ทนายเองก็รู้เรื่องนี้ดี เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงเฉิง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังทันทีหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเตือนพวกเราอย่างเคร่งขรึมว่า “ครั้งนี้พวกคุณต้องใจเย็นห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาดนะครับ”แต่ฉันรู้สึกว่า คำเตือนนี้เขาหมายถึงฉันเป็นพิเศษในสายตาของเขา ฉันมีประวัติในเรื่องนี้มาก่อนรถเคลื่อนตัวเข้าสู่โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกอย่างรวดเร็ว หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามถึงที่อยู่ของเฉินเยวี่ยเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินชื่อเฉินเยวี่ย สีหน้าของเธอแสดงถึงความระแวดระวัง สายตาจ้องมองพวกเราราวกับว่าเป็นอาชญากร ก่อนจะย้อนถามกลับว่า “พวกคุณเป็นใครคะ?”“ฉัน...” ฉันเพิ่งจะเริ่มพูด แต่ทันใดนั้นข้อมือก็ถูกใครบางคนจับไว้ พร้อมกับแรงดึงที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธพาฉันถอยไปข้างหลังฉันก้มมองมือตัวเอง เห็นมือที่เรียวยาวและเต็มไปด้วยข้อกระดูกชัดเจน แล้วเงยหน้ามองทนายที่อยู่ข้างๆทนายที่จับสังเกตได้ว่าฉันมองอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้ฉัน ราวกับส่งสัญญาณให้ฉันวางใจและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เองฉันลดสายตาลง แล้วถอยหลังออกมาอย่างว่าง่ายทนายเดินขึ้นไ
ทนายคงรู้ว่าตำรวจทั้งสองจะไม่ยอม จึงรีบถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้จริง ๆ งั้นให้พวกเรามองดูจากหน้าต่างก็ยังดี”ฉันจ้องมองตำรวจสองนายด้วยความกังวลแต่ทั้งสองคนไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อน “ไม่ได้ครับ”“ไม่มีใครเข้าใกล้ได้ทั้งนั้น”แม้ทนายจะแสดงบัตรประจำตัวที่ทำงานให้ดู แต่ตำรวจทั้งสองกลับไม่กะพริบตาเลยสักนิดท่าทีของพวกเขาแน่วแน่จนไม่มีช่องทางใดๆ ให้ประนีประนอมความคาดหวังในใจฉันค่อยๆ มอดดับ ฉันมองตำรวจสองคนด้วยสายตาเย็นชา ความสงสัยในใจยิ่งชัดเจนขึ้นทนายถอนหายใจแล้วถอยกลับมาเมื่อเห็นทนายกลับมาด้วยท่าทีหมดหวัง ฉันเม้มปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปกันก่อนเถอะค่ะ”คำพูดของฉันฟังดูเย็นชาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งเฉิงเฉิงและคนอื่น ๆ ไว้เบื้องหลังฉันเดินเร็วมาก ราวกับว่าการก้าวเดินที่รวดเร็วนั้นจะช่วยระบายความโกรธในใจออกไปได้เมื่อเดินออกมาจากโถงชั้นหนึ่ง ฉันถึงหยุดฉันยืนอยู่ที่หน้าประตู มองไปไกลอย่างเลื่อนลอย ในใจเริ่มครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ไม่นานนัก มีคนแตะเบา ๆ ที่ไหล่ซ้ายของฉันเฉิงเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล “ลั่วเป่า
ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง พอมั่นใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็น ก็รีบเปิดประตูแทรกตัวเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูอย่างเบามือหมอคนนี้เพิ่งเดินออกมาจากห้องของเฉินเยวี่ย ดูเหมือนเขาจะเป็นหมอเจ้าของไข้ของเธอประวัติการรักษาของเฉินเยวี่ยต้องอยู่ที่นี่แน่ ๆแล้วมันจะอยู่ที่ไหนกันนะ?ฉันมองไปรอบ ๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คอมพิวเตอร์บนโต๊ะน่าเสียดายที่คอมพิวเตอร์ถูกล็อกรหัสผ่าน ฉันเปิดไม่ได้ จึงหันไปสนใจตู้เก็บเอกสารแทนฉันรีบเดินไปเปิดประตูตู้อย่างลวก ๆ แล้วเริ่มค้นหาข้อมูลอย่างรวดเร็วเอกสารในตู้นั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงจะพยายามหาอย่างสุดความสามารถ แต่ฉันก็เพิ่งค้นได้เพียงเล็กน้อย และยังไม่เจอประวัติของเฉินเยวี่ยแต่ฉันไม่ยอมแพ้ฉันยังคงค้นหาอย่างตั้งใจขณะที่ฉันกำลังจะเปลี่ยนไปค้นชั้นเล็กอีกช่องหนึ่ง เสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นที่หน้าห้อง พร้อมกับเสียงลูกบิดประตูถูกหมุนฉันสะดุ้งเฮือก รีบเก็บเอกสารทั้งหมดกลับเข้าไปในที่เดิมแล้วปิดตู้ให้เรียบร้อยแต่ยังไม่ทันจะหาทางออกจากห้อง ประตูก็ถูกเปิดออกใช่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครคิดว่าฉันเป็นขโมย ฉันแค่ปิดประตู แต่ไม่ได้ล็อกคนข้างนอกจึงสา
ฉันยืนหันหลังให้กับกู้จือโม่ ไม่ได้เห็นสีหน้าเขาเลยแต่ฉันสัมผัสได้ว่าตอนที่คำพูดของฉันหลุดออกไป มือใหญ่ที่จับข้อมือฉันอยู่สั่นเล็กน้อย บรรยากาศในบันไดก็หยุดชะงักลง ทันใดนั้นความเศร้าโศกบางอย่างเหมือนแพร่กระจายออกจากตัวเขาไม่กี่วินาทีต่อมา บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกคลุมด้วยความเศร้าหมองนั้นทั้งที่ฉันคิดว่าตัวเองไม่มีความรู้สึกใด ๆ เหลือให้เขาแล้ว แต่หัวใจกลับรู้สึกปวดหนึบอย่างประหลาดฉันเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรต่อ ขณะที่กำลังพยายามจะสะบัดมือของกู้จือโม่ออกจากข้อมือ ฉันก็ได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงเขายิ่งฟังดูเศร้าหนักกว่าเดิม แฝงไว้ด้วยความพ่ายแพ้บางอย่าง "ฉันขอโทษ"ฉันได้แต่แค่นหัวเราะออกมาตอนนี้คำสามคำนี้สำหรับฉันมันไม่มีค่าอะไรเลยจากนั้นฉันก็ได้ยินเขาพูดอีกว่า "อย่าเสี่ยงอีกเลย สิ่งที่เธอต้องการ เธอจะต้องได้มันแน่นอน"พูดจบเขาก็ปล่อยมือฉันและเดินจากไปฉันหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว ตั้งใจจะถามเขาว่าหมายความว่ายังไงแต่กู้จือโม่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรสิ่งที่ฉันเห็นคือแผ่นหลังของเขาที่ก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว และจุดหมายของเขา...เฮอะ ฉันกำลังหวังอะไรอยู่?
