จุมพิตายืนขาสั่นอยู่ตรงหน้าร่างสูงใหญ่ที่แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวของเขาลดลง กลับทำให้เขาดูทรงอำนาจน่าเกรงขามมากกว่าเดิมหลายเท่านัก เหมือนว่าเขากำลังอ่านเอกสารสำคัญอะไรสักอย่างและยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นพูดอะไรกับเธอ ทำให้จุมพิตามีโอกาสได้สังเกตเขาอย่างละเอียดลออ
ใบหน้าเรียวยาวได้รูปมีเครื่องหน้าที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็นโค้งคิ้วดกหนาที่พาดยาวเหนือดวงตาคมใหญ่สีเทาเข้ม จมูกโด่งสวยคมสันไม่งองุ้มเขามีจมูกที่สวยมากเธอยอมรับโดยไม่มีข้อกังขา และแอบอิจฉาทั้งค่อนขอดว่าพระเจ้าช่างลำเอียงที่ประทานจมูกสวยๆ ให้เขาไปเสียหมด อีกทั้งริมฝีปากหยักสีชมพูเข้มอย่างคนสุขภาพดีนั่นอีก มันสวยกว่าปากของผู้หญิงบางคนเสียอีกที่สำคัญริมฝีปากคู่นี้ช่างร้ายกาจเสียนัก..
“มองพอรึยัง..”
เสียงห้าวดังขึ้นทำให้จุมพิตาสะดุ้งตื่นจากภวังค์กะพริบตาปริบๆ ก้มหน้างุดอย่างขัดเขินเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา
“คนบ้าจะเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่ยอมบอก” หญิงสาวทำปากขมิบขมิบ
“มานี่สิ” เขาเรียกจุมพิตาขยับไปข้างหน้าเล็กน้อยแต่ยังไม่เงยหน้ามองเขา
“ใกล้เข้ามาอีก”
พยัคฆ์ย้ำหญิงสาวก็ก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าว แล้วจุมพิตาก็ต้องตาโตด้วยความตกใจเมื่อคนที่คิดว่ายังอยู่ห่างจากตนเป็นวา เข้ามาถึงตัวเธอในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากที่ได้ยินเสียงเขาสบถในลำคออย่างฉุนเฉียวเมื่อกี้..
“คิดจะยั่วประสาทฉันเหรอ ฮึ จุมพิตา..”
“ปละ เปล่านะคะ คือจะ จ๋อม คือฉัน..”
หญิงสาวพูดไม่ออกทั้งยันแผงอกกว้างของเขาไว้กลัวว่ามันจะมาสัมผัสกับอกนุ่มของตนที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตของเขากางกั้น ดีที่ว่าบนเรือนนี้เธอเห็นว่ามีเพียงผู้หญิงทั้งสาวใช้และคนทำสวน หรืออาจจะเพราะงานไม่ได้หนักหนาอะไรเขาจึงจ้างเฉพาะผู้หญิงซึ่งมันทำให้เธอโล่งใจอยู่ไม่น้อยเพราะหากมีผู้ชายสักคนบนเรือนนอกจากเขากับบิดา เธอคงทำหน้าไม่ถูก
“เห็นรึยังว่าพ่อเธอยังไม่ตาย และฉันยังใจดีจ้างพยาบาลมาดูแลพ่อของเธอด้วย ทั้งที่เธอเป็นเชลยของฉัน เห็นมั้ยว่าเธอได้เปรียบเห็นๆ เลยนะ”
คำพูดที่เหมือนทวงบุญคุณและหยิ่งโอหังทำให้จุมพิตาอยากตะกุยหน้าหล่อๆ นั่นนัก
ได้เปรียบเหรอ เธอได้เปรียบตรงไหนกัน... เธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยแถมยังโดนกล่าวหาและถูกจับตัวมาเป็นเชลยของเขาให้เขาปู้ยี่ปู้ยำนี่นะ เรียกว่าได้เปรียบ..
“ไม่เห็นว่าจะได้เปรียบตรงไหน คุณพูดเองเออเอง” กล้าที่จะเถียงเขาบ้างแล้วหญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ
“หรือเธออยากให้พ่อเธอตายล่ะ ก็ได้นะฉันทำได้หากเธอตุกติกอะไร”
“คนอย่างฉันจะไปตุกติกอะไรกับคุณได้ ฉันมันก็แค่ลูกไก่ตัวเล็กๆ ในกำมือของคุณ แถมยังเป็นแพะรับบาปที่ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าฉันไปทำอะไรให้คุณ..”
