“หลินเฟิง ใครใช้ให้แกมา?” จางกุ้ยหลานเห็นหลินเฟิงสีหน้าก็บึ้งตึงทันทีตอนนี้ตระกูลหลี่กลายเป็นแบบนี้เธอคิดว่าหลินเฟิงเดินทางมาในตอนนี้ก็เพราะมาหัวเราะเยาะ“เลิกโวยวายได้แล้ว ฉันเป็นคนให้หลินเฟิงมาเอง” ในตอนนี้คุณปู่ตระกูลหลี่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกมา“คุณปู่ ตอนนี้มันเวลาไหนกันแล้ว? คุณเรียกไอ้ตัวซวยคนนี้มาทำไม?” จางกุ้ยหลานได้ยินว่าเป็นความคิดของคุณปู่เธอจึงกลอกตาในทันที“ฉันเรียกให้หลินเฟิงมาเพื่อต้องการให้ทุกคนรวมตัวกันหารือเกี่ยวกับปัญหานี้” คุณปู่ตระกูลหลี่พูดขึ้นจางกุ้ยหลานกลับพ่นลมออกจากจมูกเยาะหยันหลินเฟิง “เขาเนี่ยนะ? จะจัดการปัญหาอะไรได้?”“เธอพูดให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ”คุณปู่ตระกูลหลี่ถลึงตาใส่จางกุ้ยหลานเขารีบเดินไปด้านข้างหลินเฟิง “หลินเฟิง ตอนนี้ตระกูลหลี่อยู่ในภาวะวิกฤติ เมื่อก่อนนายเป็นลูกเขยของตระกูลหลี่ ครั้งนี้อยากจะให้นายช่วยเหลือ ใช้เส้นสาย”“ดูว่าสามารถช่วยเหลือตระกูลหลี่แก้ปัญหาวิกฤติได้หรือไม่!”หลินเฟิงพูดอย่างนิ่งเรียบ “คุณปู่วางใจได้ครับ มีผมอยู่ตระกูลหลี่ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่นอนครับ”“ใช้เวลาไม่นาน คุณหนูของตระกูลเซี่ยงก็จะมาขอโทษถึงที่บ้านครั
สวีเชาหลบสายตา ในหัวครุ่นคิดด้วยความรวดเร็วครู่หนึ่งก็พูดโต้กลับ “ผมไม่มีความเกี่ยวข้องกับเซี่ยงจื่อหลานใด ๆ ทั้งสิ้น สร้อยทับทิมเส้นนี้ผมก็เป็นคนซื้อมา”“เพียงแต่ว่าเซี่ยงจื่อหลานก็อยากซื้อเช่นกัน ผมไม่ได้ขายให้เธอ เพราะเหตุนี้เธอจึงแค้นใจผม”คนตระกูลหลี่มองตากัน ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างยืนกรานในความคิดของตนเอง ใครพูดจริงพูดเท็จพวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครในตอนนี้หลินเฟิงมองไปทางจางซิน และพูดกับเธอ “เธอพูดสิ สร้อยเส้นนี้เป็นของเซี่ยงจื่อหลานหรือว่าสวีเชา?”จางซินคิดไม่ถึงว่าเขาจะโยนหัวหอกมาทางเธอพูดได้ว่าคำพูดแค่ประโยคเดียวของเธอก็สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของคนตระกูลหลี่ได้ในใจของเธอก็มีแผนอยู่แล้ว ในเมื่อวันนั้นเซี่ยงจื่อหลานยังสวมสร้อยคอแซฟไฟร์ที่ออกแบบโดยเฉพาะฝีมือการประดิษฐ์เหมือนกับสร้อยคอทับทิมเส้นนั้นทุกประการแต่พูดตามความจริง ก็จะต้องผิดใจกับสวีเชา ส่วนหลินเฟิงก็ไม่มีทางซาบซึ้งใจใด ๆ ต่อเธอเธอนึกถึงความแค้นก่อนหน้านี้ของทั้งสองคน เธอไม่สู้ช่วยเหลือสวีเชาเพื่อได้รับความรู้สึกดี ๆ ยังจะดีกว่า“นี่…สร้อยคอเส้นนี้เป็นของคุณชายสวีจริง ๆ คุณเซี่ยงก็แค่อิจฉาริษยาก
