“คืนนี้ผมจะทำได้สำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”โอวหยางหมิงหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้หลินเฟิงกำหมัดแน่น พร้อมกับสีหน้าที่แสดงเจตนาฆ่าออกมาอย่างรุนแรงโอวหยางหมิง วันนี้แกต้องตาย!หลินเฟิงตามลูกศิษย์ของสำนักเสินฉือไปที่สนามฝึกการต่อสู้ก่อนจะเหลือบไปมองเห็นร่างที่ดูดีในชุดผ้าโปร่งบางสีขาวที่กำลังชักกระบี่ยาวออกมาผู้อาวุโสสำนักเสินฉือหลาย ๆคนล้อมเขาไว้ตรงกลาง ก่อนจะมีพลังชี่แท้บางเบาวนเวียนอยู่ท่ามกลางผู้อาวุโสพวกนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความรู้สึกบางอย่างที่กลมกลืนกันได้“ค่ายกลต่อสู้....”หลินเฟิงหรี่ตาลงศิลปะการต่อสู้ประเภทนี้ลูกศิษย์ในสำนักเสินฉือมักจะฝึกซ้อมกันบ่อย ๆ และจำเป็นต้องทำร่วมกันหลาย ๆคน เพื่อให้พลังชี่แท้ของศิลปะการต่อสู้มีความพร้อมเพรียงกันค่ายกลต่อสู้ที่มักจะใช้ออกมา ต่างก็สามารถขยายความได้เปรียบ และชดเชยพละกำลังให้แก่กันและกันได้ทั้งหมดสามารถบรรลุผลของหนึ่งบวกหนึ่งได้มากกว่าสอง“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิงโปรดระวังด้วย ค่ายกลต่อสู้ของพวกเราคือค่ายกลต่อสู้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งเป็นครั้งแรกจนถึงตอนนี้
เมื่อเห็นโอวหยางหมิงที่ยังรู้ตัวดีหยินหลิงก็คุมสถานการณ์ ก่อนจะพยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึกแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณรู้จักถึงความต่าง เช่นนั้นวันนี้ เรื่องที่สำนักเสินฉือของคุณยื่นขอเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรบู๊ ก็สิ้นสุดลงตรงนี้”“เมื่อไรก็ตามที่สำนักเสินฉือของพวกคุณมีผู้แข็งแกร่งแดนแปรภาพหนึ่งคน ค่อยมาสมัครเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรบู๊ของเราที่เมืองจิงอีกครั้งแล้วกัน”“ฉันยังมีธุระต้องทำ ขอลา”ขณะที่หยินหลิงกำลังจะจากไป โอวหยางหมิงก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางอีกครั้ง“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิง โปรดอยู่ก่อน”“มีอะไร?”ใบหน้าของหยินหลิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะมองไปที่ลูกศิษย์จำนวนมากของสำนักเสินฉือที่อยู่บนสนามจัตุรัส แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย: “นายน้อยยังมีอะไรที่อยากจะพูด?”“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว”โอวหยางหมิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า:“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหลินหยิง เป็นอย่างที่คุณพูด สำนักเสินฉือของเรามีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรบู๊ สำนักจิ่วเซียวกว่าจะหาโอกาสให้ผมยื่นเสนอเข้าร่วมมาได้ แต่เพราะพ่อของผมบังเอิญฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บพอดี จึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ ช่างน่าเสียดายน
“ไม่เคย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอกับผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิง”หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นสบตากับหยินหลิง ก่อนจะพูดเบา ๆว่า “อีกอย่าง ผมเพิ่งเคยชื่อกลุ่มพันธมิตรบู๊เป็นครั้งแรก”“กลุ่มพันธมิตรบู๊....”