หลังจากแยกย้ายกลับเรือนของตนไป จ้าวฟางหรูก็ได้แต่จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ระทม ทว่านางก็ไม่ยอมแพ้พยายามมองหาทางออกให้ตัวเองอย่างเงียบๆ จู่ๆ นางก็นึกไปถึงใบหน้าหล่อเหลาของบัณฑิตหนุ่มที่เพิ่งได้พบเจอกัน หากเป็นเขาผู้นั้นยังจะดีเสียกว่า ชีวิตนี้นางไม่มีวันยอมที่จะออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพหรือขุนนางฝ่ายบู๊เป็นอันขาด
“คุณหนู…บ่าวเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรีบไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนก่อนเถิดนะเจ้าคะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เปี๋ยเอ๋อบอกจ้าวฟางหรูออกมา พลางมองคุณหนูใหญ่ของนางด้วยแววตาเห็นใจ ทว่าเรื่องเช่นนี้หาใช่เรื่องที่ตนจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้ “ขอบใจนะเปี๋ยเอ๋อ” จ้าวฟางหรูบอกสาวรับใช้คนสนิทของตน จากนั้นจึงเดินเข้าไปภายในห้องอาบน้ำด้วยสติที่เลื่อนลอย เปี๋ยเอ๋อถอนหายใจออกมาก่อนที่นางจะหันไปเตรียมที่นอนให้คุณหนูของนาง ภายในอ่างน้ำที่เคยมีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ ยามนี้มีสตรีเรือนร่างงดงามก้าวเท้าลงไป นางนอนแช่น้ำอย่างใคร่ครวญ พยายามหาทางออกให้แก่ตนเอง นางได้แต่คิดเสียใจในภายหลังว่า เหตุใดก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะออกเรือนไปเสีย เหตุใดต้องรอให้ถึงวันที่นางถูกบีบบังคับให้ออกเรือนไปกับบุรุษที่นางไม่เคยต้องการ ครั้นนึกไปถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกใจนางยิ่งนัก ของบัณฑิตหนุ่มที่เพิ่งได้พบเจอในวันนี้ จ้าวฟางหรูก็พลันคิดแผนการดีๆ ขึ้นมาได้ “เปี๋ยเอ๋อ….เจ้าอยู่ข้างนอกหรือไม่” นางร้องเรียกสาวรับใช้คนสนิท ที่ยามนี้รอคอยปรนนิบัตินางอยู่ด้านนอก “เจ้าค่ะ…คุณหนูใหญ่ต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” เปี๋ยเอ๋อเดินเข้ามาภายในห้องอาบน้ำ แล้วจึงเอ่ยถามความต้องการของจ้าวฟางหรู “เจ้าช่วยส่งคนไปสืบประวัติของคุณชายใหญ่ตระกูลเเถียนผู้นั้นมาให้ข้าที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในตระกูล ความสัมพันธ์ของคนในตระกูล หรือแม้แต่สถานที่ที่เขาชอบไป” เปี๋ยเอ๋องุนงงว่าเพราะเหตุใด คุณหนูใหญ่ของนางถึงได้นึกสนใจทั่นฮวาหนุ่มผู้นั้นขึ้นมา หรือเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งนัก หากคุณหนูใหญ่คิดกระทำเรื่องไม่งามขึ้นมานางจะทำเช่นไร นางควรจะรายงานเรื่องนี้ให้แก่นายท่านใหญ่ กับนายหญิงใหญ่ทราบก่อนดีหรือไม่ ทว่าในขณะที่เปี๋ยเอ๋อกำลังแสดงสีหน้าสับสนอยู่ จ้าวฟางหรูก็กล่าวขึ้นมา “แล้วก็ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดเป็นอันขาด มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปเสีย” คำขู่ของจ้าวฟางหรูย่อมได้ผลกับเปี๋ยเอ๋อ จะมีทาสในเรือนใดบ้าง ที่อยากถูกขายออกไป ยิ่งกับเปี๋ยเอ๋อที่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนคหบดีแห่งนี้อย่างสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ย่อมตัดใจที่จะออกจากจวนไปอย่างยากลำบาก “จะ…เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูก็รีบขึ้นจากน้ำเถิดเจ้าค่ะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว ประเดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้” “อืม…” จ้าวฟางหรูส่งเสียงดังออกมาในลำคอ นางแช่น้ำอยู่ต่ออีกหนึ่งเค่อ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วออกจากอ่างมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว นางสวมใส่ชุดจงอีสีขาวสะอาดตา ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปภายในห้องนอน เช้าวันต่อมา หลังจากปรนนิบัติดูแลคุณหนูใหญ่เรียบร้อยแล้ว เปี๋ยเอ๋อจึงขออนุญาตออกจากจวน เพื่อไปทำตามคำสั่งของคุณหนูใหญ่ทันที จ้าวฟางหรูเชื่อใจสาวรับใช้คนสนิทของนาง นางเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า เปี๋ยเอ๋อกำลังทำสิ่งใดให้นางอยู่ แต่ทว่าจ้าวฟางหรูนั้นคิดผิด เพราะเรื่องที่นางกำลังกระทำ ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของจ้าวฟางเซียนทั้งสิ้น ทุกเหตุการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม “ให้คนแอบตามเปี๋ยเอ๋อไปดีหรือไม่เจ้าคะคุณหนูรอง” จ้าวฟางเซียนส่ายหน้าไปมา ก่อนที่นางจะเดินกลับไปยังเรือนนอนของตน มื้อเช้าผ่านไปแล้ว บิดาออกไปเยี่ยมร้านค้าสกุลจ้าวตั้งแต่เช้า ส่วนพี่ชายก็ออกไปทำงานแล้วเช่นกัน วันนี้จ้าวฟางเซียนไม่ต้องออกไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านค้าของตระกูล ทำให้นางได้ใช้เวลาว่างอยู่ในจวน ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เปี๋ยเอ๋อก็กลับเข้าจวนมาอย่างเงียบๆ นางรีบเข้าไปรายงานเรื่องที่ออกไปสืบมา ให้คุณหนูใหญ่ได้ทราบในทันที คุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นั้น นับได้ว่าเป็นบัณฑิตหนุ่มอนาคตไกล แม้ตระกูลเพิ่งจะเป็นขุนนางใหม่ แต่ทว่าลูกหลานกลับมีความสามารถ สอบผ่านเค่อจวี่รับตำแหน่งขุนนางกันหลายคน แต่ผู้ที่ทำผลงานได้โดดเด่นกว่าผู้ใด ก็คือคุณชายใหญ่สกุลเถียน ทายาทสายตรงของตระกูลเถียน ตระกูลเถียนมีทายาทสายตรงเพียงสองคน นั่นก็คือคุณชายใหญ่เถียนซ่ง วัยยี่สิบปี ตั้งแต่เล็กจนโตตั้งใจศึกษาตำรา ร่ำเรียนวิชาเพื่อสอบขุนนาง จนได้เป็นทั่นฮวาในวัยยี่สิบปี ยังไม่มีภรรยาหรือสตรีข้างกาย และคนรองเป็นบุตรี มีนามว่าเถียนซีหราน อายุห่างจากพี่ชายสองปี ยามนี้ออกเรือนไปกับบัณฑิตตระกูลสือ ผู้เป็นสหายของพี่ชาย ภายในจวนตระกูลเถียนยามนี้ จึงเหลือเพียงเหล่าฮูหยิน นายท่านเถียน เถียนฮูหยิน และคุณชายใหญ่เถียนซ่งเท่านั้น “นับได้ว่าเป็นตระกูลที่ดีตระกูลหนึ่งในเมืองหนานจางเลยล่ะเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ เถียนฮูหยินผู้นั้น บ่าวได้ยินมาว่านางเป็นสตรีที่มีจิตใจดีมีเมตตาอยู่ไม่น้อย ใส่ใจบุตรชายและบุตรี นายท่านเถียนก็เป็นบุรุษที่รักเดียวใจเดียว ทำให้เรือนหลังของตระกูลเถียนนั้นสงบสุขเรื่อยมา บ่าวคิดว่า คุณชายใหญ่เถียนซ่งเอง ก็คงจะเป็นบุรุษที่รักเดียวใจเดียวเหมือนกับนายท่านเถียนเช่นกันเจ้าค่ะ” เปี๋ยเอ๋อแสดงความเห็นออกมาด้วยใบหน้าที่วางใจ หากคุณหนูใหญ่เลือกคุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นี้ นางย่อมเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ทว่านางก็อดที่จะเห็นใจนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ไม่ได้ เพราะถ้าหากคุณหนูใหญ่เลือกที่จะออกเรือนไปกับทั่นฮวาหนุ่ม ปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง ย่อมมากมายเป็นแน่ “เขานี่แหละ…คือทางออกเดียวของข้า เปี๋ยเอ๋อ…เจ้าเองก็คงไม่อยากย้ายไปจากเมืองหนานจางแห่งนี้ใช่หรือไม่ ถ้าใช่..เจ้าต้องคอยช่วยเหลือข้า อย่าให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด ว่าข้ากำลังคิดทำการสิ่งใดอยู่” นัยน์ตาของจ้าวฟางหรูเป็นประกาย นางพึมพำออกมาอย่างมีความหวัง ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับสาวรับใช้คนสนิท “คุณหนูใหญ่คือเจ้านายของบ่าว ไม่ว่าคุณหนูจะไปที่ใด บ่าวย่อมติดตามไปด้วยทุกที่เจ้าค่ะ คุณหนูโปรดวางใจ… บ่าวจะไม่ปริปากเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด” เปี๋ยเอ๋อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้าวฟางหรูยิ้มออกมาอย่างพอใจ จากนั้นนางจึงเดินไปนั่งที่ตั่งตัวยาว แล้วลงมือเย็บปักถุงหอม เพื่อเตรียมนำไปมอบให้แก่ใครบางคน ยามนี้ใบหน้าของนางยังไม่เหมาะนักที่จะออกไปนอกจวน เพราะรอบดวงตาของนางยังคงบวมเป่ง จากการร้องไห้ตลอดทั้งคืน เปี๋ยเอ๋อลอบมองคุณหนูใหญ่ที่ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจเสียที นางก็พลอยรู้สึกโล่งใจไปด้วย นางเองก็ได้แต่หวังว่าทั่นฮวาหนุ่มผู้นั้นจะสนใจในตัวของคุณหนูใหญ่เช่นกัน เรื่องจะได้ไม่ยุ่งยากอย่างที่นางกำลังกังวล เพราะเท่าที่นางได้ยินมา คุณชายใหญ่เถียนซ่งผู้นั้น แม้จะมีรูปโฉมและสติปัญญาโดดเด่น แต่ทว่าที่ผ่านมาเขากลับไม่ชายตาแลสตรีใดเลย หลายวันต่อมา จ้าวหวังเหล่ยจึงได้เรียกบุตรีไปถามอีกหน ว่าจะให้ตอบรับการขอหมั้นหมายของตระกูลเซี่ยได้หรือยัง เพราะจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว แม้ทางตระกูลเซี่ยจะไม่ได้เร่งรัดมา