“จริงเหรอ?” คุณปู่ตระกูลหลี่ดวงตาเป็นประกาย และถามด้วยความเหลือเชื่อ“เรื่องจริงแน่นอนครับ”หลินเฟิงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “คุณปู่ ผมไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”พูดจบหลินเฟิงก็เดินออกไปข้างนอกหลินเฟิงรับสายของเซี่ยงตงเซิงปลายสายของโทรศัพท์มีเสียงคำรามของเซี่ยงตงเซิงดังขึ้นมา “ไอ้สกุลหลิน ลูกสาวของฉันตอนนี้ใกล้จะไม่ไหวแล้ว นายรีบรักษาให้ลูกฉันซะ”เซี่ยงตงเซิงร้อนใจจนยุ่งเหยิงไปหมดอาการลูกสาวของเขาในตอนนี้ ร้ายแรงมากยิ่งขึ้นแล้วแขนขาก็ยกขึ้นไม่ไหว ทำได้แค่นั่งอยู่บนรถเข็นหลินเฟิงกลับพูดอย่างเรียบฉย “ไม่ต้องรีบร้อน ลูกสาวของคุณยังมีเวลาอีกสามวัน ตอนนี้ยังต้องทรมานไปอีกระยะหนึ่ง”“นาย..”เซี่ยงเติงเซิงกำลังจะพูดขึ้นแต่ก็ถูกหลินเฟิงขัดจังหวะ“เซี่ยงตงเซิง ตอนนี้ผมต้องเตือนคุณหน่อยว่า คุณกำลังขอร้องผม คุณไม่มีสิทธิมาสั่งผม”“ได้ ไอ้สกุลหลิน นายต้องการอะไรกันแน่ ถึงจะช่วยรักษาลูกสาวของฉัน?”“การแบนตระกูลหลี่ฉันจะปลดออกเดี๋ยวนี้ นายคิดว่าเป็นอย่างไร?”เซี่ยงตงเซิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน“ผมเคยบอกกับคุณแล้ว ว่าถ้าต้องการให้ลูกสาวของคุณมีชีวิตรอด ก็ให้เธอขอโทษหลี่ฮุ่ยหราน” หลินเฟิงพูด
“ตรงไหนกันครับ…เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น ไม่คู่ควรแก่การพูดถึงเลยครับ”ในตอนนี้คุณปู่ตระกูลหลี่กับหลินเฟิงก็เดินเข้ามาหลี่ฮุ่ยหรานก็รีบบอกข่าวนี้กับเขา “คุณปู่คะ การแบนตระกูลหลี่ตอนนี้ถูกปลดออกแล้ว”“คุณปู่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้แล้วค่ะ”“ปลดออกแล้ว?” คุณปู่ตระกูลหลี่ตกตะลึงเมื่อครู่หลินเฟิงรับสาย ๆหนึ่ง นั่นต้องเป็นฝีมือของหลินเฟิงแน่นอน“ดูท่าว่าครั้งนี้โชคดีที่ได้หลินเฟิงนะ”หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ดูท่าเซี่ยงตงเซิงคนนี้ยอมอ่อนข้อแล้วเดาว่าอีกไม่นานก็จะมาขอโทษหลี่ฮุ่ยหรานแล้วจางกุ้ยหลานได้ยินแบบนี้ก็พูดเหยียดหยาม “หลินเฟิง? เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย? ตระกูลหลี่ของพวกเราสามารถปลดการถูกแบนได้เพราะคุณชายสวี”“เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่หลินเฟิงคุยโทรศัพท์ การแบนตระกูลหลี่ของเราถึงได้ถูกปลดออก”คุณปู่ตระกูลหลี่พูด“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาโทรไปแค่สายเดียวก็ปลดออกแล้วเหรอ? เขาโทรหาใคร หรือว่าโทรหาเซี่ยงตงเซิง?”หลี่เหวินเชาชี้หน้าหลินเฟิงแล้วพูดดูถูก “เขามีคุณสมบัติโทรหาตระกูลเซี่ยงด้วยเหรอ?”“จริงด้วย…”สวีเชาหัวเราะในทันที “หลินเฟิง อีกเดี๋ยวนายก็จะพูดใช่ไหมว่า คนตระกูลเซี่ยงจะมาขอโ
“ยกโทษให้ค่ะ ยกโทษให้แน่นอนอยู่แล้ว” หลี่ฮุ่ยหรานกลืนน้ำลาย ตัวเองมีสิทธิอะไรที่จะไม่ให้อภัยล่ะ“งั้นก็ดีมากเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราตระกูลเซี่ยงกับตระกูลหลี่ยังคงเป็นเพื่อนกัน”พ่อบ้านพูดอย่างสุภาพมาก“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” หลี่ฮุ่ยหรานพยักหน้าเหมือนลูกไก่จิกไก่จางกุ้ยหลานพูดยิ้มแย้ม “เรื่องก่อนหน้านี้เข้าใจผิดกันทั้งนั้นค่ะ ต่อไปตระกูลเซี่ยงมีความต้องการอะไรก็บอกพวกเรามาได้เต็มที่”ตระกูลหลี่ทุกคนดีใจอย่างมากในเมื่อตระกูลเซี่ยงมาขอโทษถึงที่บ้าน เห็นได้ชัดว่าอยากจะคืนดีกับตระกูลหลี่แม้แต่สวีเชาก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อมากในตอนนี้เอง หลินเฟิงเดินเข้าไปพูด “คุณขอโทษตระกูลหลี่มันเรื่องอะไรกัน? คนที่ทำร้ายคนก็คือเซี่ยงจื่อหลาน”“จะขอโทษ ก็ต้องเป็นเซี่ยงจื่อหลานขอโทษหลี่ฮุ่ยหรานด้วยตัวเอง”“นี่…” พ่อบ้านชะงักทันทีจางกุ้ยหลานได้ยินคำพูดนี้ก็ตกใจอย่างมาก จึงรีบถลึงตาใส่หลินเฟิง “ไอ้สกุลหลิน แกหุบปากเลยนะ ตรงนี้ไม่มีที่ให้แกพูด”“หลินเฟิง คุณอย่าพูดแทรก” หลี่ฮุ่ยหรานขมวดคิ้วแล้วตะโกนเบา ๆตอนนี้ตระกูลเซี่ยงกว่าจะมาปรับความเข้าใจกับตระกูลหลี่ได้ เธอไม่อยากเป็นเพราะคำพูดประโยคเดี
จางกุ้ยหลานพยักหน้าติดต่อกัน “พูดได้ถูกต้องมาก เพื่อนร่วมชั้นควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะถูก”“หึหึ เขามีสิทธิอะไรทำให้ตระกูลเซี่ยงมาขอโทษถึงที่ได้” หลินเฟิงพูดเหยียดหยาม“ไอ้สกุลหลิน นายอิจฉาฉันใช่ไหม?” สวีเชาหัวเราะเยาะถึงแม้ตัวเองไม่ได้ทำอะไร แต่เพียงแค่คนตระกูลหลี่เชื่อใจเขาก็พอ“อิจฉาสวะอย่างนายมีความหมายอะไร?” หลินเฟิงมองเขาด้วยความเหยียดหยาม“ไอ้สกุลหลิน แกหุบปากไปเลย แกยังมีหน้ามาว่าคนอื่นว่าสวะอีกเหรอ?”จางกุ้ยหลานชี้หน้าด่าทอหลินเฟิง“จริงด้วย อยู่ฟรีกินฟรีที่ตระกูลพวกเรา ฉันดูแล้วนายนั่นหละที่เป็นคนไร้ประโยชน์มากที่สุด”หลี่เหวินเชาพยักหน้าตาม “ตอนนี้ยังกล้าใส่ความคุณชายสวี นายรีบไสหัวออกไปซะ”“หลินเฟิง คุณเลิกทำแบบนี้สักทีได้ไหม? หลี่ฮุ่ยหรานตะโกนใส่หลินเฟิงด้วยความผิดหวัง“ผมเป็นอย่างไร? ผมพูดความจริงมาโดยตลอด” หลินเฟิงขมวดคิ้ว“ความจริงอะไร? เซี่ยงจื่อหลานเป็นเพราะฟังคำพูดของคุณถึงได้มาขอโทษฉันเหรอ? ตระกูลเซี่ยงปลดการแบนก็เป็นเพราะคุณเหรอ?”หลี่ฮุ่ยหรานถลึงตาใส่“ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ? หรือคิดว่าเป็นเพราะเขา?”หลินเฟิงชี้หน้าสวีเชา “ดูสิว่าเขานิสัยเป็นอย่
“พ่อบ้านเซี่ยง คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” จางกุ้ยหลานกลืนน้ำลายและถามด้วยความระมัดระวังพ่อบ้านตระกูลเซี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณคิดว่าผมดูเหมือนคนที่ชอบเล่นตลกไหม?”“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน” จางกุ้ยหลานโบกมือของเธอไปมาแต่เธอไม่กล้าพูดว่าหลินเฟิงถูกพวกเขาไล่ไปแล้วเธอได้แต่พูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “หลินเฟิงเพิ่งจะไปไม่นาน ถ้าตอนนี้คุณตามไป บางทีอาจจะตามทันก็ได้”เมื่อพ่อบ้านตระกูลเซี่ยงได้ยินแบบนั้นก็ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เขารีบตามออกไปทันทีจู่ ๆ หลี่ฮุ่ยหรานก็รู้สึกหน้ามืดตาลาย จนตัวเธอเซเกือบจะล้มไปกับพื้นที่แท้ทุกอย่างที่หลินเฟิงพูด