พูดไปก็ก้าวตามคนตัวโตไปเมื่อเขารั้งเธอไปยังโซฟาตัวใหญ่มุมระเบียงห้องทำงานที่มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามด้านนอกได้สุดลูกหูลูกตา รอบกายเธองดงามน่าชื่นชมแต่หญิงสาวไม่มีอารมณ์จะชายตาดื่มด่ำกับความงามเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงนั่งลงโดยรั้งให้เธอนั่งคร่อมตักกว้างของเขาและแน่นอนจุมพิตาไม่มีทางได้ขัดขืน
“พูดเก่งนี่ หรือว่าเก่งทุกเรื่องนะ”
“คุณต้องการอะไรกันแน่ และฉันไปทำอะไรให้คุณ”
จุมพิตาอดรนทนไม่ได้เมื่อเขาทำท่าจะนอกเรื่องและมือใหญ่ก็เริ่มยุ่งวุ่นวายกับเนื้อตัวเธอ
“ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่”
“ถ้าคุณจะกรุณา..”
หญิงสาวค้อนเขาอย่างอดไม่ได้ทั้งเอนกายหนีใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ใจสั่นสะท้านเต้นระรัวจนเหนื่อยหอบ คนอะไรหล่อเป็นบ้า ยิ่งมองยิ่งหล่อ จุมพิตาบอกตัวเองทั้งยังพยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวกับเขา
“สร้อยเส้นนั้น เธอเอามันไปให้ใคร”
“สร้อย สร้อยอะไรคะ”
“สร้อยเพชรชมพู ที่น้องของเธอฉกไปจากกระเป๋าของฉันไปให้เจ้านายเธอไงล่ะ เธอเอามันไปส่งให้ใคร”
“น้องชายฉันไปเอาของคุณมาตอนไหน แล้วฉันก็ส่งของให้เจ้านายฉันเยอะแยะ ฉันจะรู้ได้ไงว่าอันไหนมันของคุณ และเจ้านายฉันไม่มีทางรับซื้อของโจรแน่ๆ”
หญิงสาวหน้าตื่นไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่เขาบอกมานั้นเป็นเรื่องจริง
“น้องชายเธอขโมยมันไปวันนั้น..”
“อย่ามาใส่ร้ายเรานะ จ้อยไม่มีวันทำแบบนั้น”
“ไม่ทำเหรอ เธอจะดูกล้องวงจรปิดของตลาดมั้ย โชคร้ายหน่อยนะที่ตรงนั้นมันมีกล้องวงจรปิดอยู่ น้องชายเธอฉกมันไปจากกระเป๋าเสื้อของฉัน” เขายืนยันแววตาจริงจัง
“ถ้าของมันมีค่ากับคุณขนาดนั้นทำไมเอามันออกมาเดินตลาดด้วยล่ะ คนโง่ๆ เท่านั้นล่ะจะทำกันแบบนั้น”
อดไม่ได้จุมพิตาก็สวนกลับไปด้วยความโมโห ถึงเธอจะเป็นเพียงแค่เด็กส่งของให้ร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงที่สุดในตลาดไม่ได้เรียบจบปริญญาตรีแต่เธอก็มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเหมือนกัน
“ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครมาเถียงฉันฉอดๆ และว่าฉันโง่แบบนี้เลยนะ เธอกล้ามากแม่สาวน้อย”
“ฉันไม่ได้เถียงนะ แค่พูดตามความจริง ถึงฉันกับน้องจะหาเช้ากินค่ำ แต่เราไม่ใช่หัวขโมยและไม่ได้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎด้วย”
“ในเมื่อเธอมั่นใจว่าน้องชายของเธอบริสุทธิ์ เธอก็ดูนั่นสิ..”
