เมื่อพ่อบ้านหลี่สบเข้ากับสายตาลุ่มลึกเย็นชาของกู้จือโม่ เขาก็เงียบกริบทันทีกู้จือโม่มองเขาอยู่สองสามวินาที ก่อนจะหันหลังเดินตรงไปยังห้องทำงานของกู้เซิ่งเหยียนผู้เป็นปู่ในห้องทำงาน กู้เซิ่งเหยียนไม่ได้พักผ่อน เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองลงไปเห็นโจวอวิ๋นถูกคนรับใช้ของบ้านหิ้วออกไปโยนทิ้งไว้ข้างถนน จากนั้นโจวอวิ๋นก็ลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำกับพวกคนรับใช้ ก่อนจะถูกคนหนึ่งเตะจนเซและถูกขู่จนเธอยอมลดท่าที และเดินโซเซออกไปอย่างจำนนเสียงเปิดประตูดังขึ้น กู้เซิ่งเหยียนได้ยินจึงค่อย ๆ หันกลับมาหลังจากเหตุการณ์ที่กู้เซิ่งเหยียนช่วยปกป้องเฉินเยวี่ยในคดีที่เธอสั่งให้คนไปลักพาตัวโจวซิงลั่ว กู้จือโม่ก็ทะเลาะกับผู้เป็นปู่อย่างหนัก และไม่เคยกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกเลยเป็นเวลาสองเดือนหลังจากหยุดพักกลับมาที่อวิ๋นเฉิงได้ประมาณครึ่งเดือน เขาก็พักอยู่แต่ในอพาร์ตเมนต์ของตัวเองโดยไม่เคยกลับมาที่บ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียวในวันส่งท้ายปีพ่อบ้านหลี่ไปหาเขาที่อพาร์ตเมนต์ พูดจาเกลี้ยกล่อมด้วยความตั้งใจอยู่นาน แต่เขาก็ยังไม่ยอมกลับบ้านการที่เขาปรากฏตัวในวันนี้ทำให้กู้เซิ่งเหยียนไม่แน่ใจว่ากู้จือโม่รู้เรื่องอะไรบางอ
ฟางฉิงหยางที่แอบออกมาโดยไม่ให้เฉิงเฉิงรู้ ครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็เปิดประตูห้องส่วนตัวเข้าไปก็เห็นกู้จือโม่กำลังดื่มเหล้าอยู่ ขวดไวน์แดงบนโต๊ะพร่องไปแล้วกว่าครึ่งมือซ้ายของกู้จือโม่คีบบุหรี่อยู่ ส่วนมือขวาถือโทรศัพท์ก้มหน้าทำอะไรบางอย่าง จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูจึงเงยหน้าขึ้นมองในฐานะเพื่อนสนิทของกู้จือโม่ การเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาล้วนอยู่ในสายตาของฟางฉิงหยางจากที่ไม่เคยแตะบุหรี่และเหล้า ชายหนุ่มก็กลายเป็นคนที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และเงียบขรึมมากขึ้น บาดแผลจากการถูกแทงเมื่อไม่นานมานี้ก็ยังไม่หายดี แถมยังผ่ายผอมลงจนแทบจำไม่ได้ รัศมีรอบตัวของเขาดูเย็นชาและไม่เป็นมิตรฟางฉิงหยางถอนหายใจ เดินเข้าไปหา “แผลหายดีแล้วหรือไง นายยังจะสูบบุหรี่อีก?”“เร็ว ๆ นี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับซิงลั่วหรือเปล่า?” กู้จือโม่เงยหน้าขึ้นพลางดับบุหรี่ในที่เขี่ยอย่างไม่สนใจ“...” ฟางฉิงหยางมองเพื่อนสนิทอย่างหนักใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรกู้จือโม่มองเขานิ่ง ๆ “เฉิงเฉิงห้ามไม่ให้นายพูด?”“งั้นก็ไม่ต้องพูด” กู้จือโม่ยิ้มบาง ๆ ยกขวดไวน์มารินให้ฟางฉิงหยาง “ดื่มหน่อยไหม? นานแล้วที่พวกเราไม่ไ
กู้จือโม่ชะงักทุกการกระทำในทันที ก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ไปเฉินเยวี่ยฆ่าย่าของเฉียวซิงลั่วงั้นเหรอ?กู้จือโม่ไม่อยากเชื่อ สมองของเขาเต็มไปด้วยเสียงก้องวุ่นวายเต็มไปหมด"ฉันไม่เชื่อ" เขาพึมพำ ก่อนลุกขึ้นเดินออกไป ขณะที่เดินขาของเขาก็ชนเข้ากับมุมโต๊ะอย่างแรง จนกางเกงขายาวสีเข้มของเขาถูกย้อมด้วยสีแดงสดเขาคว้ากุญแจรถบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ราวกับว่ากู้จือโม่ไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อยเมื่อออกจากคลับ เขาตั้งใจจะไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อขับรถเอง แต่พอไปถึงก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาดื่มเหล้ามาเยอะขณะนั้นมีรถแท็กซี่ที่ถูกจองผ่านแอปเข้ามาพอดี กู้จือโม่จึงไม่รอช้า เขาขึ้นรถทันที "ไปที่อะพาร์ตเมนต์หลี่เซี่ยง"คนขับหันมามองเขาอย่างงุนงง "ที่อยู่นี้ไม่ตรงกับที่อยู่ในที่แจ้งเลยนะครับ คุณเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์หมายเลขท้ายศูนย์เจ็ดสามหนึ่งใช่ไหมครับ?"