ทว่าบิดาของเขาก็ได้สอบถามเขามาหลายครั้งหลายครา เขาเองก็รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย ที่ต้องบีบบังคับให้บุตรสาวยอมรับการหมั้นหมาย “ท่านพ่อ…ขอเวลาข้าคิดทบทวนอีกสักนิดเถิดเจ้าค่ะ การออกเรือนเป็นเรื่องสำคัญ หากคุณชายสกุลซ่งผู้นั้น ไม่ยินดีที่จะรับลูกเป็นภรรยา ลูกไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน ใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปเช่นนั้นหรือเจ้าคะ คนเราหากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ต้องเริ่มต้นจากการคบหาดูใจกันเสียก่อน ดูอย่างท่านพ่อกับท่านแม่ ยังมีโอกาสได้ทำความรู้จักและคบหาดูใจกันก่อนแต่งงานเลย ลูกเพียงแค่อยากขอโอกาสเช่นนั้นบ้าง จะไม่ได้เชียวหรือเจ้าคะ” จ้าวฟางหรูหยิบยกข้ออ้างมาบอกกับบิดา จ้าวหวังเหล่ยฉุกคิด หากให้เด็กทั้งสองพบหน้าทำความรู้จักกันก่อนย่อมเป็นผลดีกว่า ไม่แน่ว่าหากบุตรสาวของเขาได้พบหน้าคุณชายใหญ่เซี่ยเฟยหลงผู้นั้นแล้ว อาจจะเปลี่ยนใจยอมหมั้นหมายก็เป็นได้ “ได้…พ่อจะไปคุยกับท่านปู่ ให้คุณชายใหญ่เซี่ยแวะมาเยือนที่เมืองหนานจางเสียหน่อย เพื่อให้เขาและเจ้าได้ทำความรู้จักกัน” จ้าวฟางหรูยิ้มกว้างออกมา อย่างน้อยนางก็สามารถใช้ข้ออ้างนี้ ถ่วงเวลาในการสานสัมพันธ์กับคุณชายใหญ่สกุลเถียน เรื่องอะไรที่นางจะยอมละทิ้งความตั้งใจ ออกเรือนไปกับบุรุษที่มาจากตระกูลแม่ทัพกันเล่าครั้นปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวหวังเหล่ยจึงไปพบผู้เป็นบิดา เพื่อบอกกล่าวถึงเรื่องที่ตนเพิ่งได้คุยกับบุตรสาวไป นายท่านผู้เฒ่าค่อยวางใจ ที่อย่างน้อยวันนี้หลานสาว ก็ไม่ต่อต้านเรื่องการหมั้นหมายกับตระกูลเซี่ยอีกแล้ว ทั้งยังร้องขอพบหน้าว่าที่คู่หมั้นก่อนอีกด้วย เป็นเช่นนี้เขาจะขัดข้องไปเพื่อเหตุใด นายท่านผู้เฒ่าจ้าวหยวนจง จึงรีบเขียนจดหมายเพื่อส่งข่าวให้แก่นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยทันที อีกไม่นานสิ่งที่ตนรู้สึกติดค้างตระกูลเซี่ย ก็จะได้รับการตอบแทนแล้ว หากเขาต้องจากไป เขาก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตนเองติดค้างต่อผู้ใดอีกในยามเซิน จ้าวฟางหรูนั่งรถม้าออกจากจวนไปเที่ยวชมตลาด วันนี้เปี๋ยเอ๋อได้ยินมาจากสาวรับใช้จวนตระกูลเถียนว่า คุณชายใหญ่เถียนซ่ง จะออกไปพบปะสหายที่โรงน้ำชาอู๋เหลียง นางจึงตั้งใจจะไปดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชาอู๋เหลียงเช่นกัน เพื่อให้ตนได้อยู่ในสายตาของทั่นฮวาหนุ่ม นางมีเวลาไม่มากแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ต้องผูกไมตรีกับคุณชายใหญ่เถียนซ่งผู้นั้น ก่อนที่คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยจะเดินทางมาถึงเมืองหนานจาง“เป็นถึงทั่นฮวา แต่ข้างกายกลับขาดสตรีที่รู้ใจ ไม่คิดว่าชีวิตเจ้าก็มีเรื่องให้น่าสงสารเช่นกันฮ่า
ณ จวนตระกูลเซี่ย แห่งเมืองหนานจงเซี่ยเฟยอวี่ หรือนายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย กำลังนั่งอ่านจดหมายตอบรับจากตระกูลจ้าวที่อยู่ในมือ ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้นยินดี แต่ทว่ายามนี้บุตรชายกับหลานชาย เพิ่งจะเดินทางออกไปสู้รบกับทหารแคว้นจิ้นที่ชายแดนเมืองหนานตง เขาจึงไม่อาจตอบรับคำร้องขอ ที่ตระกูลจ้าวกล่าวมาในจดหมาย ว่าขอให้คุณชายใหญ่เซี่ยเฟยหลง เดินทางไปพบหน้าคุณหนูตระกูลจ้าว ก่อนที่จะตอบรับการหมั้นหมายกัน“ทางนั้นเขาตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะท่านพี่” เหลียงลี่จู ผู้เป็นภรรยาเอ่ยถามสามีออกมา“เขาบอกว่าอยากจะให้หลงเอ๋อร์ของเรา เดินทางไปพบหน้าหลานสาวของเขาก่อน ก่อนที่เด็กทั้งสองจะหมั้นหมายกัน”เหลียงเหล่าฮูหยินพยักหน้าขึ้นลง นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของทางฝั่งตระกูลจ้าว เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงตระกูลคหบดี ร่ำรวยมาจากการค้าขาย หาใช่ตระกูลขุนนางเช่นตระกูลเซี่ยไม่ หากจะให้ลูกหลานออกเรือนมา ก็ต้องทำให้นางรู้สึกยินยอมพร้อมใจด้วยเช่นกัน“ยามนี้เหตุการณ์ชายแดนเมืองหนานตงก็ไม่สงบเสียด้วย ข้าก็หวังเพียงแต่ว่า ฉีเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์จะสามารถร่วมมือกัน จัดการกองทัพแคว้นจิ้นให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้โดยเร็ว” เซี่ยเฟยอวี่ก
