“ฮ่าฮ่าฮ่า....”โอวหยางหมิงเดินเข้ามาโอบไหล่หลินเฟิงและยิ้มพูด: “ ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิง คนนี้คือเพื่อนของผม ชื่อหลินเฟิง”“หลินเฟิง?!”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ในดวงตาที่เย็นชาของผู้นำกลุ่มพันธมิตรระฆังเงินจู่ก็มีความสับสนและความคิดถึงแวบผ่านแต่เพียงชั่วครู่ เธอก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง“เป็นไปไม่ได้”หยินหลิงส่ายหน้าเล็กน้อย ปฏิเสธความคิดของตัวเองในใจครั้งนี้เธอกลับมาที่หัวตง ก็เพื่อจะมาหาคนที่ชื่อหลินเฟิงหรือจะพูดว่าไม่ได้ชื่อหลินเฟิง แต่ชื่อหลินชิงเสวียนหลินชิงเสวียนเป็นลูกชายของราชาหลินแห่งตอนใต้ ได้ยินมาว่าช่วงนี้เขาได้ดิบได้ดีในเมืองเจียงโจว และที่สำคัญกว่านั้นคือ... เธอมาที่นี่ก็เพื่อจะเจอหน้ากับหลินชิงเสวียนสักครั้งเพื่อจะอธิบายกับเขาให้ชัดเจนยกเลิกการหมั้นหมายที่ถูกพ่อแม่บังคับในตอนเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะชื่อหลิงเฟิง แต่หลินชิงเสวียนก็ไม่ควรอยู่ที่หนานโจวในตอนนี้ ยิ่งไม่มีทางมีความสัมพันธ์ใด ๆกับสำนักเสินฉือสำนักเสินฉือก็เป็นสำนักเล็ก ๆที่อยู่ห่างไกลออกไปจากตัวเมืองหลินชิงเสวียนที่สง่างาม ลูกชายของราชาหลินแห่งตอนใต้ จะเรียกพี่เรียกน้องก
“คืนนี้ผมจะทำได้สำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”โอวหยางหมิงหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้หลินเฟิงกำหมัดแน่น พร้อมกับสีหน้าที่แสดงเจตนาฆ่าออกมาอย่างรุนแรงโอวหยางหมิง วันนี้แกต้องตาย!หลินเฟิงตามลูกศิษย์ของสำนักเสินฉือไปที่สนามฝึกการต่อสู้ก่อนจะเหลือบไปมองเห็นร่างที่ดูดีในชุดผ้าโปร่งบางสีขาวที่กำลังชักกระบี่ยาวออกมาผู้อาวุโสสำนักเสินฉือหลาย ๆคนล้อมเขาไว้ตรงกลาง ก่อนจะมีพลังชี่แท้บางเบาวนเวียนอยู่ท่ามกลางผู้อาวุโสพวกนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความรู้สึกบางอย่างที่กลมกลืนกันได้“ค่ายกลต่อสู้....”หลินเฟิงหรี่ตาลงศิลปะการต่อสู้ประเภทนี้ลูกศิษย์ในสำนักเสินฉือมักจะฝึกซ้อมกันบ่อย ๆ และจำเป็นต้องทำร่วมกันหลาย ๆคน เพื่อให้พลังชี่แท้ของศิลปะการต่อสู้มีความพร้อมเพรียงกันค่ายกลต่อสู้ที่มักจะใช้ออกมา ต่างก็สามารถขยายความได้เปรียบ และชดเชยพละกำลังให้แก่กันและกันได้ทั้งหมดสามารถบรรลุผลของหนึ่งบวกหนึ่งได้มากกว่าสอง“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิงโปรดระวังด้วย ค่ายกลต่อสู้ของพวกเราคือค่ายกลต่อสู้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งเป็นครั้งแรกจนถึงตอนนี้
เมื่อเห็นโอวหยางหมิงที่ยังรู้ตัวดีหยินหลิงก็คุมสถานการณ์ ก่อนจะพยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึกแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณรู้จักถึงความต่าง เช่นนั้นวันนี้ เรื่องที่สำนักเสินฉือของคุณยื่นขอเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรบู๊ ก็สิ้นสุดลงตรงนี้”“เมื่อไรก็ตามที่สำนักเสินฉือของพวกคุณมีผู้แข็งแกร่งแดนแปรภาพหนึ่งคน ค่อยมาสมัครเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรบู๊ของเราที่เมืองจิงอีกครั้งแล้วกัน”“ฉันยังมีธุระต้องทำ ขอลา”ขณะที่หยินหลิงกำลังจะจากไป โอวหยางหมิงก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางอีกครั้ง“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิง โปรดอยู่ก่อน”“มีอะไร?”ใบหน้าของหยินหลิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะมองไปที่ลูกศิษย์จำนวนมากของสำนักเสินฉือที่อยู่บนสนามจัตุรัส แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย: “นายน้อยยังมีอะไรที่อยากจะพูด?”“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว”โอวหยางหมิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า:“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรหลินหยิง เป็นอย่างที่คุณพูด สำนักเสินฉือของเรามีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรบู๊ สำนักจิ่วเซียวกว่าจะหาโอกาสให้ผมยื่นเสนอเข้าร่วมมาได้ แต่เพราะพ่อของผมบังเอิญฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บพอดี จึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ ช่างน่าเสียดายน