คำพูดของเฉิงเฉิง เงียบหายไปในห้องที่เต็มไปด้วยความอึดอัดเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่ฉันไม่อยากฟังแล้วเพราะฉันรู้ดีว่ามีคนที่มีอิทธิพลบางคนที่สามารถแทรกแซงถึงขั้นโยกย้ายตำแหน่งในระบบราชการได้แต่จะทำไมล่ะ?ตราบใดที่เฉินเยวี่ยยังไม่ได้รับโทษที่ควรจะได้รับ เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันจบแต่ฉันคาดไม่ถึงเลยว่าโอกาสจะมาถึงเร็วขนาดนี้เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันได้รับโทรศัพท์จากคนที่อ้างตัวว่าเป็นพนักงานส่งพัสดุ เขาบอกว่ามีพัสดุในเมืองส่งถึงฉัน ให้ฉันลงไปรับตอนแรกฉันยังสงสัยอยู่ในใจว่า ใครส่งอะไรมาให้แต่เมื่อเห็นชื่อผู้ส่งบนพัสดุ หัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวฉัน ฉันนึกถึงคำพูดของกู้จือโม่เมื่อวานเขาบอกว่า "สิ่งที่เธอต้องการ เธอจะได้รับมัน"ดังนั้นในพัสดุนี้...ฉันพยายามกดความตื่นเต้นในใจไว้ รีบแกะซองพัสดุอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเอกสารเวชระเบียนภายในนั้น หัวใจฉันแทบจะกระเด็นออกมา แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะสรุปอะไรฉันรีบเปิดเอกสารเวชระเบียนนั้นออกมา อ่านทุกคำอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าไปที่สรุปท้ายสุดว่านี่คือหลักฐานที่ฉันต้องการจริง ๆ หรือเปล่าข้อคว
“ปึง” เสียงอื้ออึงดังขึ้นในสมองของฉันทันที ร่างกายอ่อนแรงสมองของฉันเมื่อครู่เขาพูดว่าอะไรนะ?"คดีถูกปิดแล้ว?"ฉันตกตะลึงจนไม่อาจควบคุมได้ เสียงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว "ทำไมถึงปิดคดีไปล่ะคะ?! ทำไมไม่มีใครแจ้งฉันเลย! ทั้งพยาน ทั้งหลักฐานก็มีอยู่ครบ ถ้าฝ่ายโจทก์ยังไม่ได้ถอนฟ้อง คุณมีสิทธิอะไรปิดคดี!"เสียงของฉันดังเกินไป จนทั้งสถานีตำรวจต้องหันมามองเฉิงเฉิงและฟางฉิงหยางเองก็เช่นกันฉันเห็นเงาสองร่างวิ่งตรงมาทางฉันอย่างเร่งรีบผ่านหางตา แต่ในตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจอะไรแล้วฉันต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน!"ฉันบอกพวกคุณไว้เลยนะว่าการรับสินบนช่วยฆาตกรให้พ้นผิดมันผิดกฎหมาย!" เสียงของฉันดังขึ้นเรื่อย ๆ จนสถานีตำรวจเหลือเพียงเสียงตะโกนของฉันตรงหน้าฉัน ผู้บัญชาการตำรวจเองก้กำลังหน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธ สายตาของเขาเย็นเยียบจ้องฉันราวกับจะกลืนฉันเข้าไปทั้งเป็นถ้าเป็นปกติ ฉันอาจจะรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแต่ในตอนนี้ความโกรธได้ครอบงำฉันจนไม่เหลือที่ว่างให้ความกลัวอีกแล้วดวงตาของฉันแดงก่ำ ร่างกายพุ่งไปข้างหน้า หมายจะคว้าปกเสื้อของเขาเพื่อถามให้รู้เรื่องแต่ก่อนที่มือของฉันจะสัมผัสชายเสื้อของผู้กำ