หลังจากที่จ้าวฟางหรูเดินออกจากห้องตำราไป หวงฟางหรง หรือฮูหยินใหญ่ก็เดินเข้ามาหาผู้เป็นสามี จ้าวหวังเหล่ยที่กำลังตรวจสอบบัญชีของร้านค้าประจำตระกูลอยู่จึงยอมละมือ เขาเงยหน้ามองภรรยา ก่อนที่จะส่งยิ้มจางๆ ให้แก่นาง หวงฟางหรงเดินมานั่งลงข้างๆ เขา แล้วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“หรูเอ๋อร์ว่าเช่นไรบ้างหรือเจ้าคะ”“ลูกไม่ได้คัดค้านอันใด ข้าได้เห็นท่าทีของนางในวันนี้ก็ค่อยรู้สึกสบายใจ ที่ผ่านมาข้ากังวลว่าจะบีบบังคับลูกเกินไป แต่ดูๆ แล้ว หรูเอ๋อร์ของพวกเรา เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด เป็นข้าเองที่กังวลมากจนเกินไป” จ้าวหวังเหล่ยตอบภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายครั้นได้ยินเช่นนั้น หวงฟางหรงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทว่านางพยายามคิดไปในทางที่ดี ว่าบุตรีของนางยอมรับชะตากรรมที่จะต้องออกเรือนไปกับขุนนางฝ่ายบู๊อย่างตระกูลแม่ทัพ แต่ไม่ใช่ว่านางจะวางใจเสียทีเดียว เพราะเห็นว่าจ้าวฟางหรูดูยอมแพ้ง่ายดายเกินไป นางได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ โดยเลือกที่จะไม่ปรึกษากับผู้เป็นสามีหลังจากวันนั้น หวงฟางหรงจึงสั่งให้บ่าวในจวน คอยติดตามดูพฤติกรรมของคุณหนูใหญ่ในช่วงเวลานี้ นางจึงได้รับรู้ว่าจ้าวฟ
ณ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้บรรยากาศภายในจวนเป็นไปด้วยความเศร้าหมอง ขุนนางมากหน้าหลายตาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอดีตแม่ทัพใหญ่เซี่ย ต่างก็เดินทางมาร่วมพิธีคำนับศพของเขา การจากไปของแม่ทัพใหญ่เซี่ย ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญ และเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของแคว้นเจิ้งฮ่องเต้จึงทรงมีพระเมตตา มอบบรรดาศักดิ์ใหม่ให้แก่ตระกูลเซี่ยเป็นบรรดาศักดิ์โหว ซึ่งผู้ที่ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์โหวต่อจากท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ล่วงลับ นั่นก็คือคุณชายใหญ่เซี่ยเฟยหลง ทว่ารองแม่ทัพหนุ่มกลับไม่รู้สึกยินดีกับการได้รับบรรดาศักดิ์ในครานี้เลยสักนิด หากเลือกได้เขาคงเลือกให้บิดากลับมามีชีวิตมากกว่า“ในความโชคร้ายของตระกูลเซี่ย แต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่สินะ ยามนี้รองแม่ทัพเซี่ยแม้จะอายุยังน้อย ทว่าเขากลับได้รับบรรดาศักดิ์เป็นถึงท่านโหวแล้ว ลูกหลานของเขาในภายภาคหน้าก็จะได้สืบทอดบรรดาศักดิ์นี้ต่อไปด้วย”“บุตรีจากตระกูลใดที่จะเป็นสตรีที่โชคดี ได้หมั้นหมายกับท่านโหวเซี่ยเฟยหลงกันหนอ” ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างครุ่นคิด“ข้าได้ยินมาว่า ท่านผู้เฒ่าเซี่ยได้ทาบทามบุตรีจากสกุลจ้าวแห่งเมืองหนานจางเอาไว้แล้ว ไหนเลยตระกูลใดจะยังมีความหวัง ได้
เกือบชั่วยามครึ่ง ที่สาวรับใช้คนสนิทออกไปสืบข่าวการจากไปของคุณชายรองเซี่ยให้จ้าวฟางเซียน ก่อนที่นางจะกลับมารายงานคุณหนูรองของนางด้วยความตื่นเต้น และการที่จ้าวฟางเซียนส่งซู่เอ๋อออกไปสืบเรื่องราวของคุณชายรองเซี่ยในครานี้นั้น ถือว่าไม่เสียเที่ยว เพราะสาวรับใช้คนสนิทของนางได้รู้เรื่องราวของคุณชายรองมาไม่น้อย“เถ้าแก่เนี้ยที่ร้านผ้าไหมปี้ชุนในตลาดเล่าให้บ่าวฟังว่า คุณชายรองสกุลเซี่ยเดิมทีเป็นคุณชายหนุ่มรูปงาม สตรีมากมายต่างอยากผูกไมตรีกับเขา แต่ทว่าเขากลับไม่สนใจสตรีใดในเมืองหนานจง และเพราะเป็นนักปราชญ์จึงออกเดินทางไปต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง จนไปเยือนเมืองหนานจาง เขาก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่ง บ่าวที่ติดตามคุณชายรองเซี่ย เคยเล่าให้พวกสาวใช้ในจวนฟังว่า สตรีนางนั้นมีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียน รอยยิ้มของนางก็สะกดใจบุรุษให้ลุ่มหลงไม่น้อย”ซู่เอ๋อหยุดเล่าก่อนที่นางจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมากระดก จ้าวฟางเซี่ยนไม่ตำหนิสาวรับใช้คนสนิท เพราะเห็นว่านางออกไปสืบความมาให้ตนอย่างทุ่มเท“คุณหนูลองคาดเดาดูสิเจ้าคะ ว่าสตรีนางนั้นมีแซ่ใด” จ้าวฟางเซียนเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจทันที“ข้าจะคาดเดาได้เช่นไร ในเมื่อสตรีที่ม
