แชร์

บทที่ 2

ผู้แต่ง: ลู่เหวินซี
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
“ตอนที่ฉันอายุสิบห้าก็รู้จักฉินเซียวแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขามานานที่สุด มีคุณสมบัติและประสบการณ์มากกว่าคุณเยอะ”

“อีกอย่าง...คุณแค่ถูกคนภายนอกลือว่าเป็นคู่หมั้นของเขา เขาไม่เคยยอมรับคุณในที่สาธารณะมาก่อนเลย”

คำพูดของฉันกระตุ้นความรู้สึกของสวี่เหวินไม่น้อย เธอเก็บท่าทีสูงส่งเสแสร้งแล้วตวาดด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “ไม่ช้าก็เร็วเขาจะแต่งงานกับฉัน และคุณก็เป็นแค่ยัยแก่ที่ถูกเขาเล่นจนเบื่อแล้ว เห็นคุณน่าสงสารถึงไม่ไล่คุณไป ฉันขอแนะนำว่าคุณอย่าได้คืบจะเอาศอกเลย”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณผ่านอะไรมาตลอดสองปีที่หายตัวไป ไม่แน่ว่าคงถูกผู้ชายนอนจนเบื่อไปนานแล้วก็ได้ ยังคิดจะแข่งกับฉันอีก...”

เธอพูดพลางเหลือบตามองไปด้านนอกประตู วินาทีต่อมา เธอก็หยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาราดใส่หน้าตัวเอง

“หนาวจัง”

ดวงหน้าเล็กงดงามของสวี่เหวินเปียกน้ำ เส้นผมและรองพื้นผสมปนเปกัน ให้ความรู้สึกเปราะบางอย่างบอกไม่ถูก

ฉินเซียวมองเห็นสภาพจนตรอกของเธอผ่านทางหน้าต่างห้องประชุมพอดี

เขาเตะประตูห้องประชุมบุกเข้ามาท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนจะกุมมือของสวี่เหวินไว้ “ใครทำ?”

เขาดูร้อนใจมาก โยนเอกสารในมือใส่หน้าฉัน จนเอกสารบาดแก้มของฉันทิ้งแผลเล็ก ๆ ไว้

เลือดไม่ไหล แต่ว่าเจ็บจนถึงกระดูก

สาวน้อยหน้าเคาน์เตอร์ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร ฉันปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากอธิบายว่า “เธอทำตัวเอง”

สวี่เหวินมองฉันโดยที่ขอบตาแดง “ใช่ ฉันทำเอง ฉันทำตัวเองทั้งหมด โอเคแล้วใช่ไหม”

“คุณดูถูกฉินเซียวว่าเป็นไอ้คนตาบอด ฉันทนไม่ไหวเลยปิดปากของคุณ คุณก็เอาน้ำราดฉัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉันทำตัวเอง”

น้ำเสียงของเธอเป็นการฟ้องอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอกลับดูอ่อนแอและน่าสงสาร

ช่วงเวลาที่มองไม่เห็นนั้นเป็นหนามในใจฉินเซียวมาโดยตลอด เขาเกลียดที่มีคนพูดถึงมันที่สุด โดยเฉพาะจากฉัน

สายตาของฉินเซียวจับจ้องไปที่ตัวสวี่เหวิน เขายกมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาที่แห้งกรังบนหางตาของเธอ “ฉันอยู่นี่ ไม่ต้องร้องไห้”

คำพูดนี้ฟังดูคุ้นมาก ตอนแรกที่พ่อแม่ของฉันเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต บ้านถูกญาติยึดไป เขาก็เคยเอ่ยคำพูดประโยคนี้ตอนที่เขานอนเป็นเพื่อนฉันบนระเบียงทางเดิน

ตราบใดที่เขาอยู่ ไม่ว่าความทุกข์ทรมานอะไร ฉันก็ยินดีรับหมด แต่น่าเสียดายที่หลายปีผ่านไป คำพูดเดิมยังคงอยู่ เพียงแต่คู่สัญญาเปลี่ยนไปแล้ว

ดูเหมือนว่าเขาปฏิบัติกับเธอไม่เหมือนเดิมแล้วจริง ๆ

ฉันจ้องมองทุกอย่างโดยที่ในใจไม่สะทกสะท้าน “ฉันมาหานายเพราะอยากให้นายช่วยเซ็นสัญญาฉบับหนึ่ง”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หากคุณรู้   บทที่ 3

