไว้แน่น“ฉันจะไม่รังแกเธอ” อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคืนนี้...อาทิตย์พูดต่อขึ้นในใจ “ฉันแค่อยากให้เธอพักผ่อนให้สบาย ห้องนอนของฉันนอนสบายกว่าห้
เสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาในหู จิณณาคิดว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะหล่อนพยายามปรือตาเปิด แต่รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้งเหลือเกิน ครั้นจะปล่อยตัวเองให้หลับต่อ จิตใต้สำนึกก็บอกว่าหล่อนนอนหลับมากเกินไปแล้ว ควรจะตื่นขึ้นได้สักทีหญิงสาวพยายามฝืนตัวเอง ค่อยๆ ปรือเปิดดวงตาขึ้นอีกรอบ กระทั่งทำได้สำเร็จ เพดานห้องสีขาวที่มีดวงไฟงดงามหรูหราปรากฏขึ้นในสายตา แล้วก็จดจำได้ต่อมาว่าหล่อนอยู่ที่ไหน“ตื่นแล้วหรือหนูจิณ ดูสิ ตัวก็ไม่ร้อน แต่นอนหลับนิ่งไปเลย”เสียงคุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนตรงหน้าผากทำให้จิณณาเบือนหน้าไปมอง แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็ชันกายขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย“อาจารย์พริก!”หล่อนตกใจ ไม่นึกว่าจะเห็นพิจิกาในห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของอาทิตย์ เพราะจิณณายังไม่มั่นใจในสิทธิ์ของตัวเองนัก“ทำไมทำหน้าตกใจ หนูจิณไม่ดีใจหรือที่เห็นฉัน ชักจะน้อยใจแล้วนะ”“ไม่ค่ะ หนูจิณ เอ่อ...นึกไม่ถึงว่าจะได้เจออาจารย์”“โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะหนูน้อย”พิจิ
หลังจากเรียกเด็กในบ้านให้พาจิณณาไปพักผ่อนแล้ว พอคล้อยหลังจิณณาไป คุณนายอรอรก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนจมอยู่กับความคิด ในขณะที่ลูกชายคนรองก็ยังนั่งปักหลักอยู่ข้างๆ ไม่ยอมลุกไปไหนเช่นกัน“แม่คิดว่าซ้ออายุสิบเจ็ดสิบแปดได้ยังไง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและเคยทำงานที่กรุงเทพฯ มาแล้ว”ข้อมูลที่ได้ยินนั้นทำให้เศรษฐีนีใหญ่เบิกตาโต แล้วหันขวับไปทางคนพูด“อ้าว! แล้วทำไมแกเพิ่งบอกฉัน ฉันอุตส่าห์ทำใจให้ยอมรับอยู่ตั้งนานว่าพี่แกไปฉวยเด็กมาทำเมีย เห็นหน้าตายังกับเพิ่งจบมัธยม แต่กิริยาท่าทางก็น่าเอ็นดู ผิดจากที่ฉันนึกภาพเอาไว้มาก แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าเป็นเด็กของหนูพิจิกาก็ต้องน่ารักไม่ต่างกัน ไม่งั้นจะให้ตามหลังกันได้ยังไง”“แม่ก็ยังเอ็นดูหนูพิจิกาของแม่ไม่เลิกนะ อย่าเผลอเอาเขาใส่พานให้นายอั๋นเข้าก็แล้วกัน จำไว้ว่าตอนนี้นายอั๋นมีเมียเรียบร้อยแล้ว”“เอาน่า ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แกก็บอกเองนี่ว่าพี่แกย้ำนักย้ำหนาว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่เคยคบหากัน”“นายอั๋นยืนยันตามนั้น ส่วนอีกคนผมไม่รู้ความรู้สึกเขาหรอก สนิทกันม