ขบวนรถม้าของสกุลจ้าว เดินทางกลับถึงเมืองหนานจาง หลังใช้เวลาเดินทางออกมาจากเมืองหนานจงเพียงหนึ่งคืนสองวัน จ้าวฟางเซียนแทบจะรอไม่ไหว ที่จะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องของคุณชายรองสกุลเซี่ย จากเรื่องที่นางให้สาวรับใช้คนสนิทไปสืบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะออกจากเมืองหนานจงมา ทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีคนจงใจใส่ร้ายพี่สาวของนาง เพราะนางยังเยาว์วัย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะไปมีเรื่องผิดใจกับสตรีหรือบุรุษใด“อวี้….”เสียงบ่าวที่บังคับรถม้าร้องออกมาเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ม้าหยุดเดิน รถม้าจึงหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลจ้าว นายท่านผู้เฒ่าจ้าวและคนอื่นทยอยกันเข้าไปในจวน รถม้าของจ้าวฟางเซียนรั้งท้ายขบวน“ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะคุณหนูรอง” ซู่เอ๋อรายงานจ้าวฟางเซียนพลางใช้มือเปิดม่านแล้วลงจากรถม้าไปก่อน เพื่อรอรับจ้าวฟางเซียนอยู่ด้านนอกร่างเล็กโผล่พ้นม่านประตูรถม้า ก่อนที่จะหยุดนิ่งยืนมองไปยังด้านนอก บรรยากาศและกลิ่นอายที่คุ้นเคยปะทะเข้าจมูก ซู่เอ๋อยื่นมือไปรับคุณหนูรองให้ลงมาจากรถม้า ครั้นลงไปจากรถม้าแล้ว เจ้าของร่างเล็กจึงบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ จากการนั่งรถม้ามานาน“เจ้ารี
ชีวิตก่อนนางไม่เคยพบหน้าเหลียงเยว่เล่อมาก่อน รู้เพียงแค่ว่าพี่สาวของนางมีสหายที่คบหากันก่อนแต่งงานอยู่หนึ่งคน แต่หลังจากออกเรือนไปได้ไม่นานก็เลิกคบหากัน แต่เพราะสาเหตุใดนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะยามนั้นนางหาได้ใส่ใจเรื่องของจ้าวฟางหรู พี่สาวที่เห็นแก่ตัวของนางไม่“ถึงว่าพี่ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้ายิ่งนัก เป็นเพราะเจ้ามีหน้าตางดงามไม่แพ้ฟางหรูเลย อืม…พี่มีธุระต้องไปทำต่อ เอาไว้โอกาสหน้าค่อยพูดคุยกันให้มากหน่อย”เหลียงเยว่เล่อเห็นท่าไม่ดี จึงยอมถอยดีกว่า วันนี้ไม่เหมาะที่นางจะทำอวดเบ่งที่ร้านจ้าวจาง เพราะถ้าหากน้องสาวของจ้าวฟางหรูนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่พี่สาว อีกฝ่ายต้องรู้ตัวเป็นแน่ ว่านางใช้ความเป็นสหาย อ้างสิทธิ์ขอให้ผู้ดูแลร้านจ้าวจาง นำสินค้าใหม่ออกมาให้นางชื่นชมก่อนผู้ใด“เจ้าค่ะ”จ้าวฟางเซียนมองตามสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม ทว่ากลับมองหาความพิเศษใดๆ ไม่เจอเดินออกจากร้านจ้าวจางไป โหงวเฮ้งของคุณหนูรองสกุลเหลียงนางนี้ ดูอย่างไรก็เป็นคนที่ไม่น่าคบหา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พี่หญิงใหญ่ของนางถึงได้คบหาสตรีเช่นนี้กัน จ้าวฟางเซียนถอนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนที่จะหันกลับไปถามผู้ดูแลร้าน“คุณหน
ภายในเรือนฟางเฟยยามนี้ มีสตรีรูปร่างบอบบางนั่งอยู่บนพื้น นางกำลังร้องไห้ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา ผ้าขาวถูกโยนมากองตรงหน้าของนางทั้งสอง นายท่านใหญ่ของจวนอย่างจ้าวหวังเหล่ย มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล สาเหตุเป็นเพราะบุตรีคนโตเข้ามาบอกกับเขาว่า นางได้พบเจอกับบุรุษที่ตนพึงใจแล้ว และนางจะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้นเขากับภรรยาเพิ่งจะกลับมา จากการเดินทางไปเมืองหนานจงแค่เพียงสี่วัน ทว่ากลับมายังไม่ทันข้ามวัน บุตรีก็มาบอกพวกเขาว่า นางได้พบบุรุษที่ตนพึงใจเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าจ้าวฟางหรูไม่วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น“ปลิดชีพตนเองซะ สตรีเช่นเจ้าไม่สมควรเกิดมาเป็นลูกสาวของข้า”น้ำเสียงที่ดังออกมาจากบุรุษร่างสูงนั้น ฟังดูจริงจังเกินกว่าจะกล่าวว่าเขานั้นพูดเล่น จ้าวฟางหรูตัวสั่นเทาพลันน้ำตาไหลพราก ส่วนหวงฟางหรงที่กำลังโอบกอดบุตรสาวเอาไว้นั้น มองสามีด้วยแววตาตำหนิ ก่อนที่นางจะตัดสินใจกล่าวออกมา“ท่านพี่…พอเถิดเจ้าค่ะ แค่นี้ลูกก็เจ็บช้ำใจมากพอแล้ว”“ท่านพ่อ!!! นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นหรือเจ้าคะ”เสียงของจ้าวฟางเซียนที่ดังมาจากทางด้านหน้าของห้องรับรอง ทำให้จ้าวหวังเหล่ยมองไป