    เขามองมาที่ฉัน ยิ้มไม่ถึงตา “สัญญาอะไร?”“ขอเงินหรือบ้าน แสร้งถือตัวมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็อดเอ่ยปากขอเงินไม่ได้แล้วสินะ?” ฉันชินกับการเยาะเย้ยถากถางของเขา และเขาก็พูดไม่ผิด หัวใจสำคัญของสัญญายังคงเป็นการขอเงิน“ไม่มีปัญหา ฉันรับปากกับเรื่องที่เธอขอได้ เงื่อนไขคือเธอขอโทษเหวินเหวินซะ”ฉินเซียวแค้นฉันมาตลอดที่ทอดทิ้งเขาในตอนแรก พอสบโอกาสหายากที่ทำให้ฉันอับอายได้ เขาจะพลาดไปได้อย่างไรฉันค่อย ๆ กำหมัดที่ห้อยอยู่สองฝั่งของร่างกายแน่นขึ้น “นายคิดว่าฉันรังแกเธอจริง ๆ เหรอ?” “ใช่หรือไม่ใช่มันไม่สำคัญ ตอนนี้ฉันแค่อยากให้เธอขอโทษ เธอจะขอโทษหรือไม่ขอโทษล่ะ?”เขาแค่อยากใช้โอกาสนี้ทำให้ฉันอับอาย เพียงเพื่อเอาใจผู้หญิงอีกคน หางตาของฉันแห้งผากเล็กน้อย ทันใดนั้นภาพที่แล่นวาบในสมองคือช่วงมัธยมปลาย เขาออกหน้าแทนฉัน สั่งสอนคนที่กลั่นแกล้งฉันตอนนั้นเขายังไม่ใช่ประธานฉินในเวลานี้ เด็กวัยรุ่นที่ยังไม่โตเต็มไวถูกคนรุ่นเดียวกันประมาณสามถึงห้าคนต่อยจนจมูกเขียวหน้าบวมช้ำ แต่เขายังคงอาศัยความกล้าหาญเดียวดายปกป้องฉันไว้ด้านหลัง “ขอโทษฟางมี่ซะ” เงาของฉินเซียวในช่วงเวลาที่แตกต่างกันค่อย ๆ ซ้อนทับก

  • หากคุณรู้   บทที่ 4

    ฉันเดินอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย ร่างกายเจ็บปวดจนยากจะทานทน ในช่วงที่พร่าเลือนนั้น ฉันเหมือนกับเห็นฉินเซียวในวัยสิบหกยืนอยู่ตรงหน้าฉันปีนั้นฉันเพิ่งเข้ามัธยมปลายมาได้ไม่นาน เนื่องจากพ่อแม่เสียชีวิตอย่างไม่มีเค้าลางล่วงหน้าจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันเลยซึมเศร้า นิสัยก็เก็บตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเซียวเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ อยู่ข้างบ้านฉันฐานะครอบครัวของเขาก็ไม่ดีเหมือนกัน พ่อหนีไปกับผู้หญิงอื่น แม่ก็อาศัยการทำงานเป็นแม่บ้านเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่เขากลับร่าเริงมองโลกในแง่ดี เมื่อเจอฉันก็ยิ้มให้ แต่ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเขาเลยจริง ๆสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขขึ้นมาได้เล็กน้อยคือการไปเก็บทับทิมที่ภูเขาหลังโรงเรียน ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ทับทิมเติบโตขึ้นจนทั้งแดงทั้งลูกใหญ่ฉันยังจำได้ว่าวันนั้นเป็นช่วงพลบค่ำพอดี ฉันปีนขึ้นต้นไม้อย่างยากลำบาก มือยังไม่ทันคว้าทับทิม ฉันก็พลัดตกลงมาจากต้นไม้แต่ความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุกลับไม่มา ฉันก้มหน้าลงมองก็พบว่าฉินเซียวที่หน้าซีดเผือดถูกฉันทับไว้ใต้ร่างอย่างแรง“ขอโทษนะ...”ตอนนั้นเขามีรูปร่างผอมบาง ถูกฉันกระแทกใส่จนกระดูกหักทันทีในห้อ

  • หากคุณรู้   บทที่ 5

    ฉันเดินเตร็ดเตร่อยู่เนิ่นนานถึงค่อยเจอที่อยู่ปัจจุบันจากในโทรศัพท์มือถือ ฉันกลับบ้านอย่างเชื่องช้าแล้วก็พบว่ามีคนอยู่ในห้องครัวฉินเซียวกลับมาแล้ว นับตั้งแต่ที่สวี่เหวินปรากฏตัวข้างกายเขาก็ไม่มานานมากแล้วเขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ถือขวดเหล้า สายตามองทะลุผ่านร่างฉันไปยังโต๊ะน้ำชาที่อยู่ข้างหลังเป็นทับทิมสองลูกที่ทั้งแดงทั้งลูกใหญ่ เหมือนกับที่ภูเขาหลังโรงเรียนในอดีต “กิน” เขามองลงมาพลางเอ่ยปาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยการไม่ยินยอมให้ปฏิเสธฉันไม่สนใจ เดินผ่านตัวเขา แต่ร่างกายถูกลากไปอย่างแรงนัยน์ตาของเขามีเปลวไฟสุมอยู่ “เมินฉัน? ยังคิดว่าฉันเป็นไอ้บอดที่มองไม่เห็นอีกหรือไง?” น้ำเสียด่าทออย่างรุนแรง เหมือนอยากจะฉีกคนเป็นชิ้น ๆเรื่องที่เขาเคยสูญเสียการมองเห็นเป็นจุดอ่อนของเขามาโดยตลอด เขาไม่เคยพูดถึงก่อนเลย นอกเสียจากว่าเจอเรื่องที่ทำให้โกรธมากเป็นพิเศษ ฉันตกตะลึง พยายามสุดชีวิตหวนนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน แต่ความทรงจำยังคงเลือนราง มีเพียงภาพโดด ๆ ที่จำได้ไม่กี่ภาพ“นายเป็นบ้าอะไร ฉันไปยั่วโมโหนายเหรอ?” เขาจับมือฉันไว้แน่น ฉันออกแรงสลัดออก สีหน้าก็เย็นชาลง “ฉันมึนหัวอยากนอ