หยินหลิงใจลอยเล็กน้อยจากนั้นเธอก็อธิบายด้วยความเหม่อลอย: “กลุ่มพันธมิตรบู๊ก่อตั้งขึ้นโดยสี่สำนักใหญ่ในเมืองหนานไห่ ทุก ๆสำนักที่มีชื่อเสียงในประเทศมังกร ต่างอยู่ภายใต้เขตอำนาจของกลุ่มพันธมิตรบู๊”หลังจากที่อธิบายประโยคนี้จบแล้ว หยินหลิงก็กลับมามีสติอีกครั้งเธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและครุ่นคิดว่าทำไมตัวเองต้องอธิบายเรื่องกลุ่มพันธมิตรบู๊ให้คนแปลกหน้าคนนี้ฟังด้วยเธอชักกระบี่ออกมาพร้อมกับเสียงดัง “ชิ้ง” และพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “อย่างพูดเรื่องไร้สาระ ในเมื่อคุณจะเป็นตัวแทนของสำนักเสินฉือในการทดสอบ ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า มาเลย แสดงศิลปะการต่อสู้ของคุณให้ฉันดูสิ”“ดูสิว่าพวกคุณคู่ควรที่จะได้รับการยอมรับจากกลุ่มพันธมิตรบู๊หรือเปล่า!”“หลินเฟิง สู้ ๆ”โอวหยางหมิงที่อยู่ด้านข้าง ๆแสร้งทำเป็นเชียร์หลินเฟิง ในระหว่างนั้นก็เขย่าโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปด้วย เพื่อส่งสัญญาณให้หลินเฟิง
“นายน้อย....หลินเฟิงคนนั้น....”ในเวลานี้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินไปด้านหน้าโอวหยางหมิง และพูดด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย“อืม ไอ้หมอนี่น่ากลัวกว่าที่ฉันคิดไว้ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถสู้กับนังนั่นได้เสมอกันจริง ๆ”“นายน้อย ทางด้านเจ้าสำนัก....”“หุบปาก”โอวหยางหมิงจ้องมองผู้อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆอย่างเย็นชา ก่อนจะตวาดเสียงเบา: “ตอนนี้ตาแก่นั่นเหลือแค่ลมหายใจสุดท้ายแล้ว ถ้าหากคุณไม่อยากให้พวกเราทั้งหมดจบเห่ ก็รีบหุบปากซะ!”“ครับ”ผุ้อาวุโสหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้มหน้าแล้วตอบรับ“ผู้อาวุโสหวง”โอวหยางหมิงมองเห็นความกังวลของผู้อาวุโสคนนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยิ้มพูด:“ผมรู้ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักเสินฉือรู้สึกลำบากใจมาก”“แต่คุณเต็มใจที่จะเห็นสำนักเสินฉือของเราสงบสุขในมุมหนึ่งแบบนี้ หนึ่งร้อยปีมานี้ก็ยังคงอยู่ในเมืองหนานโจวเล็ก ๆ แบบนี้เหรอ?”“คุณลองคิดกลับกันสิ”“ตาแก่โอวหยางป๋อคนนั้นตายแล้ว เจ้าสำนักก็ใกล้จะตายแล้ว ใครจะรู้เรื่องที่พวกเราทำล่ะ?”“หลังจากการประลองฝีมือในวันนี้จบลงแล้ว และรอให้ฉันได้เพลิดเพลินเจ้าแห่งพันธมิตรบู๊”“คุณจะรู้ไหมว่า
เมื่อการต่อสู้ระหว่างสองคนเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ โอวหยางหมิงก็เริ่มที่จะหวาดกลัวทั้งสองอยู่ในใจมากขึ้นเรื่อย ๆยังดีที่ตัวเองไม่ได้เผชิญหน้ากับหลินเฟิงโดยตรง ไม่อย่างนั้นตัวเองก็คงจะเป็นศพอยู่บนพื้นแน่นอน“ให้ฉันปล่อยอีกกระบวนท่าหนึ่ง วาโยหมื่นลี้!”ภาพลวงตาที่คลุมเครือตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลินเฟิงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ด้วยความเร่งรีบ หลินเฟิงทำได้แค่เพียงสกัดกั้นด้วยกระบี่เท่านั้น“ตูม!”ทันทีที่แสงสีเงินตกลงมา กระบี่ยาวในมือของหลินเฟิงก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าเขาแต่แสงสีขาวเงินก็ไม่หยุดแม้แต่น้อย และเจาะทะลุผ่านใบหน้าของหลินเฟิงไปทั้งแบบนี้“อึก....”หลินเฟิงถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปเช็ดที่หน้าผากของตัวเองเลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจากบาดแผลตื้น“ผมแพ้แล้ว”หลังจากที่เงียบไปเล็กน้อย หลินเฟิงก็โยนกระบี่ที่หักลงบนพื้น ก่อนจะยอมรับอย่างเปิดเผยว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้กับหยินหลิงที่อยู่ตรงหน้า“ไม่ คุณชนะแล้ว”หยินหลิงที่ยืนอยู่ด้วยกัน ถือกระบี่ยาวไว้ นิ้วมือของเธอสั่นเล็กน้อยเธอเหลือบมองหลินเฟิงอย่างสับสน และส่ายหน้าพูดว่า:“กฎที่กำหนดโดยกล