หลังจากพูดคุยกันอยู่นานเกือบสองเค่อ เสียงของทารกน้อยที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมา จ้าวฟางเซียนรีบบอกกล่าวมารดา แล้วรีบเดินออกไปหาบุตรชาย หลังฟื้นมาจากฝันร่้ายในวันนั้น จ้าวฟางเซียนก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่สองวันแรก นางไม่อาจให้นมบุตรชายเองได้ ดีที่แม่สามีมองการณ์ไกล เตรียมแม่นมเอาไว้ให้ เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสองวันแรกที่นางคลอดลู่หมิงออกมา ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา ก็พยายามดูแลร่างกายตนเอง และกินอาหารบำรุงน้ำนม ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ขออนุญาตแม่สามี ให้นางป้อนนมลูกด้วยตัวเอง จางซื่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด เพราะน้ำนมจากมารดาย่อมดีกว่านมจากผู้อื่นอยู่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวฟางเซียนก็ให้นมเซี่ยลู่หมิงเองเรื่อยมา ทว่ามีแม่นมฉินอยู่คอยช่วยดูแลบุตรชาย ในเวลาที่นางไม่ต้องให้นมหวงซื่อเดินตามบุตรสาวเข้ามาในห้องของหลานชาย นางมองไปยังบุตรสาว ที่ออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามปี ทว่ายามนี้ได้มาเห็น ว่านางนั้นมีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ก็พลอยให้รู้สึกโล่งใจ จากที่เคยคิดเป็นกังวล ว่านางจะได้พบเจอกับความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ทำให้นางวางใจล
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากฤดูที่หนาวเย็นยะเยือก แปรเปลี่ยนมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลลี่ชุนก็ได้เวียนมาถึงอีกหน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเริ่มงอกงาม หลายครอบครัวที่ทำการเกษตร เริ่มต้นการเพาะปลูก สรรพสัตว์เริ่มออกจากการจำศีล เพื่อออกหากิน เหล่านายพรานกลับมาทำอาชีพของตนบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่น ส่งเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ได้ยิน ต่างก็พากันยิ้มได้ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากสถานที่อื่น หรือจวนอื่นนัก ทว่าวันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย ได้จัดงานครบเดือนให้แก่คุณชายน้อย ที่มีอายุครบหนึ่งเดือนพอดี บรรยากาศภายในจวน จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขตระกูลจ้าวถือโอกาสที่เหลนน้อยอายุครบเดือน พากันเดินทางมาจากเมืองหนานจาง เพื่อมาเยี่ยมเยือนจ้าวฟางเซียน และบุตรชายของนางที่จวนสกุลเซี่ย เมืองหนานจง จ้าวฟางเซียนมองไปยังผู้คนจากตระกูลเดิมของตน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ชีวิตของนางจะมีโอกาส ได้มาเห็นภาพแห่งความสุขเช่นในวันนี้ท่านปู่ท่านย่าที่อายุมากแล้ว ก็ยังอุตส่าเดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาอวยพรให้เ
“หลงเอ๋อร์…จ้าวซื่อกับเจ้า ได้ตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วใช่หรือไม่”จางซื่อถามบุตรชายออกมาขณะที่ส่งทารกในห่อผ้าไปให้เขา เซี่ยเฟยหลงหัดอุ้มเด็กกับภรรยามาบ้างแล้ว แม้จะมีท่าทีเงอะงะงุ่มง่าม ทว่ากลับดูไม่ขัดตาเท่าใดนัก เซี่ยเฟยหลงก้มมองดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของบุตรชาย ก่อนที่จะเอ่ยนามของเขาออกมา“เซี่ย…ลี่หมิง”เพราะเขาคือแสงสว่างอันงดงาม ส่องลงมายังบนโลกมนุษย์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน จ้าวฟางเซียนเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนตัวเขาเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวเอาไว้ ทว่ากลับไม่ได้ใช้ ช่างเป็นวาสนาของเจ้าตัวน้อยเสียจริง ที่ได้ชื่อที่มารดาเป็นผู้ที่ตั้งให้“นามไพเราะ ความหมายดี…หมิงเอ๋อร์หลานย่า” จางซื่อยื่นมือไปรับหลานชายกลับมา เซี่ยเฟยหลงไม่ดื้อดึง ส่งทารกในห่อผ้ากลับคืนให้แก่มารดาทันที“จ้าวซื่อเป็นคนตั้งชื่อให้เขาใช่หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยถามหลานชายออกมา ก่อนที่จะกวักมือเรียกลูกสะใภ้ให้พาเหลนตัวน้อยมาให้เขาได้เชยชมบ้าง“ขอรับท่านปู่…นางตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนข้าตั้งชื่อบ