  • หากคุณรู้   บทที่ 6

    ฉินเซียวตกตะลึง แต่ก็ยังรับสาย“ประธานฉิน มีเวลาว่างไหม ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของคุณกับเหวินเหวิน”เป็นประธานของซ่างซินกรุ๊ป พ่อของสวี่เหวินในคำเล่าลือที่โทรมา“ตอนนี้ผม...”“มาเถอะครับ กินข้าวเป็นแค่เรื่องเล็ก ผมยังอยากคุยกับคุณเรื่องรายละเอียดธุรกิจหน่อย”ฉินเซียวไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่มองฉัน เลื่อนโทรศัพท์มือถือไปทางด้านข้าง“ขอร้องฉันสิ ฟางมี่ ขอแค่เธอเอ่ยปาก ฉันก็จะปฏิเสธเขา”“ฉันจะไม่แต่งงานกับสวี่เหวิน และจะไม่มีใครอีก”ครั้งหนึ่ง เหมือนฉันก็เคยขอร้องเขาแบบนี้ในตอนที่เขากอดผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าต่อหน้าฉัน ฉันรวบรวมความกล้าอยากบอกเขาถึงสาเหตุที่ฉันจากไปโดยไม่บอกลาในตอนแรกแต่วันนั้น เขาพูดว่าอย่างไรนะ? เขาพูดว่า “ฟางมี่ เลิกหาข้ออ้างสักที”“คำพูดของคนหลอกลวง เธอคิดว่าฉันยังจะเชื่อเหรอ?” “อยากให้ฉันฟังเธออธิบาย งั้นก็คุกเข่าลงมาอ้อนวอนฉันสิ”เขาทำลายศักดิ์ศรีของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่พวกเราทะเลาะจนสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย เขายังเพ้อฝันว่าฉันจะไปอ้อนวอนเขาอีกฉันจ้องมองดวงตาคู่นั้นของเขา แล้วเอ่ยประณามทีละคำว่า “แตงกว่าเน่า ๆ ชิ้นหนึ่ง ไม่มี

  • หากคุณรู้   บทที่ 7

    หลายวันต่อมา รูปถ่ายของฉินเซียวกับประธานซ่างซินกรุ๊ปพบหน้ากันได้ขึ้นพาดหัวข่าวตามสื่อหลักต่าง ๆหลังจากนั้นเขากับสวี่เหวินยืนเคียงข้างกันรับสัมภาษณ์จากนักข่าว สวี่เหวินควงแขนของเขาอย่างสนิทสนม หนุ่มหล่อสาวสวยน่าอิจฉาเป็นที่สุด“คุณสวี่ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคุณฟางมี่บ้างไหม คุณมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า?” สวี่เหวินเอ่ยอย่างสง่างามใจกว้างว่า “สมัยนี้ไม่ว่าใครก็มีอดีตที่เลวร้ายทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือตอนนี้ฉันกับฉินเซียวหากันจนเจอ ใช้ชีวิตดี ๆ ในอนาคต คนที่ไม่สำคัญก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงอีกค่ะ” ฉันนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ ดูการสัมภาษณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หญิงสาวที่ยืนทำหน้าลำพองใจอย่างเต็มเปี่ยมด้านหลังฉันหนึ่งในนั้นแค่นเสียงเย็น แล้วเดินเข้ามาใกล้ฉัน “เดี๋ยวพี่เหวินก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของประธานฉินแล้ว บ้านหลังนี้ก็จะเป็นทรัพย์สินร่วมกันของพวกเขา คุณรีบฉวยโอกาสย้ายออกไปตอนนี้เถอะ” ฉันคร้านจะสนใจเธอ หยิบสมุดจดเล่มเล็กขึ้นมาจดบันทึก “วันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ฉินเซียวประกาศหมั้นกับผู้หญิงอื่น”วันสองวันนี้ ความทรงจำของฉันแย่ลงเรื่อย ๆ จำเป็นต้องใช้สมุ