“หนูจิณไม่อยู่ ไม่มีใครเห็นว่าออกไปไหน มันเป็นไปได้ยังไง ทั้งในบ้านและไร่ของเราก็มีคนอยู่ตั้งมาก”อาทิตย์ออกอาการตกใจ เมื่อเรียกคนงานมาพร้อมหน้าเพื่อสอบถามว่าเห็นจิณณากันบ้างไหม และคำตอบก็ไปในทางเดียวกัน...ไม่มีใครรู้และไม่มีใครเห็นหล่อน“หนูจิณเอาโทรศัพท์ไปด้วยไหม แล้วคุณอั๋นโทร.หาเธอหรือยัง”ป้าแววที่ถูกตามมาจากบ้านพักกลางไร่ออกอาการร้อนรน นางเป็นห่วงจิณณาไม่น้อยกว่าใคร ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ยังโกรธอาทิตย์อยู่ เพิ่งบอกกับตัวเองว่าจะไม่พูดและไม่ยุ่งแล้วด้วยซ้ำ แต่พอไม่ทันข้ามวันก็กลับต้องมาช่วยกันเหมือนเดิม“ผมไม่มีเบอร์หนูจิณ”“แล้วเป็นผัวเมียประสาอะไร ไม่รู้เรื่องของเขาเลย”ป้าแววอดไม่ได้ที่จะบ่น ถ้าอาทิตย์จะโกรธนางอีกก็ตามใจ เพราะเหลืออดเต็มทนแล้วเหมือนกัน หากคราวนี้เจ้าของบ้านหนุ่มกลับก้มหน้ายอมรับผิดเสียง่ายๆ“ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้ใส่ใจหนูจิณอย่างที่ป้าพูดจริงๆ” อาทิตย์บอกเสียงอ่อนน้อม เพราะรู้สึกสำนึกผิด “เมื่อตอนเย็นผมก็ก้าวร้าวกับป้า ผมขอโทษด้วย&rd
และเวลานี้จิณณาก็ห่วงความรู้สึกของหญิงชราเช่นกัน รู้ดีว่าฝ่ายนั้นยอมออกปากพูดกับอาทิตย์เพราะหวังดีต่อทุกคน...โดยเฉพาะพิจิกาที่เป็นเจ้านายเก่าของป้าแววเองหญิงสาววางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง แล้วตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อเชิ้ตเข้ารูปกับกางเกงยีนออกมา แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ที่มีแบงก์ร้อยสามใบกับเหรียญอีกไม่กี่เหรียญวางเคียงกันอย่างเตรียมพร้อมบรรยากาศในตลาดประจำอำเภอช่วงเวลาเย็นนั้นค่อนข้างเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่านเช่นเวลาเช้า ร้านรวงปิดไปหมดแล้ว เหลือแต่ร้านค้าที่เป็นตึกแถวซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นที่พักอาศัยด้วยที่ยังเปิดอยู่จิณณาเดินผ่านไปเงียบๆ ละแวกนี้หล่อนคุ้นเคยดี เพราะเห็นจนชินตามาตั้งแต่จำความได้ ผู้คนล้วนแต่คุ้นหน้า แถมเวลานี้หล่อนก็สัมผัสได้ว่าสายตาบางคู่ก็กำลังมองตาม หากจิณณายังคงก้าวดุ่มๆ ตรงไป หล่อนไม่พร้อมจะทักทายกับใครทั้งสิ้น และยินดีที่ไม่ได้ยินเสียงทักถามจากพวกเขาหญิงสาวเดินไปหยุดตรงห้องแถวชั้นเดียว เมื่อกวาดสายตามองรอบตัว หล่อนก็เห็นความเก่าโทรมชัดตาขึ้น“มาถึงแล้วหรือ แล้วมายังไง มีใครมาส่งหรือเปล่า”ลัดดา...แม่วั