หลังจากที่ตรวจพบว่า จ้าวฟางเซียนตั้งครรภ์ จางซื่อก็ได้ส่งแม่นมฉิน ให้มาทำหน้าที่คอยดูแลฮูหยินน้อยอย่างใกล้ชิด แม้เซี่ยเฟยหลงจะรับปากกับมารดาว่า เขาจะไม่ล่วงเกินภรรยา ขอเพียงแค่ให้เขาได้นอนกอดนางก็พอคราแรกจางซื่อก็ไม่ยินยอม ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับช่วยพูดให้แม่สามีเข้าใจ จางซื่อจึงยอมอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย ทว่ากลับให้แม่นมฉิน มานอนเฝ้าอยู่ที่หน้าฉากกั้นแทน เช่นนั้นแล้วหากเซี่ยเฟยหลงมีความคิดเหลวไหล ย่อมถูกแม่นมฉินจับได้“โหวเหย…ท่านต้องเห็นใจบ่าวด้วยสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อนายหญิงท่านสั่งมา บ่าวจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน”เซี่ยเฟยหลงจ้องหน้าแม่นมตาเขม็ง แม่นมฉินฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะสั่งให้คนนำตั่งตัวยาวมาวางไว้ ด้านหน้าฉากกั้น จ้าวฟางเซียนนึกขัน ให้กับใบหน้าของสามีที่กำลังบูดบึ้ง พลางมองไปยังแม่นมฉินด้วยแววตาอบอุ่นแม่นมฉินแคล้วคลาดจากความตายในความทรงจำของนาง หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีครรภ์ ถึงได้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะถ้าหากเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่นางเคยพบเจอแม่นมฉินจะต้องจากไปตั้งแต่ต้น
แสงทิวากำลังจะลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าสีน้ำหมึกกำลังเปลี่ยนเข้ามาแทนที่ สองอาชาสองชายหนุ่ม ยังคงเร่งรีบฝ่าความมืดกลับเมืองหนานจงด้วยความคะนึงหา เซี่ยเฟยหลงไม่แม้แต่คิดที่จะหยุดพัก ในเมื่อเจ้านายไม่ยินยอมที่จะพัก ทั้งคนทั้งม้าจึงได้พากันอดทนจนถึงประตูเมืองหนานจงในเวลาดึกดื่นหากเป็นชาวบ้านธรรมดา มีหรือจะสามารถผ่านทหารเวรยาม ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมืองเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเซี่ยเฟยหลงคือผู้ใด ทหารเหล่านี้ย่อมรู้ดี ครั้นได้เห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกลับมา ต่างก็พากันกล่าวต้อนรับการกลับมา ของผู้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหนุ่มยามนี้ปลดชุดเกราะที่น่าเกรงขามออก เหลือเพียงอาภรณ์เยี่ยงคุณชายทั่วไปสวมใส่เท่านั้น เขาไม่พูดจากับทหารเหล่านี้ให้มากความ รีบกลับเข้าเมืองอย่างเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพของตน“พวกเจ้าอย่าคิดรั้งท่านแม่ทัพไว้นาน เขาเร่งรีบกลับมาย่อมคิดถึงภรรยา” นายทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวกับลูกน้องที่กำลังมองตามท่านแม่ทัพผู้องอาจ ควบอาชาหายไปในความมืดมิดครั้นมาถึงหน้าประตูจวน เซี่ยเฟยหลงสั่งห้ามมิให้ผู้ใด ไปรายงานให้คนด้านในทราบ เพราะเข
ณ ตำหนักไท่เหอ ราชสำนัก แคว้นจิ้นองค์รัชทายาทวัยสามสิบต้นๆ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน เพราะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ยังคงนอนป่วยรักษาตัวอยู่ ทำให้หน้าที่ดูแลบ้านเมือง ตกอยู่ในมือของเขาชั่วคราว อย่างชอบธรรม สีหน้าของเขายามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะความต้องการของเขา ถูกเหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ พากันกล่าวคัดค้านเขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้ บ้านเมืองยังขาดความมั่นคง ยิ่งกับตัวเขาหากไม่สร้างผลงาน ไหนเลยจะขึ้นมานั่งบัลลังก์มังกรนี้อย่างภาคภูมิ เขาจึงอยากใช้การยึดเมืองหนานตงของแคว้นเจิ้ง มาเป็นผลงานเพื่อขึ้นครองราชย์ของตน ถึงอย่างไรบิดา ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“จะทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการน่าจะรู้ดี ว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นจิ้นเรา ยังไม่เหมาะแก่การทำศึก อีกทั้งพวกเราเพิ่งจะสูญเสียแม่ทัพใหญ่อย่างท่านอู่ผา และกำลังทหารจำนวนหลายพันคนไป บ้านเมืองเรายังคงบอบช้ำอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีด้วยเถิด”“ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ใ