  • หากคุณรู้   บทที่ 8

    วันนี้น่าจะเป็นวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ฉันลืมตามองปฏิทินในโทรศัพท์มือถือเมื่อฉันตื่นขึ้นมา มีหมอที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวยืนอยู่ข้างกายฉัน ฉันนึกขึ้นมาได้แล้ว เขาชื่อลี่หัง เป็นรุ่นพี่ของฉันและก็เป็นหมอเจ้าของไข้ของฉันด้วย ยังมีผู้ชายอีกคน...เวลานี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“บอกว่าเป็นลมก็เป็นลม ฟางมี่ เธอเริ่มเรียนการแสดงตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉันปวดหัวไปวินาทีหนึ่ง ในที่สุดก็นึกสถานะของเขาได้แล้ว“นายหมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ ยังมาหาฉันทำไมอีก?”ฉินเซียวหัวเราะ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “หลังจากที่ฉันมาส่งเธอ ได้ยินว่าช่วงนี้เธอมาหาไอ้ไก่อ่อนนี่บ่อย ๆ” “ก่อนหน้านี้ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่า สองปีที่หายตัวไปเธอใช้ชีวิตยังไง ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำตอบจะชัดเจนมากแล้ว”เขาเดินมาหาลี่หัง มองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรอย่างเต็มเปี่ยม “แต่น่าเสียดายนะ นายใช้การไม่ได้ สองปีก็ยังทำไม่สำเร็จ”“สุดท้ายฉันยังคงได้กำไร”คำบอกใบ้ชัดเจนทำให้ฉันปวดใจทันที ฉันหยิบหมอนขึ้นมาปาใส่เขา “ไปให้พ้น นายไสหัวไปเลยนะ”ฉินเซียวไม่หลบ รับการกระทำนี้ไว้เต็ม ๆ ร่างสูงของลี่หังขวางอยู่หน้าพวกเ

  • หากคุณรู้   บทที่ 9

    ลี่หังจองตั๋วเครื่องบินไปเยอรมนีในสัปดาห์หน้าให้ฉัน ก่อนออกเดินทาง ฉันซื้อมังคุดที่แม่ของฉินเซียวชอบกินที่สุดเตรียมตัวไปเยี่ยมหลุมศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายนี่ไม่เกี่ยวกับฉินเซียว เธอมีบุญคุณต่อฉัน แม่ของฉินเซียวถูกฝังอยู่ในสุสานหรูหราที่สุดในชานเมือง รอยยิ้มอบอุ่นและสงบสุขของเธอบนรูปภาพเหมือนกับในความทรงจำของฉันฉันก้มตัวกำลังคิดจะทำความสะอาดหลุมศพ ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “คุณฟาง คุณมาได้ยังไง”เป็นสวี่เหวิน เธอพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ทำความสะอาดหลุมศพให้แม่สามีฉันเหรอ คุณใจดีจริง ๆ แต่ว่าต่อไปไม่จำเป็นแล้ว ฉันจะส่งคนมาทำความสะอาดเอง”เธอทิ้งดอกไม้ที่ฉันนำมาไว้ทางด้านข้างต่อหน้าฉัน สายตาของฉันเหลือบมองข้อมือของเธอ สร้อยข้อมือที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน ฉันกำหมัดแน่นทันที “สร้อยข้อมือเส้นนี้อยู่ที่คุณได้ยังไง?” สวี่เหวินแสดงท่าทีภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉินเซียวมอบให้ฉัน เขาบอกว่าเป็นของที่แม่เขามอบให้ลูกสะใภ้ในอนาคต” “ผิดแล้ว ไม่ใช่แบบนี้...” สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของที่แม่ของเขามอบให้ฉัน ฉินเซียวไม่มีสิทธิ์มอบมันให้ใคร “ฉินเซียวล่ะ คุณบอกฉันมา เขาไปไหนแล้ว