“เมื่อกี้ฉันโทร.ไป แกไม่ได้รับ ยุ่งอยู่หรือเปล่า”น้ำเสียงของแม่ผิดจากที่จิณณาคาด หล่อนคิดว่าแม่จะโกรธและเกรี้ยวกราดกับเรื่องที่หล่อนทำลงไปเสียอีก หากน้ำเสียงนั้นกลับทอดอ่อนเจือความอ่อนล้า วูบหนึ่งจิณณาก็รู้สึกผิด ขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสุขสบายในบ้านหลังใหญ่ ได้รับการดูแลอย่างดี แต่แม่ยังทำงานอย่างหนัก แม่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสามมาดักรอซื้อของจากพ่อค้าขายส่ง เพื่อจะนำมาขายบนแผงในช่วงเวลากลางวัน“ไม่ยุ่งค่ะ แม่สบายดีไหม”“ไม่เจ็บไม่ป่วย ฉันก็เป็นของฉันเหมือนเดิม แล้วแกล่ะ เป็นยังไงบ้าง”จิณณาเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลพรั่งพรูอีกคราว หล่อนอ้าปากจะตอบ แต่กลัวเสียงสะอื้นจะหลุดลอดออกไป“แกหายไปเลยนะ ทำงานกับใคร อยู่ที่ไหนก็ไม่โทร.มาบอกฉัน ถ้าพ่อแกไม่บังเอิญได้ยินคนในตลาดพูดถึงแก ฉันก็คงหูหนวกตาบอดไปอีกนาน”เป็นอย่างที่จิณณาคาดไว้ แม่รู้เรื่องของหล่อนจากพ่อเลี้ยงจริงๆ“แม่ผัวของแกมากว้านซื้อตึกแถวในตลาดเราไปหลายคูหา เห็นว่าจะทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่เป็นศูนย์การค้าขายจำพวกพืชผลทางเกษตรครบวงจร มีพวก
“พี่ไม่เข้าใจจิณ พี่คิดว่าเราเข้าใจกันแล้วเสียอีก”น้ำเสียงของอาทิตย์ติดจะตัดพ้อ จิณณาเมินหนี เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองใจอ่อน“มันเป็นไปไม่ได้...ไม่ได้เลย”“ตรงไหนที่คิดว่าไม่ได้ จิณติดขัดยังไง”“มันไม่เหมาะสมเลย จิณกับ...คนรอบตัวของจิณจะทำให้พี่อั๋นมัวหมอง ทำให้คุณนายเสื่อมเสีย แล้วทำให้อาจารย์พริกเสียชื่อเสียงไปด้วย”ต้นเหตุมาจากหล่อนคนเดียว การดื้อรั้นเดินไปข้างหน้าอาจทำให้ทุกคนที่หล่อนรักและเคารพต้องเสียหายไปด้วย“อธิบายให้เข้าใจกว่านี้ว่าพี่จะมัวหมองยังไง ทำไมแม่ของพี่ถึงจะได้รับผลกระทบไปด้วย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพริกตรงไหน”“จิณและครอบครัวของจิณต่างกับพี่อั๋นมาก จิณไม่เคยคิดเรื่องของเราสองคนว่าจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะจิณมองไม่เห็นทาง”“หนูจิณคิดมากไปเองนะ มันไม่มีปัญหาอะไรเลย พี่ไม่เคยคาดหวังให้ใครดีพร้อม เพราะพี่เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบเหมือนกัน พี่ต้องการแค่คนที่พี่รักและเขาก็รักพี่ เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเราสองคนมีความสุขเท่านั้นก็พอ”
จิณณาเลือกที่จะกอบโกยช่วงเวลาที่สร้างความสุขให้กับตัวเอง แม้ความรู้สึกหวั่นต่ออนาคตจะเข้ามาหาอยู่บ่อยครั้ง แล้วยังมีความรู้สึกผิดต่อแม่ที่หล่อนทำตัวออกนอกลู่นอกทางอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ยังเข้ามาสะกิดเตือน มันเป็นความหอมหวานที่ยังแทรกด้วยรสขมเพื่อให้หล่อนได้รู้ตัวอยู่เรื่อยๆในช่วงบ่ายของวันทำงาน คนงานในไร่ยังทำงานกันตามปกติ จิณณาใช้เวลาว่างของตัวเองหางานในบ้านทำไปด้วย และวันนี้หล่อนก็เช็ดฝุ่นตรงกรอบหน้าต่างเสร็จเป็นบานที่สามแล้วส่วนอาทิตย์ก็มักจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงานนานๆ บางครั้งเขาก็ประชุมทางไกลกับทีมงานที่อยู่คนละประเทศ เมื่อเขาทำงานอยู่ภายในบ้าน