พูดจบเขาก็จับร่างเธอหันหลังกลับแต่ก็ยังคร่อมตักกว้างเช่นเดิม และเมื่อหันมาทีวีจอใหญ่ราวจอภาพยนตร์ในโรงก็ปรากฏภาพของน้องชายเธอในขณะที่วิ่งกลับมาหาเธอช่วงเวลาเดียวกับที่เขาช่วยดึงเธอไว้ไม่ให้ล้มลงไป แล้วพยัคฆ์ก็หยุดภาพไว้แล้วซูมภาพเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าจ้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขาและในมือของน้องชายมีอะไรบางอย่างติดไปด้วยจริงๆ ก่อนที่เขากับเธอจะแยกย้ายกันไปและเวลามันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ
“เห็นรึยัง ว่าฉันไม่ได้ปรักปรำเธอ ลักษณะนี้มันเป็นการทำงานเป็นทีม อีกอย่างไอ้ของที่เธอขายน่ะ มันก็ไม่ได้มีคุณภาพดีอย่างที่เธอโฆษณาด้วยซ้ำ มันก็แค่น้ำผสมกาวธรรมดา สรุปแล้วเธอก็คือสิบแปดมงกุฎ” เขาสรุปให้ในตอนท้ายเพื่อตอกย้ำสถานะสิบแปดมงกุฎของเธอ
“พูดไม่ออกล่ะสิ..” เมื่อเห็นว่าเธอเงียบไปเขาก็ย้ำมาอีก
“ฉัน ไม่รู้จริงๆ ว่าจ้อยเอาของของคุณไปไว้ไหน ฉันไม่รู้”
บทนำ.ร่างระหงของหญิงสาววัยยี่สิบสองวิ่งเข้าไปในบ้านหลังเล็กโกโรโกโสอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ในชุดสีดำ สวมแว่นกันแดดสีดำกว่าสิบคนยืนอยู่เต็มบริเวณบ้านอันคับแคบอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายเพราะห่วงคนที่อยู่ในบ้านมากกว่าชีวิตของตนเอง“พวกคุณเป็นใครแล้วมาทำอะไรในบ้านของฉัน..”จุมพิตา ถามเสียงสั่นหน้าขาวซีดเมื่อเห็นท่าทางคุกคามจากอีกฝ่าย แม้ว่าคนเหล่านั้นจะยืนนิ่งเหมือนรอใครบางคนที่มีอำนาจเหนือกว่า“ฉันมาตามของของฉันคืน...”เสียงห้าวทรงอำนาจดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏอยู่ที่ประตูบ้าน ร่างใหญ่โตของเขาทำให้ประตูบ้านของเธอดูเล็กคับแคบไปทันที หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างตระหนกเมื่อเจอหน้าคนพูด เขานั่นเอง.. ผู้ชายหน้าตาหล่อลากดินแต่แสนจะเย็นชาคนนั้นที่เธอเจอเขาที่ตลาดขายเครื่องประดับเมื่อวันก่อน แล้วเขามาบ้านของเธอทำไม “คุ คุณ เอ่อ...” จุมพิตาพูดไม่ออกมือสั่นใจสั่นจริงๆ แล้วเธอสั่นไปทั้งตัวต่างหาก“ของที่พวกเธอเอามาอยู่ไหน”“ของ ของอะไรฉันไม่รู้เรื่อง”“ฉันให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้ายแม่สาวน้อย สร้อยเส้นนั้นอยู่ไหน”เสียงเข้มเย็นชาแววตาวาวโรจน์จนจุมพิตาอยากจะ
ตอนที่1.พยัคฆ์มองใบหน้านวลใสที่เริ่มมีสีสันของคนตัวเล็กที่หลับสนิทมาหลายชั่วโมงอย่างพิจารณา ใบหน้าเรียวได้รูปไม่ว่าจะเป็นปากคอคิ้วคางช่างดูเหมาะเจาะรับกันได้ดีแม้ไม่ได้ดูสวยผุดผาดบาดตาแต่เขากลับถอนสายตาจากใบหน้าของเธอได้ยากลำบากเหลือเกิน โดยเฉพาะดวงตากลมโตยามที่จ้องมองเขาอย่างตื่นตระหนก กับริมฝีปากระเรื่อที่เขาได้เชยชิมมันก่อนที่เจ้าตัวจะหมดสติไปด้วยความหวาดกลัว และตรงนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโจรโรคจิตหรือไม่ก็โจรหื่นกามที่คอยย่ำยีหญิงสาว ทั้งที่ความจริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมากว่าสามสิบสองปีของเขาไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงจนต้องไปฉุดคร่าขืนใจ มีหญิงสาวสวยมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนับไม่ถ้วน ทั้งสวยเริดระดับนางงาม นางแบบกระทั่งดาราแนวหน้าของเมืองไทย ไม่มีใครสักคนที่ทำท่าหวาดกลัวเขาและเป็นลมหมดสติเพียงแค่เขาจูบเจ้าหล่อนแต่ยายจิ๋วเสียงนกหวีดคนนี้กลับทำให้เขาอ่อนปวกเปียกสำนึกดีชั่วตีกันวุ่นวาย สุดท้ายเขาก็หอบหิ้วเธอมาที่รีสอร์ตหรูของตนด้วย แล้วยังพ่วงพ่อของเจ้าหล่อนมาอีกคนหลังจากที่แข็งใจแสร้งแสดงละครเพื่อให้เธอบอกความจริงด้วยการทำเหมือนจะขืนใจ แต่แม่คุณก็ทั้งดิ้นทั้งทุบตีเขาไม่ย