  • หากคุณรู้   บทที่ 10

    น่ารำคาญจัง ฉันได้ยินเสียงทะเลาะกันฉันที่อยู่ในอาการโคม่า ไม่ง่ายเลยกว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ แล้วก็เห็นชายหน้าตาดีสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้าฉันใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยสีสัน ยามเข้ามาแยกพวกเขาออกจากกัน แล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความระมัดระวังว่า “ทุกคนใจเย็น ๆ ครับ มีอะไรก็พูดกันดี ๆ”ฉันลุกขึ้นนั่ง มองชายที่สวมชุดกาวน์สีขาว แล้วยื่นมือเรียกเขาให้เข้ามาแต่ชายอีกคนที่ใส่สูทกลับตื่นเต้นมากขึ้น เขาคุกเข่าลงดังตุบหน้าเตียงผู้ป่วยของฉัน น้ำมูกน้ำตาไหลเต็มหน้า “เสี่ยวมี่ เธอยังจำฉันได้ไหม”เสี่ยวมี่?ทำไมมีคนเรียกฉันแบบนี้ฉันขมวดคิ้วและดึงมือที่ถูกเขากุมไว้กลับมา“คุณเป็นใคร”“ฉันรู้จักคุณด้วยเหรอ?”“รุ่นพี่ลี่ คุณผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของคุณเหรอคะ?”ฉันเหม่อลอยเล็กน้อย ในสมองว่างเปล่าลี่หังก้าวเท้าใหญ่ ๆ เดินเข้ามา หน้าซีดเผือดเล็กน้อย “ฟางมี่ เธอพูดอะไรน่ะ เธอจำเขาไม่ได้จริง ๆ เหรอ?”ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ขบคิดให้ละเอียด แต่ก็ยังไม่รู้จักจริง ๆฉินเซียวตะโกนเสียงดังทันที “ลี่หัง เป็นฝีมือนาย นายทำให้เสี่ยวมี่ลืมฉัน ทั้งหมดนี้เป็นแผนของนาย”“พูดเหลวไหล คุณเป็นคนยั่วโมโหเธอ คุณไม่

บทล่าสุด

  • หากคุณรู้   บทที่ 12

    ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา ฉินเซียวและสวี่เหวินก็หายไปแล้วตอนที่ฉินเซียวจากไป เขาสัญญากับฉันว่า "เสี่ยวมี่ เธอรอฉันกลับมา ฉันจะอธิบายให้เธอฟัง เธออย่าลืมฉันนะ เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอพูด"จำได้แล้วอย่างไร จำไม่ได้แล้วอย่างไร ฉันไม่สนใจแล้วหลังจากนั้นสามวัน ฉินเซียวก็ไม่โผล่มาอีกเด็กย่อมรักษาไว้ไม่ได้ ฉันไม่ได้ร้องไห้หรือฟูมฟาย ยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วมีหลายครั้งที่รุ่นพี่ลี่หังอยากพูดอะไรบางอย่างกับฉัน แต่ฉันก็ส่ายหน้าห้ามไว้ไม่ง่ายเลยกว่าสภาพจิตใจของฉันจะดีขึ้น อย่าพูดถึงตัวซวยต่อหน้าฉันอีกรุ่นพี่ลี่หังเริ่มเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับสถานพักฟื้นที่ฉันจะไปอยู่หลังจากไปประเทศ D“สภาพแวดล้อมดีมาก มีทั้งอาหารจีนและอาหารฝรั่ง มีหมอมาตรวจทุกวัน และจะมีการจัดท่องเที่ยวทุกไตรมาส พอถึงตอนนั้นฉันจะพาเธอไป แล้วฉวยโอกาสเที่ยวเล่นให้ทั่วยุโรปเลย”ฉันเบ้ปาก ไม่สนใจเลย “ยังไงก็ได้ ถึงยังไงหลังจากไปแล้ว ฉันก็จะลืมอยู่ดี”พอรู้ตัวว่าพูดผิดไป ฉันก็รีบหาคำพูดเสริมว่า “แต่ว่าตราบใดที่อยู่กับรุ่นพี่ ฉันก็มีความสุขมากแล้ว”เขากัดฟันกราม ผ่านไปพักใหญ่ถึงค่อยกล่าวประโยคนี้ออกมา “นับว

  • หากคุณรู้   บทที่ 11

    ฉันท้องแล้วตอนที่รู้เรื่องนี้ ฉันเกือบจะเป็นลมฉันไม่มีแม้แต่แฟน แล้วจะท้องได้อย่างไรลี่หังกังวลมาก พาฉันไปทำการตรวจทีละอย่างฉินเซียวเองก็ไม่มีความสุขเช่นกัน แววตาที่มองฉันเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายเกินไป รู้สึกเหมือนกับว่าสามารถร้องไห้ออกมาได้ในวินาทีต่อมา“ทำไมฉันถึงมีลูกได้ คุณรู้ไหมว่าเป็นลูกของใคร?”ฉันไว้ใจแค่ลี่หัง แต่เขาไม่ยอมบอกฉัน เขาแค่พูดเรียบ ๆ ว่าสุขภาพร่างกายของฉันไม่ดี อาจจะเก็บเด็กไว้ไม่ได้เฮ้อ เก็บไว้ไม่ได้ก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเกิดมาแล้วฉันก็เลี้ยงดูเธอไม่ได้อยู่ดีฉันนอนแล้วก็กิน กินแล้วก็นอนอย่างไม่คิดอะไรมาก ถึงแม้ฉันมักจะลืมเรื่องราวต่าง ๆ แต่ทุกวันก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากจนกระทั่งวันหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น“ฟางมี่ คุณตั้งใจใช่ไหม ใช้ลูกผูกมัดผู้ชายไว้ ต่ำช้าจริง ๆ”เธอหน้าตาดีมาก แต่ท่าทีของเธอที่มีต่อฉันเรียกได้ว่าไม่เป็นมิตรเลยจริง ๆ ฉันไม่อยากสนใจเธอ แต่เธอกลับไม่ยอมเลิกรา“คุณพูดสิ แกล้งทำตัวเป็นใบ้ก็ไม่มีประโยชน์ แค่ท้องไม่ใช่หรือไง คุณคิดว่าแค่คุณคนเดียวจะคลอดลูกได้เหรอ?”เธอโยนใบผลตรวจร่างกายให้ฉัน บนนั้นเขียนไว้ว่าผู้หญิงที่ช