ทั้งหมดเป็นความจริงคนที่จัดการเรื่องทุกอย่างมาโดยตลอด ก็คือหลินเฟิง ไม่รู้ว่าเบื้องหลังนี้เขาต้องทุ่มเทไปมากเท่าไหร่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับตัวเองแต่พอลองคิดสิ่งที่ตัวเองพูดกับหลินเฟิงไป มันทำร้ายจิตใจกันมากแค่ไหน“ฮุ่ยหราน ฮุ่ยหราน…” จางกุ้ยหลานรีบช่วยประคองลูกสาวอย่างความรวดเร็วหลี่ฮุ่ยหรานเอียงตัวเข้าไปในอ้อมแขนของจางกุ้ยหลานพร้อมกับบ่นเบา ๆ ว่า “แม่ หนูเสียใจมาก หนูเสียใจมาก ๆ”เธอรู้สึกว่าตัวเธอได้ทำผิดต่อหลินเฟิง เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบ
หลินเฟิงเหลือบมองเซี่ยงจื่อหลานที่อยู่ในรถและเดินตรงไปตรงหน้าเธอเซี่ยงจื่อหลานเหมือนป่วยเป็นโรคหวาดกลัวหลินเฟิง เมื่อเธอเห็นหลินเฟิงเดินเข้ามาหา ร่างกายก็แข็งทื่อในทันทีจากนั้นก็ตัวสั่นอย่างมาก“คุณหลิน คุณจะทำอะไร?”พ่อบ้านตระกูลเซี่ยงเอ่ยถามด้วยความระแวง“ปลดผนึกจุดให้เธอ หรือคุณจะทำ?” หลินเฟิงพูดพร้อมกับเหลือบมองชายคนนี้พ่อบ้านตระกูลเซี่ยงก้าวถอยหลังด้วยความเก้กังหลินเฟิงแตะจุดฝังเข็มของเซี่ยงจื่อหลานสองครั้งแล้วค่อยทำให้จุดฝังเข็มของเซี่ยงจื่อหลานไหลเวียนทันใดนั้นเซี่ยงจื่อหลานก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดในร่างกายของเธอนั้นได้หายไปแล้วเธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างโล่งอกหลินเฟิงพูดขึ้นมาเงียบ ๆ ว่า “ครั้งนี้ผมให้บทเรียนคุณ แต่ถ้าครั้งต่อไปคุณกล้าที่จะไม่เคารพหลี่ฮุ่ยหรานอีก คุณต้องตายแน่นอน” น้ำเสียงของหลินเฟิงเย็นชาและขู่อาฆาตเซี่ยงจื่อหลานฟังแล้วก็พยักหน้า “ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว”ตอนนี้เธอถูกวิธีการของหลินเฟิงทำให้ทรมานและหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงหลินเฟิงสะบัดแขนเสื้อ แล้วหันหลังเดินจากไปพ่อบ้านตระกูลเซี่ยงขมวดคิ้ว “หลินเฟิงคนนี้ จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”“เงี
“อ่อ”เมื่อได้ยินเสียงโน้มน้าวของผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง หลินเฟิงก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองไปที่บุคคลทใหญ่โตของเจียงโจวที่อยู่บนเวที พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย“หึหึ ทุกคน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”ประโยคแรกนี้ทำให้อาจารย์และนักศึกษาที่อยู่ในห้องนั้นทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงกันไปชั่วครู่โจวเสี่ยวหางและหลินเสวี่ยฮุ่ยอ้าปากกว้าง พร้อมกับสีหน้าสีตกตะลึง ประโยคนี้หมายความว่ายังไง?เป็นการรำลึกความหลังงั้นเหรอ?หรือว่าหลินเฟิงก็รู้จักกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มานานแล้ว?หรือว่า....เขาเสแสร้งออกมางั้นเหรอ?