“ไม่เคย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอกับผู้นำกลุ่มพันธมิตรหยินหลิง”หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นสบตากับหยินหลิง ก่อนจะพูดเบา ๆว่า “อีกอย่าง ผมเพิ่งเคยชื่อกลุ่มพันธมิตรบู๊เป็นครั้งแรก”“กลุ่มพันธมิตรบู๊....”หยินหลิงใจลอยเล็กน้อยจากนั้นเธอก็อธิบายด้วยความเหม่อลอย: “กลุ่มพันธมิตรบู๊ก่อตั้งขึ้นโดยสี่สำนักใหญ่ในเมืองหนานไห่ ทุก ๆสำนักที่มีชื่อเสียงในประเทศมังกร ต่างอยู่ภายใต้เขตอำนาจของกลุ่มพันธมิตรบู๊”หลังจากที่อธิบายประโยคนี้จบแล้ว หยินหลิงก็กลับมามีสติอีกครั้งเธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและครุ่นคิดว่าทำไมตัวเองต้องอธิบายเรื่องกลุ่มพันธมิตรบู๊ให้คนแปลกหน้าคนนี้ฟังด้วยเธอชักกระบี่ออกมาพร้อมกับเสียงดัง “ชิ้ง” และพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “อย่างพูดเรื่องไร้สาระ ในเมื่อคุณจะเป็นตัวแทนของสำนักเสินฉือในการทดสอบ ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า มาเลย แสดงศิลปะการต่อสู้ของคุณให้ฉันดูสิ”“ดูสิว่าพวกคุณคู่ควรที่จะได้รับการยอมรับจากกลุ่มพันธมิตรบู๊หรือเปล่า!”“หลินเฟิง สู้ ๆ”โอวหยางหมิงที่อยู่ด้านข้าง ๆแสร้งทำเป็นเชียร์หลินเฟิง ในระหว่างนั้นก็เขย่าโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปด้วย เพื่อส่งสัญญาณให้หลินเฟิง
“นายน้อย....หลินเฟิงคนนั้น....”ในเวลานี้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินไปด้านหน้าโอวหยางหมิง และพูดด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย“อืม ไอ้หมอนี่น่ากลัวกว่าที่ฉันคิดไว้ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถสู้กับนังนั่นได้เสมอกันจริง ๆ”“นายน้อย ทางด้านเจ้าสำนัก....”“หุบปาก”โอวหยางหมิงจ้องมองผู้อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆอย่างเย็นชา ก่อนจะตวาดเสียงเบา: “ตอนนี้ตาแก่นั่นเหลือแค่ลมหายใจสุดท้ายแล้ว ถ้าหากคุณไม่อยากให้พวกเราทั้งหมดจบเห่ ก็รีบหุบปากซะ!”“ครับ”ผุ้อาวุโสหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้มหน้าแล้วตอบรับ“ผู้อาวุโสหวง”โอวหยางหมิงมองเห็นความกังวลของผู้อาวุโสคนนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยิ้มพูด:“ผมรู้ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักเสินฉือรู้สึกลำบากใจมาก”“แต่คุณเต็มใจที่จะเห็นสำนักเสินฉือของเราสงบสุขในมุมหนึ่งแบบนี้ หนึ่งร้อยปีมานี้ก็ยังคงอยู่ในเมืองหนานโจวเล็ก ๆ แบบนี้เหรอ?”“คุณลองคิดกลับกันสิ”“ตาแก่โอวหยางป๋อคนนั้นตายแล้ว เจ้าสำนักก็ใกล้จะตายแล้ว ใครจะรู้เรื่องที่พวกเราทำล่ะ?”“หลังจากการประลองฝีมือในวันนี้จบลงแล้ว และรอให้ฉันได้เพลิดเพลินเจ้าแห่งพันธมิตรบู๊”“คุณจะรู้ไหมว่า