  • หากคุณรู้   บทที่ 10

    น่ารำคาญจัง ฉันได้ยินเสียงทะเลาะกันฉันที่อยู่ในอาการโคม่า ไม่ง่ายเลยกว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ แล้วก็เห็นชายหน้าตาดีสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้าฉันใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยสีสัน ยามเข้ามาแยกพวกเขาออกจากกัน แล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความระมัดระวังว่า “ทุกคนใจเย็น ๆ ครับ มีอะไรก็พูดกันดี ๆ”ฉันลุกขึ้นนั่ง มองชายที่สวมชุดกาวน์สีขาว แล้วยื่นมือเรียกเขาให้เข้ามาแต่ชายอีกคนที่ใส่สูทกลับตื่นเต้นมากขึ้น เขาคุกเข่าลงดังตุบหน้าเตียงผู้ป่วยของฉัน น้ำมูกน้ำตาไหลเต็มหน้า “เสี่ยวมี่ เธอยังจำฉันได้ไหม”เสี่ยวมี่?ทำไมมีคนเรียกฉันแบบนี้ฉันขมวดคิ้วและดึงมือที่ถูกเขากุมไว้กลับมา“คุณเป็นใคร”“ฉันรู้จักคุณด้วยเหรอ?”“รุ่นพี่ลี่ คุณผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของคุณเหรอคะ?”ฉันเหม่อลอยเล็กน้อย ในสมองว่างเปล่าลี่หังก้าวเท้าใหญ่ ๆ เดินเข้ามา หน้าซีดเผือดเล็กน้อย “ฟางมี่ เธอพูดอะไรน่ะ เธอจำเขาไม่ได้จริง ๆ เหรอ?”ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ขบคิดให้ละเอียด แต่ก็ยังไม่รู้จักจริง ๆฉินเซียวตะโกนเสียงดังทันที “ลี่หัง เป็นฝีมือนาย นายทำให้เสี่ยวมี่ลืมฉัน ทั้งหมดนี้เป็นแผนของนาย”“พูดเหลวไหล คุณเป็นคนยั่วโมโหเธอ คุณไม่

  • หากคุณรู้   บทที่ 9

    ลี่หังจองตั๋วเครื่องบินไปเยอรมนีในสัปดาห์หน้าให้ฉัน ก่อนออกเดินทาง ฉันซื้อมังคุดที่แม่ของฉินเซียวชอบกินที่สุดเตรียมตัวไปเยี่ยมหลุมศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายนี่ไม่เกี่ยวกับฉินเซียว เธอมีบุญคุณต่อฉัน แม่ของฉินเซียวถูกฝังอยู่ในสุสานหรูหราที่สุดในชานเมือง รอยยิ้มอบอุ่นและสงบสุขของเธอบนรูปภาพเหมือนกับในความทรงจำของฉันฉันก้มตัวกำลังคิดจะทำความสะอาดหลุมศพ ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “คุณฟาง คุณมาได้ยังไง”เป็นสวี่เหวิน เธอพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ทำความสะอาดหลุมศพให้แม่สามีฉันเหรอ คุณใจดีจริง ๆ แต่ว่าต่อไปไม่จำเป็นแล้ว ฉันจะส่งคนมาทำความสะอาดเอง”เธอทิ้งดอกไม้ที่ฉันนำมาไว้ทางด้านข้างต่อหน้าฉัน สายตาของฉันเหลือบมองข้อมือของเธอ สร้อยข้อมือที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน ฉันกำหมัดแน่นทันที “สร้อยข้อมือเส้นนี้อยู่ที่คุณได้ยังไง?” สวี่เหวินแสดงท่าทีภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉินเซียวมอบให้ฉัน เขาบอกว่าเป็นของที่แม่เขามอบให้ลูกสะใภ้ในอนาคต” “ผิดแล้ว ไม่ใช่แบบนี้...” สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของที่แม่ของเขามอบให้ฉัน ฉินเซียวไม่มีสิทธิ์มอบมันให้ใคร “ฉินเซียวล่ะ คุณบอกฉันมา เขาไปไหนแล้ว