พูดไม่ทันจบ เจ้าของออเดอร์ตัวจริงก็มาถึง"ใช่ ผมเอง!" เจ้าของออเดอร์ยืนอยู่ข้างประตูรถ จ้องมองกู้จือโม่ด้วยความไม่พอใจ "นายเป็นใคร? รถคันนี้ฉันจอง ลงมาซะ"กู้จือโม่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาควักกระเป๋าสตางค์ออกมา ก่อนจะหยิบธนบัตรสีแดงใบละร้อยหลายใบออกม
แต่ชีวิตคนเราต้องเดินไปข้างหน้า ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่ยังอยู่ต่อไปให้ดีที่สุดฉันพูดล้อเล่นกับสองคนนั้นแบบไม่คาดคิด ฟางฉิงหยางและเฉิงเฉิงก็หน้าแดงจนเห็นได้ชัดในทันที“ลั่วเป่า เธอชักจะร้ายแล้วนะ กล้าล้อฉันได้แล้ว”เฉิงเฉิงพูดพลางเหลือบตามองฟางฉิงหยางด้วยความเขินอาย ดวงตาทั้งสองคนสบกัน สายตาแห่งความสุขในดวงตาพวกเขาราวกับคลื่นเล็ก ๆ ในน้ำที่กระเพื่อมอย่างแผ่วเบาบ้านที่เคยเงียบเหงาเพราะการจากไปของคุณย่ากลับถูกแต่งแต้มด้วยแสงสว่างอ่อนโยนอีกครั้งฉันมองดูทั้งสองคน ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว หัวใจที่หม่นหมองก็พลอยเบาขึ้นตามไปด้วย"เฮ้ ลั่วเป่า เธอยิ้มแล้ว!"เฉิงเฉิงอุทานขึ้นมาอย่างตื่นเต้น พร้อมใช้ข้อศอกสะกิดฟางฉิงหยาง ให้เขามองดูฟางฉิงหยางเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องมาที่ใบหน้าฉัน ราวกับว่าเขาโล่งใจไปบ้าง "ใช่แล้ว ลั่วเป่า ในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมาสักที""นั่นน่ะสิ พักนี้เธอไม่ยิ้มเลย พวกเรา..." เฉิงเฉิงพูดไม่จบ เสียงเธอเริ่มสั่นเล็กน้อย ดวงตาเริ่มแดง เธอหันหน้าไปอีกทางราวกับจะกลั้นน้ำตา ไม่สามารถพูดต่อได้เห็นเธอเป็นแบบนี้ ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีช่วงนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี
เมื่อพวกเขานั่งลง อุ่นไอทั้งสองสายก็โอบล้อมตัวฉันไว้ความกังวลที่เกิดจากสายโทรศัพท์ก็พลันถูกความอบอุ่นนี้ผลักไสออกไปทันใดนั้น ฉันก็ไม่กลัวอีกต่อไปไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นหรือไม่ การมีเพื่อนทั้งสองคนนี้อยู่เคียงข้าง ทำให้ฉันมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะเดินหน้าต่อไปฉันสูดหายใจลึกๆ อย่างเงียบๆ และกดรับสายก่อนที่โทรศัพท์จะตัด พร้อมกับเปิดลำโพงเสียงออกมาทันทีที่สายเชื่อมต่อ เสียงทนายที่เคร่งขรึมก็ดังมาจากปลายสาย “คุณเฉียว ผมเพิ่งได้รับแจ้งว่า เฉินเยวี่ยเกิดอาการหัวใจวายอย่างกะทันหันในสถานกักกัน ตอนนี้อาการสาหัส และถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนแล้วครับ”“ใครนะ? ใครหัวใจวาย?”ฉันสะดุ้งขึ้นมาอย่างมึนงง รู้สึกราวกับได้ยินผิดไปทนายกำลังพูดถึงเฉินเยวี่ยใช่ไหม?แต่เฉินเยวี่ยจะเป็นโรคหัวใจได้ยังไงกัน!ฉันอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงโกรธเกรี้ยวของเฉิงเฉิงก็ดังขึ้นก่อน “ร่างกายเฉินเยวี่ยแข็งแรงดี จะเป็นโรคหัวใจได้ยังไง!”เมื่อเฉิงเฉิงพูดแทนฉันแล้ว ฉันจึงปิดปากเงียบ รอคำอธิบายจากทนาย"ผมไม่แน่ใจครับ เพิ่งได้รับแจ้งข่าวนี้มา เลยรีบบอกคุณทันที รายละเอียดเพิ่มเติม ตอนนี