แกล้งทำเป็นรู้จักกับคนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้งั้นเหรอ? นี่จะพยายามมากเกินไปสำหรับศักดิ์ศรีของเขาแล้วไหม?เจียงปินก็ยังคงยิ้มเยาะโดยที่ยืนอยู่แข็งทื่ออยู่ที่เดิมเหมือนเป็นรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ลางสังหรณ์ค่อย ๆผุดขึ้นมาในใจของเขา“หรือว่า....หรือว่าคนเหล่านี้ จะเป็นไอ้แมงดาคนนั้นเชิญมาที่นี่? มันจะเป็นไปได้ยังไง?!”“เขาจะมีเกียรติแบบนี้ได้อย่างไร? มีความสามารถแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?!”แต่ไม่นาน จินตนาการครั้งสุดท้ายของเจียงปินก็พังทลายลงเพียงแค่เห็นผู้ว่าเจียงโจวที่อยู่บนเวที หลิวกั๋วฮุยผู้ท
“เสวี่ยฮุ่ย เธอเชื่อฉันไหม?”หลินเฟิงขยับไปด้านข้างหลินเซว่ฮุ่ย ถามด้วยรอยยิ้มในดวงตา“เชื่อ ฉันจะไม่เชื่อพี่หลินเฟิงได้ยังไง?”หลินเสวี่ยฮุ่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ฉันบอกว่าฉันเรียกคนพวกนี้มา แต่ไอ้หมอนี่กำลังโกหก เธอเชื่อไหม?”หลินเฟิงมองหลินเสวี่ยฮุ่ยด้วยรอยยิ้มไม่รอให้หลินเสวี่ยฮุ่ยพูด เจียงปินก็ขมวดคิ้วอย่างเย็นชาและพูดดูถูกว่า:“ศาสตราจารย์หลิน คุณอายุน้อยขนาดนี้ก็สามารถเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวได้ ตระกูลถังน่าจะลงแรงอยู่เบื้องหลังอย่างมากสินะ?”“ผมแนะนำให้คุณอย่าหาเรื่องใส่ตัว”“พวกเราต่างรู้ว่าคุณพึ่งพาอะไรขึ้นตำแหน่ง ถ้าหากจะให้พูดให้ชัดเจน งั้นก็จะอับอายขายหน้าอย่างมาก”“คุณไม่รู้สึกอะไร แต่คุณเคยคิดถึงเสวี่ยฮุ่ยไหม?”“พี่ชายที่เกาะผู้หญิงกิน มีผลกระทบมากแค่ไหนต่ออนาคตของหมอคนหนึ่ง คุณน่าจะรู้ดียิ่งกว่าผมนะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยก็แสดงความโกรธขึ้นมาทันที และลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ดัง “พรึ่บ” และมองเจียงปินพูดอย่างโมโหว่า:“เจียงปิน นายหมายความว่ายังไง?!”“ฉันไม่ได้หมายความว่ายังไง”เจียงปินจ้องมองหลินเสวี่ยฮุ่ย และพูด
“ถูกต้อง”เห็นหลินเฟิงท่าทางสับสน เจียงปินมองว่าเป็นท่าทางประหม่า เขาคิดว่าเขารู้จักภูมิหลังของหลินเฟิงเป็นอย่างดี จึงเงยหน้าพูดขึ้น“พ่อของผมไม่มีความสามารถ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเถิงหูเมืองเจิ้งเต๋อ และโรงพยาบาลแห่งนี้ของพ่อผม ยังเป็นบริษัทในเครือของซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในหัวตงอีกด้วย“อะไรนะ?!”ได้ยินชื่อของเผิงกวงฉี่ เพื่อนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจวพากันมองเจียงปินด้วยความตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าพ่อของเขา จะเป็นลูกน้องของเผิงกวงฉี่เศรษฐีอันดับหนึ่งของหัวตง ตำแหน่งนี้น่าหวาดกลัวจริงๆดูท่าสามารถเชิญบุคคลใหญ่โตเหล่านี้มาได้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลแต่ความจริงนั้นมีเพียงเจียงปินที่รู้ดีเผิงกวงฉีได้เปิดโรงพยาบาลหลายร้อยแห่งในตงหัว พ่อของเขาเป็นเพียงหนึ่งในโรงพยาบาลเล็กๆฟังดูน่ากลัว แต่อันที่เป็นเพียงแค่หมาตัวหนึ่งในมือของเผิงกวงฉี่เท่านั้นเองเขาสั่งแค่ประโยคเดียวก็สามารถถีบหัวส่งพ่อของเขาได้แล้วดังนั้นจีงไม่มีสิทธิพิเศษอะไร คนที่อยู่นอกวงการเกรงว่าได้ยินชื่อของเผิงกวงฉี่ก็คงจะตกใจมากแต่สำหรับบุคคลใหญ่โตของเมืองเจียงโจวเหล่านี้ เคยเห็นจนชิน คุณที่เป็นแค่ผู้อำนว