  • หากคุณรู้   บทที่ 8

    วันนี้น่าจะเป็นวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ฉันลืมตามองปฏิทินในโทรศัพท์มือถือเมื่อฉันตื่นขึ้นมา มีหมอที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวยืนอยู่ข้างกายฉัน ฉันนึกขึ้นมาได้แล้ว เขาชื่อลี่หัง เป็นรุ่นพี่ของฉันและก็เป็นหมอเจ้าของไข้ของฉันด้วย ยังมีผู้ชายอีกคน...เวลานี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“บอกว่าเป็นลมก็เป็นลม ฟางมี่ เธอเริ่มเรียนการแสดงตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉันปวดหัวไปวินาทีหนึ่ง ในที่สุดก็นึกสถานะของเขาได้แล้ว“นายหมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ ยังมาหาฉันทำไมอีก?”ฉินเซียวหัวเราะ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “หลังจากที่ฉันมาส่งเธอ ได้ยินว่าช่วงนี้เธอมาหาไอ้ไก่อ่อนนี่บ่อย ๆ” “ก่อนหน้านี้ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่า สองปีที่หายตัวไปเธอใช้ชีวิตยังไง ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำตอบจะชัดเจนมากแล้ว”เขาเดินมาหาลี่หัง มองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรอย่างเต็มเปี่ยม “แต่น่าเสียดายนะ นายใช้การไม่ได้ สองปีก็ยังทำไม่สำเร็จ”“สุดท้ายฉันยังคงได้กำไร”คำบอกใบ้ชัดเจนทำให้ฉันปวดใจทันที ฉันหยิบหมอนขึ้นมาปาใส่เขา “ไปให้พ้น นายไสหัวไปเลยนะ”ฉินเซียวไม่หลบ รับการกระทำนี้ไว้เต็ม ๆ ร่างสูงของลี่หังขวางอยู่หน้าพวกเ

  • หากคุณรู้   บทที่ 7

    หลายวันต่อมา รูปถ่ายของฉินเซียวกับประธานซ่างซินกรุ๊ปพบหน้ากันได้ขึ้นพาดหัวข่าวตามสื่อหลักต่าง ๆหลังจากนั้นเขากับสวี่เหวินยืนเคียงข้างกันรับสัมภาษณ์จากนักข่าว สวี่เหวินควงแขนของเขาอย่างสนิทสนม หนุ่มหล่อสาวสวยน่าอิจฉาเป็นที่สุด“คุณสวี่ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคุณฟางมี่บ้างไหม คุณมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า?” สวี่เหวินเอ่ยอย่างสง่างามใจกว้างว่า “สมัยนี้ไม่ว่าใครก็มีอดีตที่เลวร้ายทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือตอนนี้ฉันกับฉินเซียวหากันจนเจอ ใช้ชีวิตดี ๆ ในอนาคต คนที่ไม่สำคัญก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงอีกค่ะ” ฉันนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ ดูการสัมภาษณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หญิงสาวที่ยืนทำหน้าลำพองใจอย่างเต็มเปี่ยมด้านหลังฉันหนึ่งในนั้นแค่นเสียงเย็น แล้วเดินเข้ามาใกล้ฉัน “เดี๋ยวพี่เหวินก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของประธานฉินแล้ว บ้านหลังนี้ก็จะเป็นทรัพย์สินร่วมกันของพวกเขา คุณรีบฉวยโอกาสย้ายออกไปตอนนี้เถอะ” ฉันคร้านจะสนใจเธอ หยิบสมุดจดเล่มเล็กขึ้นมาจดบันทึก “วันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ฉินเซียวประกาศหมั้นกับผู้หญิงอื่น”วันสองวันนี้ ความทรงจำของฉันแย่ลงเรื่อย ๆ จำเป็นต้องใช้สมุ

  • หากคุณรู้   บทที่ 6

    ฉินเซียวตกตะลึง แต่ก็ยังรับสาย“ประธานฉิน มีเวลาว่างไหม ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของคุณกับเหวินเหวิน”เป็นประธานของซ่างซินกรุ๊ป พ่อของสวี่เหวินในคำเล่าลือที่โทรมา“ตอนนี้ผม...”“มาเถอะครับ กินข้าวเป็นแค่เรื่องเล็ก ผมยังอยากคุยกับคุณเรื่องรายละเอียดธุรกิจหน่อย”ฉินเซียวไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่มองฉัน เลื่อนโทรศัพท์มือถือไปทางด้านข้าง“ขอร้องฉันสิ ฟางมี่ ขอแค่เธอเอ่ยปาก ฉันก็จะปฏิเสธเขา”“ฉันจะไม่แต่งงานกับสวี่เหวิน และจะไม่มีใครอีก”ครั้งหนึ่ง เหมือนฉันก็เคยขอร้องเขาแบบนี้ในตอนที่เขากอดผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าต่อหน้าฉัน ฉันรวบรวมความกล้าอยากบอกเขาถึงสาเหตุที่ฉันจากไปโดยไม่บอกลาในตอนแรกแต่วันนั้น เขาพูดว่าอย่างไรนะ? เขาพูดว่า “ฟางมี่ เลิกหาข้ออ้างสักที”“คำพูดของคนหลอกลวง เธอคิดว่าฉันยังจะเชื่อเหรอ?” “อยากให้ฉันฟังเธออธิบาย งั้นก็คุกเข่าลงมาอ้อนวอนฉันสิ”เขาทำลายศักดิ์ศรีของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่พวกเราทะเลาะจนสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย เขายังเพ้อฝันว่าฉันจะไปอ้อนวอนเขาอีกฉันจ้องมองดวงตาคู่นั้นของเขา แล้วเอ่ยประณามทีละคำว่า “แตงกว่าเน่า ๆ ชิ้นหนึ่ง ไม่มี