ฉันคิดว่าถ้าฉันได้หลักฐานมา ก็จะสามารถส่งเฉินเยวี่ยเข้าคุกได้ แต่ใครจะคิดว่า สุดท้ายแล้วก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี คดีถูกปิดแล้ว และเฉินเยวี่ยก็ถูกพาตัวไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะชนเธอให้ตายแล้วด้วยซ้ำ ฉันหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะตบหลังมือของเฉิงเฉิงเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” เมื่อเฉิงเฉิงได้ยินฉันพูดเช่นนั้น น้ำตาก็พรั่งพรูออกมา “ลั่วเป่า เธอไม่ต้องกลั้นน้ำตาไว้หรอกนะ ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาได้เลย อยู่ต่อหน้าเรา ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก” ฉันมองดูเฉิงเฉิง มองดูเธอปล่อยน้ำตาไหลพรั่งพรูราวกับเขื่อนแตกแม้แต่ฟางฉิงหยาง ดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ ได้ยินเสียงสะอื้นของเฉิงเฉิง แต่ในดวงตาของฉันกลับแห้งผากไร้น้ำตาฉันร้องไห้ไม่ออกแม้กระทั่งเมื่อเห็นน้ำตาในดวงตาของเฉิงเฉิงและฟางฉิงหยาง ฉันกลับรู้สึกเลือนลาง ราวกับว่าฉากแบบนี้ห่างไกลจากตัวฉันเหลือเกิน ไกลเสียจนฉันไม่อาจสัมผัสถึงอารมณ์ใด ๆ ได้เลย ฉันจ้องมองพวกเขาอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “ฉันอยากกลับบ้าน” เฉิงเฉิงดูเหมือนจะตกใจกลัวกับสิ่งที่ฉันพูด พอได้ยินฉันบอกว่าอ
หลังจากฉันออกไป เฉิงเฉิงก็ตื่นขึ้นมา เธอหันไปมองเตียงผู้ป่วยโดยอัตโนมัติ แต่บนเตียงกลับไม่มีฉันอยู่แล้ว เมื่อวานฉันเป็นลมหน้าสถานีตำรวจ เธอตกใจมาก รีบเรียกรถแล้วพาฉันส่งโรงพยาบาลพร้อมกับฟางฉิงหยาง หมอบอกว่าฉันเป็นลมเพราะความเครียดและความโศกเศร้าอย่างรุนแรง แค่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว แต่เฉิงเฉิงยังไม่วางใจ คอยเฝ้าฉันอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา ช่วยวอร์มมือให้ฉัน ทาปากให้ชุ่มชื้น และทุกครั้งที่ฉันมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เธอก็รีบเข้ามาดูทันที พอถึงช่วงดึก เฉิงเฉิงเริ่มทนไม่ไหว จึงผล็อยหลับไปในที่สุด ใครจะคิดว่าเพียงแค่ชั่วขณะ พอตื่นขึ้นมาอีกที ฉันกลับหายไปแล้ว เฉิงเฉิงตกใจจนร้องไห้ออกมา มือสั่นเทาควักโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาฟางฉิงหยาง “ฟางฉิงหยาง ลั่วเป่าหายไปแล้ว!” ฟางฉิงหยางตกใจจนหน้าถอดสี เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบขับรถตรงมายังโรงพยาบาลทันที เฉิงเฉิงเพิ่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลเสร็จ พอเห็นฟางฉิงหยางมา น้ำตาก็พลันพรั่งพรูอีกครั้ง “ฟางฉิงหยาง…” เฉิงเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของฟางฉิงหยาง เธอกอดเขาไว้แน่นแล้วพูดทั้งน้ำตาเสียงสะอ
ฉันง่วงมากจนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน พอรู้ตัวอีกที เสียงของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นปลุกฉัน“ซิงลั่ว ตื่นเถอะ”ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงงงวย มองไปรอบ ๆ อย่างสับสนดูเหมือนว่าเราจะจอดอยู่หน้าร้านเช่าชุดราตรี ฉันเปิดประตูรถลงไปถามว่า “มาที่นี่ทำไม?”“ลืมแล้วเหรอ?”เสียงของลั่วอี้ฝานดังขึ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ลืมจริง ๆ เหรอ?”