ทนายเองก็รู้เรื่องนี้ดี เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงเฉิง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังทันทีหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเตือนพวกเราอย่างเคร่งขรึมว่า “ครั้งนี้พวกคุณต้องใจเย็นห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาดนะครับ”แต่ฉันรู้สึกว่า คำเตือนนี้เขาหมายถึงฉันเป็นพิเศษในสายตาของเขา ฉันมีประวัติในเรื่องนี้มาก่อนรถเคลื่อนตัวเข้าสู่โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกอย่างรวดเร็ว หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามถึงที่อยู่ของเฉินเยวี่ยเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินชื่อเฉินเยวี่ย สีหน้าของเธอแสดงถึงความระแวดระวัง สายตาจ้องมองพวกเราราวกับว่าเป็นอาชญากร ก่อนจะย้อนถามกลับว่า “พวกคุณเป็นใครคะ?”“ฉัน...” ฉันเพิ่งจะเริ่มพูด แต่ทันใดนั้นข้อมือก็ถูกใครบางคนจับไว้ พร้อมกับแรงดึงที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธพาฉันถอยไปข้างหลังฉันก้มมองมือตัวเอง เห็นมือที่เรียวยาวและเต็มไปด้วยข้อกระดูกชัดเจน แล้วเงยหน้ามองทนายที่อยู่ข้างๆทนายที่จับสังเกตได้ว่าฉันมองอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้ฉัน ราวกับส่งสัญญาณให้ฉันวางใจและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เองฉันลดสายตาลง แล้วถอยหลังออกมาอย่างว่าง่ายทนายเดินขึ้นไ
ทนายคงรู้ว่าตำรวจทั้งสองจะไม่ยอม จึงรีบถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้จริง ๆ งั้นให้พวกเรามองดูจากหน้าต่างก็ยังดี”ฉันจ้องมองตำรวจสองนายด้วยความกังวลแต่ทั้งสองคนไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อน “ไม่ได้ครับ”“ไม่มีใครเข้าใกล้ได้ทั้งนั้น”แม้ทนายจะแสดงบัตรประจำตัวที่ทำงานให้ดู แต่ตำรวจทั้งสองกลับไม่กะพริบตาเลยสักนิดท่าทีของพวกเขาแน่วแน่จนไม่มีช่องทางใดๆ ให้ประนีประนอมความคาดหวังในใจฉันค่อยๆ มอดดับ ฉันมองตำรวจสองคนด้วยสายตาเย็นชา ความสงสัยในใจยิ่งชัดเจนขึ้นทนายถอนหายใจแล้วถอยกลับมาเมื่อเห็นทนายกลับมาด้วยท่าทีหมดหวัง ฉันเม้มปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปกันก่อนเถอะค่ะ”คำพูดของฉันฟังดูเย็นชาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งเฉิงเฉิงและคนอื่น ๆ ไว้เบื้องหลังฉันเดินเร็วมาก ราวกับว่าการก้าวเดินที่รวดเร็วนั้นจะช่วยระบายความโกรธในใจออกไปได้เมื่อเดินออกมาจากโถงชั้นหนึ่ง ฉันถึงหยุดฉันยืนอยู่ที่หน้าประตู มองไปไกลอย่างเลื่อนลอย ในใจเริ่มครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ไม่นานนัก มีคนแตะเบา ๆ ที่ไหล่ซ้ายของฉันเฉิงเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล “ลั่วเป่า
ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง พอมั่นใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็น ก็รีบเปิดประตูแทรกตัวเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูอย่างเบามือหมอคนนี้เพิ่งเดินออกมาจากห้องของเฉินเยวี่ย ดูเหมือนเขาจะเป็นหมอเจ้าของไข้ของเธอประวัติการรักษาของเฉินเยวี่ยต้องอยู่ที่นี่แน่ ๆแล้วมันจะอยู่ที่ไหนกันนะ?