  • หากคุณรู้   บทที่ 5

    ฉันเดินเตร็ดเตร่อยู่เนิ่นนานถึงค่อยเจอที่อยู่ปัจจุบันจากในโทรศัพท์มือถือ ฉันกลับบ้านอย่างเชื่องช้าแล้วก็พบว่ามีคนอยู่ในห้องครัวฉินเซียวกลับมาแล้ว นับตั้งแต่ที่สวี่เหวินปรากฏตัวข้างกายเขาก็ไม่มานานมากแล้วเขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ถือขวดเหล้า สายตามองทะลุผ่านร่างฉันไปยังโต๊ะน้ำชาที่อยู่ข้างหลังเป็นทับทิมสองลูกที่ทั้งแดงทั้งลูกใหญ่ เหมือนกับที่ภูเขาหลังโรงเรียนในอดีต “กิน” เขามองลงมาพลางเอ่ยปาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยการไม่ยินยอมให้ปฏิเสธฉันไม่สนใจ เดินผ่านตัวเขา แต่ร่างกายถูกลากไปอย่างแรงนัยน์ตาของเขามีเปลวไฟสุมอยู่ “เมินฉัน? ยังคิดว่าฉันเป็นไอ้บอดที่มองไม่เห็นอีกหรือไง?” น้ำเสียด่าทออย่างรุนแรง เหมือนอยากจะฉีกคนเป็นชิ้น ๆเรื่องที่เขาเคยสูญเสียการมองเห็นเป็นจุดอ่อนของเขามาโดยตลอด เขาไม่เคยพูดถึงก่อนเลย นอกเสียจากว่าเจอเรื่องที่ทำให้โกรธมากเป็นพิเศษ ฉันตกตะลึง พยายามสุดชีวิตหวนนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน แต่ความทรงจำยังคงเลือนราง มีเพียงภาพโดด ๆ ที่จำได้ไม่กี่ภาพ“นายเป็นบ้าอะไร ฉันไปยั่วโมโหนายเหรอ?” เขาจับมือฉันไว้แน่น ฉันออกแรงสลัดออก สีหน้าก็เย็นชาลง “ฉันมึนหัวอยากนอ

  • หากคุณรู้   บทที่ 4

    ฉันเดินอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย ร่างกายเจ็บปวดจนยากจะทานทน ในช่วงที่พร่าเลือนนั้น ฉันเหมือนกับเห็นฉินเซียวในวัยสิบหกยืนอยู่ตรงหน้าฉันปีนั้นฉันเพิ่งเข้ามัธยมปลายมาได้ไม่นาน เนื่องจากพ่อแม่เสียชีวิตอย่างไม่มีเค้าลางล่วงหน้าจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันเลยซึมเศร้า นิสัยก็เก็บตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเซียวเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ อยู่ข้างบ้านฉันฐานะครอบครัวของเขาก็ไม่ดีเหมือนกัน พ่อหนีไปกับผู้หญิงอื่น แม่ก็อาศัยการทำงานเป็นแม่บ้านเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่เขากลับร่าเริงมองโลกในแง่ดี เมื่อเจอฉันก็ยิ้มให้ แต่ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเขาเลยจริง ๆสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขขึ้นมาได้เล็กน้อยคือการไปเก็บทับทิมที่ภูเขาหลังโรงเรียน ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ทับทิมเติบโตขึ้นจนทั้งแดงทั้งลูกใหญ่ฉันยังจำได้ว่าวันนั้นเป็นช่วงพลบค่ำพอดี ฉันปีนขึ้นต้นไม้อย่างยากลำบาก มือยังไม่ทันคว้าทับทิม ฉันก็พลัดตกลงมาจากต้นไม้แต่ความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุกลับไม่มา ฉันก้มหน้าลงมองก็พบว่าฉินเซียวที่หน้าซีดเผือดถูกฉันทับไว้ใต้ร่างอย่างแรง“ขอโทษนะ...”ตอนนั้นเขามีรูปร่างผอมบาง ถูกฉันกระแทกใส่จนกระดูกหักทันทีในห้อ

DMCA.com Protection Status