“อ๋อ” ฉันพึ่งจะนึกออก หลังจากที่เขาโทรมาบอกตอนกลางวันว่า ตอนเย็นจะพาฉันไปเจอใครบางคน ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเราคือไปร่วมงานเลี้ยงไม่นานนัก เราก็เลือกชุดราตรีจากร้านเสื้อผ้าได้หนึ่งชุด พร้อมทั้งจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อออกมาจากร้านชุดราตรี รถเบนท์ลีย์สีดำสำหรับนักธุรกิจจอดรออยู่ตรงหน้าฉันลั่วอี้ฝานผายมือเชิญอย่างสุภาพ ฉันหันไปมองเขาพลางถาม “เปลี่ยนรถแล้วเหรอ?”“อืม” เขาดูเวลาที่นาฬิกา จากนั้นเปิดประตูรถ “เร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”บนรถ เขาเพิ่งเล่าให้ฉันฟังว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาได้ขยายทีมงานเพิ่มขึ้น ทั้งจ้างคนขับรถและพนักงานใหม่ อีกทั้งยังเล่าถึงครั้งหนึ่งที่เขาไปเจรจาธุรกิจ แต่ถูกยกเลิกการนัดหมาย เพราะแต่งตัวไม่เป็นทางการและรถที่ใ
อัลเลนหมายถึงให้ฉันเข้าร่วมการแข่งขันออกแบบเสื้อผ้างั้นเหรอ?ก่อนกลับมาจากเมืองอวิ๋นเฉิง ฉันลาออกจากงานของเขาไปแล้วการออกแบบเสื้อผ้าเป็นความฝันของฉัน แต่ตอนนั้นมีหลายอย่างที่ต้องรีบทำจนต้องพักความฝันไว้ก่อน แล้วตอนนี้ล่ะ?ฉันควรสานต่อไหมนะ?ฉันคว้าหมอนอิงมาหนึ่งใบ เอนตัวขึ้นมานั่ง มองออกไปนอกหน้าต่างทั้งคืนฉันนอนไม่หลับเลย พอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น รู้สึกทั้งร่างกายอ่อนล้าและไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิดฉันเดินไปชงกาแฟในครัว หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูกลุ่มแชทของเพื่อนในห้องมีข้อความที่หลี่เสี่ยวอวี่และเจี่ยนซินแท็กฉันไว้ พวกเธอบอกว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะมีการแข่งขันออกแบบเสื้อผ้า มีกรรมการชื่อดังมากมาย พวกเธอถามฉันว่าจะเข้าร่วมหรือเปล่าฉันกดลิงก์รายละเอียดการสมัครแข่งขันครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดโทรศัพท์ลงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงขณะเหม่อลอยอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นสายจากลั่วอี้ฝานฉันคิดว่าเขาคงโทรมาเรื่องปัญหาโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์จึงกดรับสาย “มีอะไรเหรอ?”“อยู่ไหน?”“อยู่ที่อะพาร์ตเมนต์”“วันนี้วันศุกร์ เธอไม่มีเรียนแล้วใช่ไหม?” เสียงของลั่วอี้ฝานฟังดูสบาย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ ฉันกลับรู้สึกสนุก หัวเราะเย้ยเบา ๆ ทำให้สีหน้าที่ไม่พอใจอยู่แล้วยิ่งดูแย่ลงไปอีกบางทีลูกน้องข้างกายเขาอาจรู้สึกว่าคำพูดของฉันล้ำเส้นไป และล่วงเกินคุณปู่กู้เกินงาม จึงได้ก้าวออกมาข้างหน้า“คุณหนูเฉียว ข้อเสนอของคุณท่านนั้นเอื้อเฟื้อมากกว่าคนส่วนใหญ่เยอะ คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาจะให้ได้มากขนาดนี้ไหม?”ฉันส่ายหัว “แน่นอนว่าไม่”เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นกู้เซิ่งเหยียนเขานี่ช่างใจกว้างจริง ๆแต่ในความเป็นจริงล่ะ?มีแค่คนใกล้ชิดเขาเท่านั้นที่จะรู้ว่าความจริงเขาเป็นคนยังไงเงื่อนไขที่ดูดี?