สามวันหลังจากที่อี้จงสืบความมาได้ พวกเขาก็สามารถจับกุมพวกหนูสกปรก และได้หลักฐาน เกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คอยให้การสนับสนุน พวกทหารไส้ศึกเหล่านั้นเพียงชั่วคืน ตระกูลหยวนที่เคยรุ่งเรือง และมีอำนาจมากที่สุดในเมืองหนานตง ก็ถูกกองกำลังทหาร เข้ายึดทรัพย์ และตัดสินลงโทษประหารชีวิต ในข้อหาก่อกบฏ สมคบคิด และให้การสนับสนุนพวกทหารแคว้นจิ้น โดยผู้ที่ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษของตระกูลเหลือเพียงเด็กชายอายุต่ำกว่าสิบสองปี และสตรีเท่านั้น ที่เซี่ยเฟยหลงยังมอบโอกาสให้พวกเขา ได้มีชีวิตรอด ทว่าทุกคนก็ต้องถูกลดสถานะ เป็นเพียงสามัญชน ชาวบ้านธรรมดา แต่เพียงแค่นี้ ก็นับว่ายังมีเมตตามากแล้ว ดีที่ไม่เนรเทศเด็กชาย ให้ไปทำงานหนักอยู่ที่ชายแดน และบังคับสตรีให้ไปอยู่หอนางโลม หากเป็นเช่นนั้นแล้ว อยู่ก็ไม่สู้ตาย“ไม่น่าเลย…แล้วเช่นนี้พวกสตรีกับเด็กน้อยเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ใดกัน ใต้เท้าหยวนสมองเป็นหมูไปแล้วหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้ไปร่วมมือกับพวกข้าศึกศัตรูทำลายบ้านเมืองตัวเอง”ชายชราที่ขายน้ำเต้าหู้กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ พลางมองบรรดาสตรีและเด็กสกุลห
ในช่วงเย็นของวันต่อมา ข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ของฮูหยินน้อยจวนสกุลกวน ก็มาถึงจวนแม่ทัพ ซึ่งจ้าวฟางเซียนได้รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว นางจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใด กับเรื่องที่สหายกำลังตั้งครรภ์ เพราะนางได้แสดงความยินดีกับอีกฝ่ายไปก่อนผู้ใดแล้ว ทว่าเรื่องที่นางกำลังให้ความสนใจและรู้สึกเป็นกังวลในยามนี้ ก็คือ สถานการณ์ทางชายแดนเมืองหนานตงต่างหากเพราะชีวิตนี้นางออกเรือนมาเร็วกว่าชีวิตก่อนอยู่หลายเดือนนัก จึงทำให้เหตุการณ์ต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลง และคาดเคลื่อนไปไม่น้อย หากนางอยากรู้ว่าสถานการณ์ชายแดนเมืองหนานตงเป็นเช่นไร ก็คงต้องรอให้สามีกลับมาก่อน แล้วนางค่อยฟังจากปากของเขาเอา“นายหญิง…ท่านจะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ” เซียงซุนเดินเข้ามาสอบถามจ้าวฟางเซียน ที่ยามนี้ยังคงนั่งอ่านตำราอยู่บนตั่งภายในห้องนอนของตน“อืม…สั่งให้คนเตรียมน้ำเถิด” นางตอบสาวรับใช้คนสนิท พลางเหลือบมองแสงของทิวาที่กำลังจะลาลับเซียงซุนออกไปสั่งการอยู่นอกห้อง ไม่นานนักน้ำร้อนและน้ำเย็น ก็ถูกส่งเข้าไปภายในห้องอาบน้ำ จ้าวฟางเซียนวางตำราในมือลง ก่อนที่จะลุกขึ้นจากตั่
“ท่านนักพรตน้อย” จ้าวฟางเซียนคำนับนักพรตน้อยนามว่าจ้วนชิง อีกฝ่ายยิ้มแย้มพลางคำนับนางกลับอย่างเต๋า“แม่นางมาพบข้า ต้องการไขปริศนาธรรมกับข้าหรือ” นักพรตน้อยนามว่าจ้วนชิงเอ่ยถามออกมา“เจ้าค่ะ…” จ้าวฟางเซียนตอบรับทันที“ถ้าเช่นนั้นก็ไปนั่งคุยกันที่ศาลาด้านหลังอารามเถิด” จ้าวฟางเซียนไม่อิดออด สิ่งที่นางต้องการรู้ นางเชื่อว่านักพรตน้อยผู้นี้ จะสามารถไขข้อสงสัยของนางได้จ้าวฟางเซียนหันไปบอกกล่าวสหาย ก่อนที่จะติดตามนักพรตน้อย ไปยังศาลาด้านหลังของอาราม พร้อมกับสาวรับใช้คนสนิทของตน ท่านหญิงชิงหลวนเห็นว่าจ้าวฟางเซียนมีธุระที่ต้องไปทำ นางจึงเดินนำสาวรับใช้คนสนิท มุ่งหน้าไปยังโรงทาน เพื่อกินอาหารเจรอจ้าวฟางเซียนอยู่ที่นั่น ตามที่ได้คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านานเกือบครึ่งชั่วยาม จ้าวฟางเซียนถึงได้เดินกลับออกมา จากศาลาด้านหลังอารามด้วยหัวใจที่เต้นแรง มีทั้งความรู้สึกเป็นกังวล และความรู้สึกโล่งใจปะปนกันไป เรื่องที่นางรู้สึกเป็นกังวลนั้นก็คือ สิ่งที่นักพรตน้อยได้บอกกล่าว เขาล่วงรู้ว่านาง คือผู้ที่ได้รับโอกาสจากสวรรค์ ให้ย้อน