ฉันมองไปรอบ ๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คอมพิวเตอร์บนโต๊ะน่าเสียดายที่คอมพิวเตอร์ถูกล็อกรหัสผ่าน ฉันเปิดไม่ได้ จึงหันไปสนใจตู้เก็บเอกสารแทนฉันรีบเดินไปเปิดประตูตู้อย่างลวก ๆ แล้วเริ่มค้นหาข้อมูลอย่างรวดเร็วเอกสารในตู้นั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงจะพยายามหาอย่างสุดความสามารถ แต่ฉันก็เพิ่งค้นได้เพียงเล็กน้อย และยังไม่เจอประวัติของเฉินเยวี่ยแต่ฉันไม่ยอมแพ้ฉันยังคงค้นหาอย่างตั้งใจขณะที่ฉันกำลังจะเปลี่ยนไปค้นชั้นเล็กอีกช่องหนึ่ง เสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นที่หน้าห้อง พร้อมกับเสียงลูกบิดประตูถูกหมุนฉันสะดุ้งเฮือก รีบเก็บเอกสารทั้งหมดกลับเข้าไปในที่เดิมแล้วปิดตู้ให้เรียบร้อยแต่ยังไม่ทันจะหาทางออกจากห้อง ประตูก็ถูกเปิดออกใช่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครคิดว่าฉันเป็นขโมย ฉันแค่ปิดประตู แต่ไม่ได้ล็อกคนข้างนอกจึงสา
จางเสี่ยวพยักหน้าเห็นด้วย และเสริมว่า “นอกจากนี้ เราต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้เนื้อผ้าและความประณีตในการตัดเย็บ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงคุณภาพและมูลค่าของมันตั้งแต่แรกเห็น”ในช่วงเวลาต่อจากนี้ พวกเราก็รีบลงมือออกแบบอย่างรวดเร็วฉันวางแนวคิดเกี่ยวกับสไตล์โดยรวมและการออกแบบลวดลาย โดยมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกเนื้อผ้าและควบคุมกระบวนการผลิต พยายามทำให้ทุกองค์ประกอบสมบูรณ์แบบที่สุดหากต้องการออกแบบเสื้อผ้าที่โดดเด่นเพียงพอ เราต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี และตอนนี้ฉันต้องการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ผสมผสานองค์ประกอบของอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกันฉันรู้ดีว่า หากต้องการออกแบบเสื้อผ้าที่สามารถดึงดูดสายตาของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรักษาความนิยมในตลาดได้อย่างยาวนาน จำเป็นต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างความวินเทจและความทันสมัยให้ได้ฉันหลับตาลง จินตนาการถึงองค์ประกอบสุดคลาสสิกจากอดีต กระดุมแบบจีนที่ประณีต เส้นสายอันอ่อนช้อยของกี่เพ้า รวมถึงการตัดเย็บที่เรียบง่ายและการจับคู่สีที่ทันสมัยฉันพยายามผสานองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้เสื้อผ้ามีทั้งกลิ่นอายของประวั
“เธอกับฉันต่างก็รู้ดีว่าชื่อเสียงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาสั่งสมและสะสมผลงาน สำหรับปัญหาที่เธอพูดถึง ฉันมีแนวคิดเบื้องต้นอยู่สองสามข้อ”“ก่อนอื่น เราสามารถเริ่มต้นจากแนวคิด ‘เล็กแต่โดดเด่น’ โดยใช้โซเชียลมีเดียและการกำหนดตลาดเป้าหมายอย่างแม่นยำ เพื่อดึงดูดกลุ่มแฟนคลับที่ภักดีในช่วงแรก เราสามารถผสมผสานแนวคิดการออกแบบของฉันเข้ากับประสบการณ์ด้านการบริหารของเธอ ร่วมกันสร้างคอลเลกชันแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นหรือซีรีส์แนวคอนเซ็ปต์ ที่ให้แต่ละชิ้นงานมีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะช่วยให้ได้รับความสนใจได้ง่ายขึ้น”“นอกจากนี้ สำหรับปัญหาที่ว่า การออกแบบของเธออาจถูกตั้งคำถามหรือไม่ได้รับความสนใจมากพอ เราสามารถใช้กลยุทธ์ ‘คอนเทนต์คือสิ่งสำคัญ’ โดยการนำเสนอภาพถ่ายคุณภาพสูง บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์อย่างละเอียด และให้โมเดลสื่อสารอารมณ์ของเสื้อผ้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แต่ละชิ้นงานไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นการส่งต่อวัฒนธรรมและทัศนคติ นอกจากนี้ เราสามารถเชิญแฟชั่นบล็อกเกอร์หรือเคโอแอลที่มีอิทธิพลมาทดลองใส่และช่วยโปรโมต เพื่อใช้พลังของพวกเขาในการขยายอิทธิพลของแบรนด์ให้กว้างขึ้น”“นอ