ก็ต้องดูด้วยว่าต้องแลกมากับอะไรบ้างการให้และผลตอบแทนที่มากมายเช่นนี้ สำหรับฉันแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากโจรกู้เซิ่งเหยียนไม่ชอบฉัน และฉันก็เกลียดเขายิ่งกว่าฉันอ่านเอกสารข้อตกลงตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกครั้งที่อ่านผ่านหนึ่งข้อ ความโกรธในใจก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเมื่ออ่านจบ ฉันก็ฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ด้วยมือของตัวเอง!กู้เซิ่งเหยียนนิ่งอึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าของชราจะขึ้นสีแดงจัดนั่นเพราะเขาโกรธ“คุณท่าน อย่าเพิ่งโกรธเลยครับ!” ลูกน้องรีบปลอบใจ“ใช่ค่ะ ต้องโกรธอยู่แล
ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลกู้เลยสักนิด ฉันลังเลว่าจะไปที่ภัตตาคารจิ่งเฮ่อดีไหม แต่ปลายสายกลับส่งหมายเลขห้องที่จองไว้มาให้เรียบร้อยแล้วรวดเร็วขนาดนี้ คุณปู่กู้ดูมั่นใจเหลือเกิน ไม่กลัวว่าฉันจะเบี้ยวนัดในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะกล้าทำลายความหวังดีของเขาได้ยังไงล่ะ?ฉันปรับอารมณ์ หอบความสงสัยไปที่ภัตตาคารจิ่งเฮ่อเมื่อมาถึงห้องสองศูนย์หนึ่งชั้นสาม ก็พบว่ามีสองคนรอฉันอยู่ในนั้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย คนหนึ่งคือผู้ดูแลของกู้เซิ่งเหยียน และอีกคนก็คือตัวเขาเองจะบอกว่าฉันให้ความเคารพหรือยกย่องเขาน่ะเหรอ? คงไม่มี มีเพียงความไม่ชอบเท่านั้น“คุณปู่กู้เรียกฉันมาที่นี่โดยเฉพาะ คงไม่ใช่แค่เพื่อมารำลึกความหลังหรอกใช่ไหมคะ?” ฉันพูดเย้ยหยันอย่างเย็นชาเมื่อรู้ว่ากู้จือโม่ทำให้เขาโมโหจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วมองดูร่างกายที่ร่วงโรยใกล้สิ้นลมของเขาในตอนนี้ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของโรครุมเร้าแม้จะอยู่ห่างออกไป ฉันก็ยังได้กลิ่นยาจากตัวเขาน่าเสียดายที่กู้จือโม่ไม่ได้ทำให้เขาโมโหจนตายไปเสียเลยคุณปู่กู้ขมวดคิ้ว พยายามใช้อำนาจของเขาเพื่อกดดันฉันฉันหัวเราะเยาะในใจ หยิบกาน้ำชาขึ้นมา เทชาดื่มด้วยท่
"ดึกดื่นขนาดนี้ ยังมีหน้ามาดื่มอีก! ว่าไง บอกมาเลยว่าทำไมถึงดื่ม?" เฉิงเฉิงถาม เธอนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริง ๆ แค่คำพูดประโยคเดียวก็เดาเรื่องราวได้มากมาย แถมคงจินตนาการเสริมอีกเพียบแน่นอนฉันหลุดขำเบา ๆ "เธอมานี่ก่อนสิ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันยาว ๆ"เฉิงเฉิงตอบกลับทันที "ได้" แล้วเธอก็วางสายไปฉันรู้ว่าตอนนี้เธอคงกำลังมุ่งหน้ามาหาฉันแล้วพอมาถึง เฉิงเฉิงยังไม่ทันพูดอะไร ก็เริ่มไล่บ่นพลางนับจำนวนขวดไวน์ที่ฉันดื่มทันที มิตรภาพราวกับพี่น้องแบบนี้ ต้องยอมรับเลยว่าจริงใจมาก…"ดื่มเยอะขนาดนี้เชียว?" เฉิงเฉิงอุทานอย่างตกใจฉันมองขวดเปล่าบนพื้นอย่างเลื่อนลอย "เยอะเหรอ?"เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "เยอะสิ! ดื่มเยอะมันไม่ดีต่อสุขภาพนะ บอกมาสิว่าทำไมคืนนี้ถึงดื่มหนักขนาดนี้?"เมื่อถูกเธอถาม ฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เธอฟัง"เธอถูกกู้จือโม่ทำให้จิตใจปั่นป่วนใช่ไหม? ถึงได้มานั่งดื่มเหล้าคนเดียวตอนดึก ๆ แบบนี้ แล้วยังเรียกฉันมาคุยเป็นเพื่อนอีก!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงแทบจะกรีดร้องออกมา"ก็แน่ล่ะ เธอเป็นเพื่อนรักของฉันนี่ ฉันไม่เรียกเธอแล้วจะให้ไปเรียกใครล่ะ?" ฉันยิ้มหวานให้