ถ้าไม่การคัดค้านอะไร ก็เซ็นใบหย่าเถอะคฤหาสน์ของตระกูลหลี่ในเจียงโจวสาวงามในชุดกี่เพ้าผลักเอกสารไปตรงหน้าหลินเฟิงหญิงสาวตรงหน้านี้เป็นแม่ยายของเขา จางกุ้ยหลานเมื่อมองใบหย่าที่อยู่ตรงหน้า หลินเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยคุณแม่ นี่หมายความว่าอะไรจางกุ้ยหลานกอดอก พูดอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ตระกูลหลี่เป็นบริษัทมหาชนแล้ว “ช่องว่างระหว่างคุณกับฮุ่ยหรานก็เริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆกับการงานของฮุ่ยหรานเลย” “มีแต่จะฉุดรั้งการพัฒนาของฮุ่ยหราน หากเป็นเช่นนี้ก็หย่ากันเร็วๆดีกว่า”หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น ถามกลับว่า”นี่คือความคิดของฮุ่ยหรานหรือความคิดคุณแม่ครับ”จางกุ้ยหลานสีหน้าเย็นลง “นี่คือความคิดทุกคนของตระกูลหลี่เรา” “ที่คุณได้แต่งงานกับฮุ่ยหราน แค่เพราะสัญญาการแต่งงานที่คุณปู่ตั้งไว้” “สามปีมานี้ ที่คุณกินอยู่ในบ้านเรา ตระกูลหลี่เรามีความเมตตาต่อคุณมากแล้ว “ถ้าคุณรู้ตัว ก็รีบเซ็นชื่อ”หลินเฟิงหายใจเข้าลึกๆสามปีก่อน เขาใช้ความสัมพันธ์ทั้งหมดของตัวเองที่มีเพื่อช่วยพัฒนาตระกูลหลี่ช่วยพัฒนาเป็นบริษัทมหาชนจากร้านค้าที่เล็กๆแต่ในสายตาของตระกูลหลี่ เขากลับกลายเป
หลินเฟิงออกจากคฤหาสน์ของตระกูลหลี่ มองสถานที่ที่เขาเคยใช้ชีวิตมาสามปีครั้งสุดท้ายตอนมาก็มาอย่างโดดเดี่ยว และจากไปด้วยมือเปล่ารถโรลส์-รอยซ์คันหนึ่งที่ขับมาแต่ไกลจอดตรงหน้าเขาเมื่อประตูรถเปิดออก ชายวัยกลางที่สวมสูทคนหนึ่งลงจากรถ “คุณหลิน....”ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วิ่งเหยาะๆไปที่หลินเฟิง “คุณมาได้อย่างไร” หลินเฟิงมองอย่างตั้งใจ คนที่มานั้นเป็นประธานบริษัทเทียนหัวอินเตอร์เนชั่นแนลจ้าวเทียนหวากล่าวตามความจริง “ช่วงนี้ผมกำลังวิจัยโครงการพัฒนาของเขตซีเฉิงกับนางหลิน วันนี้ตั้งใจจะมาหานางหลินเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องรายละเอียดหลินเฟิงพยักหน้า “ไม่ต้องปรึกษาแล้ว” “หลี่ฮุ่ยหรานมีตระกูลหวางเป็นที่พึ่งแล้ว ต่อไปนี้จะไม่ต้องการความสนับสนุนของเราแล้ว” “และก็ไม่ใช่นางหลินอีกต่อไป” “อ๋า”จ้าวเทียนหวาตกใจมาก “นี่...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”หลินเฟิงพูดแบบไม่ได้ปิดบัง “ผมหย่ากับหลี่ฮุ่ยหรานแล้ว” “ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลหลี่อีก”หลินเฟิงมองไปที่จ้าวเทียนหวา ตบไหล่เขาเบาๆ “จ้าว สามปีมานี้คุณงานหนักแล้วนะ”ธุรกิจของจ้าวเทียนหวาอยู่ที่ต่างประเทศทั้ง
ตอนนี้หลินเฟิงกําลังหลับตาพักผ่อนอยู่บนรถเสียงโทรศัพท์ปลุกให้เขาตื่นคาดไม่ถึงว่าหลี่ฮุ่ยหรานจะโทรมาเขารับสายก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาชองเธอ “หลินเฟิง คุณกำลังอยู่กับประธานจ้าวเหรอ” “หลินเฟิงมองไปที่จ้าวเทียนหวาที่อยู่ข้างๆเขา “ใช่”หลี่ฮุ่ยหรานหายใจเข้าลึกๆ ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นรวดเร็วหลี่เหวินเชาไม่ได้โกหก “หลินเฟิง คุณทำให้ฉันผิดหวังมาก คุณมีอะไรไม่พอใจสามารถพูดกับฉันตรงๆได้” “ทำไหมถึงต้องใส่ร้ายตระกูลหลี่ลับหลังแบบนี้หรอ”หลินเฟิงนวดขมับและพูดว่า “ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้ใส่ร้ายตระกูลหลี่ คุณจะเชื่อผมไหม”หลี่ฮุ่ยหราน “งั้นทำไมประธานจ้าวมาถึงที่ตระกูลหลี่แล้วจู่ๆก็ออกไปล่ะ แถมยังต้องการยุติความร่วมมือกับตระกูลหลี่ด้วย” “จ้าวเทียนหวาจะเลือกทำอะไรเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผม”หลี่ฮุ่ยหรานโกรธมาก คิดว่าหลินเฟิงกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับเธอกัดฟันแล้วพูดทีละคำว่า “ฉันดูคุณผิดไปจริงๆ”น้ำเสียงของหลินเฟิงเย็นลง “คุณเชื่อแต่ตัวเองอยู่ตลอด ไม่เคยคิดจะเข้าใจความจริง” “ผมไม่รู้ว่าหลี่เหวินเชาได้พูดอะไรกับคุณ และก็ไม่อยากอธิบายเรื่องนี้ด้วย” “ต่อไปอย่าเอาเรื่องแบบนี้มายุ่งผม”