เจียงปินนิ่งอึ้งสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน เจียงปินความคิดพุ่งพล่าน เวลาเพียงครึ่งวินาที เขาก็ตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะต้องเสแสร้งต่อไปไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่เสียหน้าต่อหน้าหลินเสวี่ยฮุ่ยเท่านั้น ถึงขั้นที่อาจจะกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนนักศึกษาทั้งมหาลัยถึงขั้นที่กลายเป็นเรื่องคุยเล่นหลังทานข้าวของทั้งมหาวิทยาลัยเจียงโจวถึงเวลา “ชื่อเสียง” ของเขาเจียงปินก็จะโด่งดังไปทั่วทั้งเจียงโจว แลการพูดปากต่อปากของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว เขาเจียงปินต่อไปอย่าว่าแต่ทำงานอยู่ในสังคมแพทย์ในประเทศมังกรอีกทั้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลแพทย์ในเมืองเจิ้งเต๋อถ้าหากถูกเปิดเผยออกไป จะไม่ทำให้ธุรกิจของพ่อถูกโจมตีอย่างร้ายแรงเหรอ?ถึงเวลาใครยังจะกล้ามาซื้อยามารักษาโรคที่พ่ออีก?เจียงปินหนังหน้ากระตุกเล็กน้อยรีบเปลี่ยนจากความตกตะลึงเป็นความโมโห“คุณเป็นใครกัน? ทำไมถึงเข้ามาในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงโจวของเราได้? ไม่ใช่ว่าไม่ให้คนนอกเข้ามาหรอกเหรอ?!”เจียงปินเอ่ยปากกล่าวโทษหลินเฟิงอยากจะไล่เขาออกไปโดยตรง“เจียงปิน นี่คือพี่ชายของฉัน หลินเฟิง เขาไม่ใช่คนนอก”“จริงด้วย เพื่อนเจียงปิน นา
“อะไรนะ?!”ได้ยินแล้วยังดวงตาของเหล่านักศึกษาแทบจะถลนออกมาแล้วพวกเขาพากันมองไปทางเจียงปิน ส่วนเจียงปินก็หนังหน้ากระตุก ถึงแม้จะประหม่าอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังฝืนยี้มบางและปรบมือทำท่าทางเหมือนเขารับรู้มานานแล้วนี่จึงดึงดูดความชื่นชมและความเลื่อมใสจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งและนี่ยังไม่จบ“ต่อมาขอเชิญ ฉินเซี่ยวเทียน นายกรัฐมนตรีเมืองเจียงโจว!”“อิ่นนั่วเจีย ซูเปอร์สตาร์ประเทศมังกร!”“ไป๋ชิงเฉี่ยน แห่งไป๋ซื่อกรุ๊ป”“ผู้จัดการถัง บริษัทเภสัชกรรมเชิงถัง...”หลังจากที่อาของโจวเสี่ยวหาง หัวหน้าโจวพูดชื่อออกมาทีละคน เมืองเจียงโจวไม่ว่าจะเป็นทิศเหนือทิศใต้ ทั้งหมดเป็นคนมีหน้ามีตา กองกำลังทั้งหมดที่สามารถนำออกมาได้ต่างก็มาถึงหมดแล้วพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว กลายเป็นการรวมตัวกันของบุคคลใหญ่โตทันที“แม่เจ้า นี่มันบ้าอะไรกัน?!”“เชี่ย เหตุการณ์แบบนี้...ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”เห็นบุคคลใหญ่โตยืนอยู่บนเวที คนเหล่านี้มาต่างบริษัทต่างๆ ในเมืองเจียงโจว ถึงขั้นมีบุคคลผู้มีอำนาจ ตระกูลและวงการในหลายสาขาใครคนไหนก็ได้ยืนออกมา เพียงแค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้เมืองเจียงโจว
ในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมของจางเต๋อหลิน สมาชิกผู้อาวุโสในสายวิชาชีพแพทย์จะมาปรากฏตัวแล้วทำไมผู้ว่าเจียงโจวถึงมาด้วย?เมื่อเห็นผู้ว่าเจียงโจวเดินออกมาจากด้านหลังเวทีโดยมีรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับโบกมือให้กับเหล่านักศึกษา เหล่านักศึกษาที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ตกตะลึง แต่ก็ยังปรบมือกับอย่างกระตือรือร้นด้วยรูปแบบของผู้จบการศึกษารุ่นนี้ มันเกินความจริงไปหรือเปล่า?“หรือว่านักศึกษาเจียงปินจะเชิญมา?”ไม่รู้ว่าเป็นใครที่จู่ ๆพูดขึ้นมาท่ามกลางเหล่านักศึกษาทันใดนั้น เหล่านักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีจบการศึกษาก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะมองไปที่เจียงปินที่รู้สึกสับสนอยู่ไม่ต่างกัน“อ่ะ? อ่อ....อ่อ ใช่ นักศึกษาทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนกไป ไม่ต้อง ไม่ต้อง หึหึ....”เจียงปินรีบยื่นมือออกไปปลอบใจนักศึกษาคนอื่น ๆเห็นได้ชัดว่าเขาได้ยอมรับแล้ว“ซี้ด...”นักศึกษาหลาย ๆคนต่างก็สูดอากาศเย็น ที่เจียงปินเชิญจางเต๋อหลินมาได้มันก็น่าเหลือเชื่อคราวนี้ผู้ว่าของเจียงโจวก็ยังได้รับเชิญมาอีกด้วย มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปงั้นเหรอเบื้องหลังของเจียงปินจริ
“หึหึ พิธีรับปริญญาของปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆเลยนะ”“เพราะว่ามีผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้เดินทางมาโดยเฉพาะ ดังนั้นก็เลยเชิญแขกผู้มีเกียรติที่สำคัญมากมากมายมามอบใบประกาศนียบัตรให้แก่นักเรียนของพวกเราในรุ่นนี้”“ที่มา ก็มีเชิญ....”“ท่านผู้นำอุตสาหกรรมยาสมุนไพรเจียงโจว ผู้อาวุโสจางเต๋อหลิน!”ขณะที่หัวหน้าโจวยื่นมือออกไปเรียนเชิญ จางเต๋อหลินก็เดินเข้ามาจากประตูด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าและโบกมือทักทายเหล่านักเรียนที่อยู่โดยรอบอย่างต่อเนื่อง“เอ๊ะ?”เมื่อเห็นรอยยิ้มของจางเต๋อหลิน รอยยิ้มที่พึงพอใจของเจียงปินก็แข็งทื่อทันทีเพราะในความประทับใจของเขา ผู้อาวุโสจางเต๋อหลินมักจะมีใบหน้าที่เขร่งครึมและจริงจังอย่างมาก ทั้งยังระวังภาพลักษณ์อีกด้วยทำไมถึงยิ้มได้กว้างขนาดนั้นล่ะ?แต่เหล่านักเรียนคนอื่น ๆไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยแล้วพากันปรบมือกันอย่างกระตือรือร้น บางคนถึงขนาดปรบมือจนหน้าของตัวเองแดงต้องรู้ว่า นี่คือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเจียงโจว!ผู้อาวุโสอย่างเขามามอบใบประกาศนียบัตรการสำเร็จการศึกษาด้วยตัวเอง ให้เกียรติกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า?หากพูดออกไป เกรงว่าก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