ตอนที่2.“อุ๊ย..” เสียงอุทานอย่างตื่นตระหนกออกจากปากบางเท่านั้นหญิงสาวก็ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เขาเมื่อริมฝีปากหยักสีเข้มทาบลงมาอย่างถนัดถนี่และฉวยโอกาสที่เธอเผยปากสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดลิ้นเล็กที่ล่าถอยอย่างขลาดกลัวดูดดื่มเรียกร้องและหลอกล่อจนคนที่อ่อนเดียงสากว่าคล้อยตามด้วยความมึนงงมือหนาที่รวบข้อมือเล็กไว้ค่อยๆ คลายออกมาลูบไล้ที่เอวกิ่วที่เขานึกค่อนขอดอยู่ในใจว่าแค่มือข้างเดียวของเขาก็รวบมันได้หมดและถ้าออกแรงเยอะไปก็เกรงว่าเอวเธอจะหักเสียบัดนั้นแต่ความเนียนนุ่มของผิวเนื้อใต้เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของเขาที่เธอสวมอยู่ทั้งลิ้นเล็กที่จูบตอบเขาอย่างหลงลืมตัวก็ทำให้เขาหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปในทันที กระดุมเสื้อดูเหมือนจะเกะกะขวางหูขวางตาจนในที่สุดเขาก็กระชากมันรวดเดียวจนกระดุมขาดออกจากรังกระเด็นกระดอนไม่รู้ทิศ“โอ.. พระเจ้า.. ยายตัวจิ๋วเธอสวยเหลือเกิน”พยัคฆ์ครางพร่าเมื่อทรวงอกอวบอิ่มที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีชมพูสดไหวสะท้านจากแรงหอบหายใจของเธอ ดวงตาหลับพริ้มริมฝีปากบวมเจ่อเผยอครางแผ่วๆ ด้วยความซ่านรัญจวนยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนของบุรุษเพศให้กระเจิดกระเจิงยิ่งต่ำลงไปกว่านั้นสติของเขาก็แทบขาดผึง.
ตอนที่3.จุมพิตามองรอบกายด้วยความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เทือกเขาเขียวขจีโอบล้อมรอบบ้านหลังงามที่ปลูกสร้างอย่างลงตัวกลมกลืนไปกับผืนป่าที่ปลูกขึ้นแซมกับป่าดั้งเดิม ดอกไม้หลากหลายสายพันธ์แข่งกันออกดอกชูช่อไสวล้อลมส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ผสมกับกลิ่นหญ้าลอยมาตามสายลมเย็นสบาย อากาศเย็นสบายลำธารเล็กๆ ไหลผ่านทำให้ได้ยินเสียงน้ำไหลดั่งเสียงเพลงวารีขับกล่อมคนที่อยู่ภายในรีสอร์ตหรูที่เธอเคยได้ยินชื่อมาบ้างรีสอร์ตคิงส์เมาท์เท่น รีสอร์ตหรูระดับห้าดาวคงไม่พอเพราะความยิ่งใหญ่อลังการและงดงามราวกับเมืองในฝันที่เคยเห็นในภาพยนตร์หรือหนังสือและรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวหากมีดาวจะให้อีกเธอคงทุ่มให้ที่นี่ล้านดวงไปเลย นี่สินะที่เขาเรียกว่า อลังการดาวล้านดวง แล้วยิ่งเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนเจ้าของสถานที่แห่งนี้ความอลังการไม่ต้องพูดถึงหากไม่มีคนเดินนำทางเธอก็คงเดินหลงไปไหนต่อไหน และต่อให้อยากจะไปไหนดังใจนึกตอนนี้จุมพิตาไม่ขอเสี่ยงเดินออกนอกเส้นทางที่สาวใช้หน้าแฉล้มกำลังเดินนำเธอไปหาบิดาอยู่ตอนนี้เป็นแน่“เชิญเจ้า พ่อคุณจ๋อมอยู่ในห้องนี้เจ้า”สาวใช้ผายมือไปยังประตูเกะสลักงดงามก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ จุมพิตารีบเปิ