จิณณาจึงต้องอยู่ป้วนเปี้ยนไม่ห่างจากเขา เพราะเวลาชายหนุ่มเรียกหาหรือต้องการสิ่งใด หญิงสาวก็จะจัดหาให้เขา งานเหล่านี้ได้กลายเป็นหน้าที่ของหล่อนไปโดยปริยายเช่นกันจนเมื่อจิณณาเช็ดกระจกจนเมื่อยแขนก็คิดว่าจะเก็บงานที่เหลือไว้ทำต่อในวันพรุ่งนี้ หล่อนนำอุปกรณ์ทำงานไปทำความสะอาดแล้วเก็บเข้าที่ไว้ดังเดิม ก่อนจะเดินกลับมายังโถงบ้านอาทิตย์เดินลงบันไดมาพอดี จิณณาเห็นเข้าก็หยุดมองเขาด้วยความที่อยู่ด้วยกันแท
คนที่กำลังกุมเกมรักไล่สายตาหื่นกระหายทั่วกายสาว แผ่นหลังบางและเอวคอดกิ่ว ก่อนจะเคลื่อนมือร้อนผ่าวมาจับสะโพกผายงามจนมั่น แล้วเร่งจังหวะถี่กระชั้นซ้ำๆ เข้าหา หวังแกล้งเจ้าร่างงามจิณณาบิดกายเร่าอยู่เบื้องล่าง ความเสียววาบก่อตัวอยู่ในช่องท้อง ยิ่งสะโพกเพรียวแกร่งขยับเคลื่อนหมุนวนสลับกับการกระแทกซ้ำอย่างช่ำชอง แก่นกายยาวใหญ่อาละวาดอยู่ภายในช่องทางรัก ความคับแคบอุ่นนุ่มที่ชุ่มชื้นนั้นก็บีบกระชับ หญิงสาวกระตุกถี่เมื่อเขายิ่งเร่งจังหวะรัวเร็ว สะโพกสาวหนั่นแน่นกระเพื่อมไหวช่างเร้าใจนักแล้วการควบคุมของอาทิตย์ก็ขาดสะบั้น จากที่คิดเพียงจะแกล้งหญิงสาว หากเป็นเขาที่ตกหลุมพราง ถูกกับดักความอุ่นนุ่มและอ่อนหวานจนต้องเร่งจังหวะกระชั้นส่งหล่อนถึงเส้นชัย แล้วเคลื่อนไหวถี่แรงเพื่อปลดปล่อยตัวเองตามสงครามรักค่อยๆ สงบลง คงเหลือเพียงเสียงหายใจหอบของฝ่ายชายและเสียงครางแผ่วเหมือนแมวอิ่มจากหญิงสาว อ้อมกอดแข็งแรงยังคงโอบรัดร่างงามสะพรั่งไว้อย่างหวงแหน ชายหนุ่มกดจมูกโด่งลงตรงซอกคอระหง แล้วขบเม้มดูดดึงผิวนวลด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ“คนเจ้าเล่ห์”คำแรกจากหญิงส
“เกลียด!”“เกลียดพี่หรือ แล้วทำไมหนูจิณหน้าแดง”ชายหนุ่มจ้องมองใกล้ๆ เหมือนจะสำรวจตรวจตราหาทุกความรู้สึกที่ผุดออกมาจากดวงหน้าผุดผ่อง จนเจ้าหล่อนต้องผงะกายหนี กลัวใจคนบ้านี่จะทำอะไรอย่างไม่คาดคิด จิณณายังไม่อยากเสี่ยง เพราะบริเวณนี้ยังมีคนงานในไร่ป้วนเปี้ยนอยู่“เมื่อกี้พี่รอหนูจิณอยู่ที่บ้าน ห่วงจนจะบ้าตาย ไม่รู้ว่าร้อนหรือไม่สบายตัวหรือเปล่า ใจจริงพี่ไม่อยากให้ตากแดดตากลมหรอกนะ แต่ที่ให้มาเพราะเห็นว่าหนูจิณสนุกกับการทำงานในไร่” อาทิตย์บอกความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่อยากให้หญิงสาวเข้าใจเขาผิด คิดว่าเป็นจอมบงการไปเสียทุกเรื่อง “ที่พี่มารับให้กลับบ้านด้วยกัน หนูจิณเข้าใจพี่นะ”จิณณามองเขานิ่ง หล่อนเข้าใจความรู้สึกของอาทิตย์ตั้งแต่เห็นเขามาตามแล้วละ แต่ที่ยังต่อต้าน เพราะขัดใจกับการชอบสั่งของเขามากกว่าแต่พอเขาพูดออกมาตรงๆ อย่างนี้ มีหรือที่หล่อนจะไม่เข้าใจและเห็นใจเขา“หนูจิณก็อยู่ในไร่นี้ อยู่ใกล้พี่อั๋นอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องห่วง”“อยากให้ใกล้มากกว่านี้ พี่ชอบให้อยู่ด้วยกัน