เพียงเพราะแค่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเจียงโจวโด่งดังอย่างมากถึงได้ถ่อมตัวมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวอีกทั้งหลินเสวี่ยฮุ่ยยังได้ยินมาว่า เจียงปินเหมือนจะแอบฝากตัวเป็นศิษย์ของจางเต๋อหลินด้วยได้ไหว้เจ้าสำนักของสำนักไป๋เกาเป็นอาจารย์ ไม่ธรรมดาเลยจากคำพูดของเขาเมื่อครู่สามารถดูออกได้ว่า เรื่องที่เขาไหว้จางเต๋อหลินเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเลยดูท่าจะมีความเป็นไปได้สูงเจียงปินคนนี้ อนาคตก้าวไกลอย่างมากแต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยฮุ่ยปวดหัวก็คือ เธอในฐานะดาวคณะของคณะแพทยศาสตร์ เจียงปินคนนี้เพิ่งกลับมาก็ตามตอแยเธอแน่นอนว่า หลินเสวี่ยฮุ่ยไม่ได้รู้สึกรังเกียจเจียงปินเจียงปินเป็นคนที่สุภาพกับคนอื่น เป็นคนที่กิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด ถึงขึ้นที่โจวเสี่ยวหางก็จับคู่พวกเขาสองคนอย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่า โจวเสี่ยวหางคิดว่า เจียงปินคนนี้เหมาะสมกับหลินเสวี่ยฮุ่ยมากกว่าหลินเฟิงแต่ทุกครั้งเจียงปินอยู่ต่อหน้าเธอ หลินเสวี่ยฮุ่ยมักจะชอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับหลินเฟิงจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?ดังนั้นหลินเสวี่ยฮุ่ยจึงตัดสินใจไม่ได้ชั่วคราวจึงปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยใ
เจ้าของรถจำนวนไม่น้อยต่างพากันเบิกตากว้าง มองรอยยางรถที่อยู่บนพื้นด้วยความอิจฉาส่วนหลินเฟิงที่เหยียบคันเร่งจนเครื่องยนค์มายบัคคำรามลั่น หายไปจากสายตาของทุกคนในทันที......วันต่อมา มหาวิทยาลัยเจียงโจวหลินเสวี่ยฮุ่ยที่กำลังนั่งอยู่ในกลุ่มผู้ฟัง และไม่ได้ยินชื่อหลินเฟิงปรากฏในรายชื่อของศาตราจารย์ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนว่าตัวเธอเองยังไร้เดียงสาเกินไปแล้วก็ใช่ตอนนี้พี่หลินเฟิงคบค้าสมาคบกับบุคคลแบบไหน ส่วนเธอเองเป็นคนแบบไหน เธอจบการศีกษา ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปที่จะรบกวนหลินเฟิงหูหนวกตาบอดเกินไปแล้วจริง ๆเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยก็จับชายกระโปรงไว้ แต่ภายในดวงตากลับมีความเสียใจที่ไม่อาจควบคุมได้ดูเหมือนว่าจะต้องขอโทษพี่หลินเฟิงในภายหลังซะแล้วหลินเสวี่ยฮุ่ยคิดได้อย่างนี้“เสวี่ยฮุ่ย อย่าเสียใจไปเลย”โจวเสี่ยวหาง เพื่อนสนิทของหลินเสวี่ยฮุ่ยตบที่มือของหลินเสวี่ยฮุ่ย พร้อมกับปลอบใจว่า :“ไม่มาก็ไม่มา หลังจากนี้ยังมีเวลาอีกมาก”“ทำท่าทางดี ๆหน่อย หลังจากนี้เธอยังต้องพูดสุนทรพจน์กับแสดงละครอีกไม่