บรรยากาศเงียบงันโดยไร้สาเหตุ ฉันเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า "ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันก่อนนะ"ถึงอย่างไรฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้โดยไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา มีก็แต่ความกระอักกระอ่วนใจและความลำบากใจ“ลั่ว...” ในที่สุด กู้จือโม่ก็เปิดปากพูด แต่พูดได้เพียงคำเดียวก่อนจะหยุดลงฉันรู้ว่าเขาอยากจะเรียกฉันว่า "ลั่วเป่า" แต่สำหรับตอนนี้ ชื่อเรียกนั้นมันเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายสำหรับฉันและเขาเท่านั้นกู้จือโม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมองฉันด้วยแววตาลึกซึ้ง ฉันกลับมองไม่ออกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร“คุณกู้?” ฉันเรียกเขา เพียงแค่อยากให้สถานการณ์ตอนนี้จบลงโดยเร็วแต่การเรียกของฉันกลับทำให้ความเงียบงันในสายตาของเขาเกิดประกายแห่งความยินดีและความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับกลายเป็นความหม่นหมองดังเดิมในชั่วขณะนั้น ฉันกลับรู้สึกใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อยในใจฉันเกิดเพลิงโทสะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่เขาเป็นคนที่มีส่วนทำให้คุณย่าของฉันต้องตาย แต่เมื่อได้พบเขาอีกครั้ง ฉันก็นึกว่ามันควรจะเหลือเพียงความเกลียดชังและความไม่พอใจเท่านั้นแต่เมื่อฉันมองเขาในตอนนี้ ท่าทีที่เหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด อยากเ
เมื่อเฉียวกรุ๊ปล้มละลาย เฉียวเจี้ยนกั๋วก็ไม่ต้องการเป็นผู้แพ้เพียงคนเดียว เขาจึงต้องการให้ฉันจบชีวิตไปพร้อมกับเฉียวกรุ๊ปด้วย!ตลกน่า! นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ฉันกัดฟันแน่น ก่อนจะวิ่งพุ่งเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งในตึกยังมีคนอยู่ ดูเหมือนพวกเขากำลังประชุมกันตอนที่ฉันเข้าไป คนในนั้นเพียงแค่ตกใจเล็กน้อย แต่ทันทีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วถือมีดบุกเข้ามา ทุกคนถึงกับแตกตื่นทันที!เสียงกรีดร้องและการวิ่งหนีเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกันแต่สายตาของเขาฉับไวมาก เขาเลือกที่จะวิ่งไล่ตามฉันเพียงคนเดียว!วิ่งมาไกลขนาดนี้ ตอนที่ไม่ได้หยุดรู้สึกเหมือนยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็วขึ้น แต่พอหยุดกะทันหันกลับรู้สึกได้ทันทีถึงความเหนื่อยล้าอย่างแท้จริง"นางลูกทรพี แกตายพร้อมกับเฉียวกรุ๊ปของฉันเสียเถอะ!" เฉียวเจี้ยนกั๋วตะโกนพล่ามราวกับคนเสียสติ ไม่สนใจสายตาใครทั้งนั้น แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการฆ่าฉันขณะที่เขาถือมีดพุ่งเข้ามาจะจ้วงแทงฉัน ฉันกำลังจะวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น เสียง “ปัง" ก็ดังขึ้น เก้าอี้ตัวหนึ่งกระแทกเข้าที่ด้านหลังของเฉียวเจี้ยนกั๋วเต็มแรงเฉียวเจี้ยนกั๋วเซถลาไปสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับมาฟันด้วยมีดตามสัญชาตญา
"ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเฉียวกรุ๊ป" แต่เมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉันเอง เมื่อได้รับคำรับรองจากฉัน เฉียวเจี้ยนกั๋วที่เคยบ้าคลั่งก็ดูสงบลงบ้าง เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ก่อนจะร้องว่าฟ้าไม่ทอดทิ้งฉันแล้ว และชมฉันว่าในที่สุดก็ทำตัวกตัญญูสักที ฉันยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมรอยยิ้มหยันบาง ๆ ที่มุมปากหลังจากนั้นฉันก็ให้ลั่วอี้ฝานไปวางแผนล่อให้เฉียวกรุ๊ปมาติดกับฉันให้เขาโยนโครงการหนึ่งในโปรเจกต์ "โครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์" ไปให้เฉียวกรุ๊ปจัดการด้วยความโลภของเฉียวกรุ๊ป พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่ใช้วิธีลักไก่ในโครงการนี้ ฉันแค่ต้องรอให้พวกเขาติดกับดักเท่านั้นเองวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวเจี้ยนกั๋วดูมีความสุขราวกับทุกอย่างกำลังไปได้สวย ไม่มีร่องรอยของความตกอับก่อนหน้านี้เลยส่วนฉันยังคงใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ กับการเรียนของตัวเองต่อไป จนเมื่อเวลาสุกงอม ฉันจึงสั่งให้ลั่วอี้ฝานลงมือเก็บตาข่ายจับเป้าหมายทันทีในวันที่ปิดเกม ฉันเห็นข่าวบนโลกออนไลน์เต็มไปหมด ทุกข่าวต่างประณามเฉียวกรุ๊ปว่าเรื่องการลดต้นทุนจนคุณภาพต่ำเมื่อฉันยื่นฟ้องเฉียวกรุ๊ปเรื่องคุณภาพโครงการที่ไม่ผ่านมาตรฐาน เฉียว
จริงดังคาด พอเขากลับถึงบ้าน เพียงคิดถึงหน้าฉันในตอนกลางคืน ใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัด ส่วนเรื่องที่เขาพยายามจะหลอกเอาเงินจากฉัน ฉันก็ได้บอกกับลั่วอี้ฝานแล้วเหมือนกัน ตอนที่เขารู้เรื่องนี้ สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักและเต็มไปด้วยความสับสน “ทั้งที่เป็นครอบครัวกันแท้ ๆ ทำไมต้องมาถึงขั้นนี้ด้วย?” ลั่วอี้ฝานถามด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตาเผยให้เห็นถึงความสับสนและไม่แน่ใจ ฉันตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา “บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ทำทุกอย่างเพียงเพราะผลประโยชน์ และพวกเขาก็เหมือนกับปลิงฝูงหนึ่ง ที่นอกจากดูดเลือดก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีกแล้ว” ใบหน้าของลั่วอี้ฝานเผยความตกตะลึงออกมา คงไม่เคยคาดคิดว่าคำพูดจากปากของฉันจะไร้ความปรานีถึงเพียงนี้ “เราจำเป็นต้องทำลายตระกูลเฉียวจริง ๆ เหรอ?” ลั่วอี้ฝานจ้องหน้าฉัน พยายามจับความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของฉัน น่าเสียดาย ที่ฉันยังเหมือนเดิม เย็นชาเหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง และจะแสดงความเป็นมนุษย์ออกมาเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ไม่มีใครล่วงรู้เท่านั้น “ตระกูลเฉียวโลภไม่รู้จักพอ ฉันเคยถูกพวกเขาดูดจนหมดตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้จะไม่ยอมอีกต่อไป” ฉันจะไม่คาดหวัง