เมื่อการต่อสู้ระหว่างสองคนเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ โอวหยางหมิงก็เริ่มที่จะหวาดกลัวทั้งสองอยู่ในใจมากขึ้นเรื่อย ๆยังดีที่ตัวเองไม่ได้เผชิญหน้ากับหลินเฟิงโดยตรง ไม่อย่างนั้นตัวเองก็คงจะเป็นศพอยู่บนพื้นแน่นอน“ให้ฉันปล่อยอีกกระบวนท่าหนึ่ง วาโยหมื่นลี้!”ภาพลวงตาที่คลุมเครือตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลินเฟิงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ด้วยความเร่งรีบ หลินเฟิงทำได้แค่เพียงสกัดกั้นด้วยกระบี่เท่านั้น“ตูม!”ทันทีที่แสงสีเงินตกลงมา กระบี่ยาวในมือของหลินเฟิงก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าเขาแต่แสงสีขาวเงินก็ไม่หยุดแม้แต่น้อย และเจาะทะลุผ่านใบหน้าของหลินเฟิงไปทั้งแบบนี้“อึก....”หลินเฟิงถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปเช็ดที่หน้าผากของตัวเองเลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจากบาดแผลตื้น“ผมแพ้แล้ว”หลังจากที่เงียบไปเล็กน้อย หลินเฟิงก็โยนกระบี่ที่หักลงบนพื้น ก่อนจะยอมรับอย่างเปิดเผยว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้กับหยินหลิงที่อยู่ตรงหน้า“ไม่ คุณชนะแล้ว”หยินหลิงที่ยืนอยู่ด้วยกัน ถือกระบี่ยาวไว้ นิ้วมือของเธอสั่นเล็กน้อยเธอเหลือบมองหลินเฟิงอย่างสับสน และส่ายหน้าพูดว่า:“กฎที่กำหนดโดยกล
เสียงตะโกนของหยินหลิงทำให้โอวหยางหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองไปทางหลินเฟิงแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้ในช่วงสุดท้ายผมเห็นผงสีขาวออกมาจากข้อมือของหลินเฟิง ผมก็คิดว่าผมมองผิดไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นจริง”“ผมก็มองเห็น!”หลังจากที่ผู้อาวุโสหวงพูดจบ ก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะคว้าแขนเสื้อของหลินเฟิงและดึงอย่างแรงทันใดนั้นเศษผงสีขาวก็ตกลงมาจากแขนเสื้อของหลินเฟิง“นี่.....”หลินเฟิงตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าผงสีขาวพวกนี้ถูกผู้อาวุโสหวงทิ้งลงมาที่ตัวเอง“อย่าแก้ตัว ไม่อย่างนั้นนายก็จะรู้ผลที่ตามมา”ผู้อาวุโสหวงเข้าใกล้หลินเฟิง ก่อนจะกระซิบคำขู่ผ่านฟันที่กัดแน่น“หลิน.....หลินเฟิง ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?!”หยินหลิงหายใจแรง เหงื่อไหลทั่วร่าง ดวงตาก็เกิดความสับสนเล็กน้อย“......” หลินเฟิงยังคงเงียบและไม่ได้ตอบกลับไปเพราะเขารู้ว่า ถ้าตัวเองเถียงออกไป หลี่ฮุ่ยหรานและคนอื่น ๆจะต้องเจอกับการแก้แค้นของโอวหยางหมิง“ดูสิ เขาที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ถึงกับพูดไม่ออก!”โอวหยางหมิงยิ้มให้หลินเฟิงอย่างดุร้าย จากนั้นเขาก็พยายามประคองหยิงหลิงขึ้นแล้วเดินไปที่ศูนย์การแพทย์“ผู้นำกลุ
มีคนถึงกับอยากจะวิ่งออกไปประกาศบอกคนอื่นด้วยซ้ำ“หยุดนะ!”โอวหยางชิ่งตะโกนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจ้าสำนักออกคำสั่งว่า ไม่อนุญาตให้ใครออกไป และเรื่องที่เห็นที่นี่ในวันนี้ก็ไม่อนุญาตให้เปิดเผยออกไป!”“โอวหยางหมิงวางแผนลอบฆ่าเจ้าสำนัก และคิดจะยึดอำนาจ เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้!”“พวกนายจับตาดูให้ฉันด้วย ไม่ว่าใครก็ห้ามให้เข้า” คำพูดของโอวหยางชิ่งใช้ได้ผลจริง ๆเมื่อเธอออกคำสั่ง ลูกศิษย์ของสำนักเสินฉือพวกนี้ก็พากันเงียบกริบพวกเขารู้เพียงแค่ว่าโอวหยางหมิงประกาศว่าเจ้าสำนักได้รับบาดเจ็บและกำลังพักฟื้น แต่ไม่ได้รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดครั้งใหญ่อย่างลับภายในสำนักแบบนี้“แม่เจ้า โอวหยางหมิงวางแผนลอบฆ่าเจ้าสำนัก?! ท่านเจ้าสำนักคือพ่อของคุณชายโอวหยางหมิงนะ เขาทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?!”“ฉัน....ฉันก็ไม่รู้ว่า ตกลมันคือ...”“ใช่แล้ว ไม่ใช่ว่าคุณชายโอวหยางบอกว่าคุณหนูใหญ่โอวหยางชิ่งตายแล้วงั้นเหรอ? แล้วทำไมคุณหนูใหญ่โอวหยางชิ่งถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะ?”การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันนี้ทำให้ลูกศิษย์สำนักเสินฉือที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกชากันทั้งหมด“หลินเฟิง เป็นอย่างไรบ้าง? ช่วยได