พวกเรานัดกันที่ร้านกาแฟใกล้ ๆ“ฉันอยากร่วมมือกับเธอ เพื่อสร้างแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ด้วยกัน”ตอนนี้ฉันมีเงินทุนอยู่บ้าง จึงสามารถออกแบบเสื้อผ้าได้ แล้วเขาจะช่วยฉันบริหารจัดการ พวกเราจะร่วมกันออกแบบและผลิตเสื้อผ้าเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้เราสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ภายในร้านกาแฟ แสงไฟอ่อนโยนส่องกระทบใบหน้าของซูข่ายเหวิน เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น“ร่วมมือกัน? สร้างแบรนด์เสื้อผ้า? ฟังดูเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมมาก!” เขาเอนตัวมาข้างหน้าอย่างตื่นเต้น ชัดเจนว่าเขาสนใจข้อเสนอของฉันมากฉันพยักหน้าแล้วอธิบายแนวคิดของฉันอย่างละเอียด“ใช่เลย ฉันมีความสนใจอย่างมากในด้านการออกแบบเสื้อผ้า ส่วนเธอเองก็คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน สะสมทั้งประสบการณ์และทรัพยากรมากมาย ฉันคิดว่า ถ้าเราสามารถร่วมมือกันได้ มันคงจะสร้างประกายที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาแน่นอน”ซูข่ายเหวินคนกาแฟในถ้วยเบา ๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยความคิดของเขาออกมา“นี่เป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ แต่เราจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ก่อนอื่น เราต้องกำหนดตำแหน่งของแบรนด์ให้ชัดเจน ว่าเราจะเดินสายแฟชั่นระดับไฮเอนด์แ
ค่ำคืนค่อย ๆ ล่วงเลย ไฟริมทางในมหาวิทยาลัยเริ่มส่องสว่าง เงาของพวกเราถูกยืดออกยาวใต้แสงไฟฉันเงยหน้ามองกู้จือโม่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและความแน่วแน่ ทำให้หัวใจฉันสั่นไหวเล็กน้อยบางที ฉันอาจให้โอกาสเขา และให้โอกาสตัวเองด้วยเช่นกันมองเข้าไปในดวงตาของเขา อยู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าทำไมถึงเคยยึดติดกับเขามากขนาดนั้น? บางทีอาจเป็นเพราะความรักของฉันที่มีต่อเขามันลึกซึ้งกว่าที่คิดจริง ๆบางทีความรักอาจค่อย ๆ งอก เงยขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นเพราะบางเหตุการณ์ที่ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักถูกหว่านลงในใจฉัน พอรู้ตัวอีกที เมล็ดพันธุ์นั้นก็เติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ไปแล้ว“จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าเราสองคนจะมานั่งคุยอะไรกันที่นี่ในวันนี้ ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี ตอนนี้เรายังเด็กกันอยู่ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร บางทีตอนนี้เธออาจจะแค่รู้สึกผิดกับฉัน ถึงได้คิดแบบนี้ แต่พอถึงวันที่เธอเติบโตขึ้นจริง ๆ เธอจะยังคิดเหมือนเดิมอยู่ไหม?”ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเยวี่ยกับเขา ฉันไม่มีวันลืม ดังนั้นฉันรู้ดีว่า ตอนนี้เขายังไม่โตพอ แม้ว่าเขาจะดูเก่งกว่าคนทั่วไปมาก แต่ความคิด
แววตาของเขาสะท้อนอารมณ์ที่ซับซ้อนออกมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ฉันแค่เป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บหรือเจอเรื่องร้าย”ฉันถอนหายใจเบา ๆ ในใจรู้สึกซับซ้อนอยู่ไม่น้อยความห่วงใยของกู้จือโม่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันไปด้วยฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด และยิ่งไม่อยากให้เขาทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นเพราะความเข้าใจผิดนั้น“กู้จือโม่ ฉันรู้ว่านายหวังดี แต่ฉันกับซูข่ายเหวินเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ เราทั้งคู่กำลังพยายามเปิดโปงความผิดของศาสตราจารย์จาง ฉันหวังว่านายจะเข้าใจนะ”ฉันพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูจริงใจที่สุดเขาเงียบไปสักพัก แล้วค่อย ๆ พยักหน้า“ได้ ฉันเชื่อเธอ แต่เธอต้องระวังตัวให้ดี ศาสตราจารย์จางไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย ๆ”ฉันมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วพยักหน้าเบา ๆ“ฉันจะระวังตัว ขอบคุณนะ กู้จือโม่”เขายิ้มบาง ๆ ดวงตาสะท้อนความอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย“ไม่ต้องเกรงใจ ไปเถอะ ฉันจะไปส่งเธอที่หอพักเอง”พวกเราเดินไปด้วยกันในบริเวณโรงเรียน แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องกระทบตัวเรา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเงียบสงบฉันรู้สึกถึงความสงบและความมั่นใจที่
ฉันแค่นหัวเราะเย็นโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ส่วนผู้หญิงตรงหน้าดูจะไม่พอใจอย่างมากในตอนนี้“ฉันก็ไม่อยากพูดคำสวยหรูพวกนี้กับคุณ และก็ไม่มีเวลาจะเสียไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นพอแค่นี้เถอะ ฉันจะไปแล้ว”ฉันหันหลังแล้วเดินจากไป ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นตะโกนด่าทออยู่ข้างหลัง แต่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้เลยพอฉันกลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอยู่ไม่ไกลตามคาดกู้จือโม่เดินเข้ามาหาทันที พร้อมจ้องมองฉันด้วยสายตาร้อนแรง“ได้ยินมาว่าเธอได้รับบาดเจ็บ เป็นยังไงบ้าง?”ฉันยิ้มบาง ๆ พยายามทำให้ตัวเองไม่ดูอ่อนแอจนเกินไป“ไม่มีอะไรน่าห่วง แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”กู้จือโม่ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉันนัก เขาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล“เธอแน่ใจนะ? ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ต้องบอกฉันนะ”ฉันพยักหน้าเบา ๆ ความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นในใจในโลกที่ซับซ้อนใบนี้ การมีใครสักคนที่ห่วงใยอยู่เสมอเป็นเรื่องที่อบอุ่นใจฉันไม่ได้แหลมคมเฉียบขาดเหมือนเมื่อก่อน และก็ไม่มีออร่าที่แข็งแกร่งแบบเดิมอีกแล้ว“ขอบคุณนะ ฉันจะระวังตัว”กู้จือโม่ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของฉั
ในช่วงหลายวันต่อมา ฉันและซูข่ายเหวินให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งติดตามข่าวจากสื่ออย่างใกล้ชิดไม่นานนัก อาชญากรรมของศาสตราจารย์จางก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละเรื่องแต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ เรื่องนี้กลับถูกกลบด้วยเหตุการณ์อื่นอย่างรวดเร็วและเรื่องนี้ก็ถูกตำรวจจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคำตอบสุดท้ายจะทำให้ฉันประหลาดใจมาก โดยเฉพาะตอนที่ตำรวจยืนอยู่ตรงหน้าฉันและอธิบายทุกอย่างให้ฟัง“จากการสืบสวนของเรา พบว่าผู้ก่อเหตุเพียงแค่ต้องการปล้นเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาถูกจ้างวานให้ฆ่าแต่อย่างใด”ฉันเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินปล้นงั้นเหรอ?เป็นไปได้ยังไง?คนนั้นชัดเจนว่าเล็งเป้าหมายมาที่ฉันโดยตรง แถมยังทิ้งคำพูดที่เกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์จางไว้หลังจากก่อเหตุ นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้จริง ๆ เหรอ?“แต่... มีดในมือของเขา วิธีที่เขาโจมตีฉัน รวมถึงคำพูดนั้น...”ฉันพยายามอธิบาย แต่เสียงของฉันกลับอ่อนลงเรื่อย ๆซูข่ายเหวินจับมือฉันไว้ เป็นสัญญาณให้ฉันสงบสติอารมณ์ลงเขาหันไปมองตำรวจ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจตำรวจดู
ฉันตกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะลงมือทำร้ายฉันจริง ๆฉันรีบปรับสภาพจิตใจของตัวเองอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีที่อาจตามมาคนขี่มอเตอร์ไซค์ดูเหมือนไม่คิดจะให้ฉันมีโอกาสได้พักหายใจเลย เขาเงื้อไม้เบสบอลขึ้นอีกครั้งแล้วฟาดมาทางฉันอย่างรุนแรง!ฉันหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว พลางมองหาจังหวะที่จะตอบโต้กลับไปหลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง ฉันสังเกตได้ว่าคนคนนี้มีฝีมือพอตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการฉันรู้สึกยินดีอยู่ลึก ๆ ในใจ เพราะเห็นโอกาสเล็กน้อยที่จะเอาชนะเขาได้ฉันเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีก่อน พยายามทำลายจังหวะของเขาเพื่อให้เขาเสียสมดุลและเปิดช่องโหว่หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดอยู่พักหนึ่ง ฉันก็พบช่องโหว่และซัดหมัดตรงเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรง!เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นฉันถือโอกาสพุ่งเข้าไป หวังจะควบคุมตัวเขาให้สิ้นฤทธิ์แต่ในขณะนั้นเอง เขากลับควักมีดออกมาจากกระเป๋าแล้วพุ่งแทงมาทางฉัน!ฉันตกใจสุดขีด รีบถอยหลังออกไปทันทีแต่ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ไม่มีแรงมากนัก จะรับมือกับชายที่ดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?มีดสั้นพุ่งตรงมาทางฉัน ก่
“บางทีคุณอาจพูดถูก หากไม่มีการสนับสนุนจากคุณ ฉันอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากขึ้น แต่ฉันก็เชื่อว่า ตราบใดที่ฉันพยายามมากพอและยืนหยัดอย่างมั่นคง สักวันหนึ่งฉันจะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ และฉันก็เชื่อว่า บนโลกนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีความฝันและพรสวรรค์เหมือนฉัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคุณ แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในวงการนี้ได้!”เขาชัดเจนว่าโกรธจัดเพราะคำพูดของฉัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขณะที่จ้องมองฉันอย่างดุดัน“เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้งั้นเหรอ? ฉันจะบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าเธอคิดผิด! เธอจะต้องเสียใจในทุกสิ่งที่เธอทำในวันนี้แน่นอน!”ฉันยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน“บางทีฉันอาจจะเสียใจ แต่ฉันจะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ฉันเลือก เพราะฉันรู้ดีว่า มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง และทำให้ฉันสามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองได้ และสำหรับคุณ ศาสตราจารย์จาง คุณจะต้องกลายเป็นฝันร้ายของตัวเอง”พูดจบ ฉันหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปตอนนั้นเอง ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาซูข่ายเหวิน“หลักฐานทั้งหมดเก็บรวบรวมเรียบร้อยหรือ