ถังหว่านกอดอก และยิ้มอย่างเย็นชา: “คุณเซี่ยง ยาบำรุงสตรีของเซี่ยงซื่อกรุ๊ปอยากที่จะเป็นขวัญใจของคนในเมืองเจียงโจว ฉันเข้าใจในส่วนนี้”“ฉันยินดีอย่างยิ่งที่จะแข่งขันกันอย่างยุติธรรม”“แต่คิดไม่ถึงว่าคุณจะใช้วิธีการที่แย่แบบนี้”กลุ่มนักข่าวได้เข้าไปล้อมเซี่ยงตงเซิงเอาไว้ ไมโครโฟนเกือบเสียบเข้าปากของเซี่ยงตงเซิงแล้ว“คุณเซี่ยง ขอถามหน่อยครับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม?”“คุณเซี่ยง ขอถามหน่อยว่าคุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”เซี่ยงตงเซิงสีหน้าอึมครึม เรื่องบางถึงขนาดนี้แล้ว จะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ กลับจะถูกคนจับปัญหาได้ง่ายด้วยซ้ำไปเขาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ และภายใต้ปกป้องของบอดี้การ์ดของเขา จึงรีบที่จะหนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ“คุณซี่ยง อย่าเพิ่งไป คุณพูดง่าย ๆ สักสองประโยค……”นักข่าวกลุ่มใหญ่ก็ได้ประเด็นข่าวร้อนเช่นกัน เลยไล่ตามออกไปการแถลงการณ์ข่าวครั้งนี้ ตระกูลถังก็พลิกสถานการณ์ได้อย่างดีประธานบริษัทจำนวนไม่น้อยก็ยิ่งแย่งและทำการจองยาปรับประสานพลังกันหลังจากที่งานเลี้ยงจบลง ถังหว่านก็ได้มีเปลี่ยนเป็นชุดลําลอง: “หมอเทวดาจาง คุณอิ่น วันนี้รบกวนคุณสองคนจริง ๆ ”“คุณถ
เซี่ยงตงเซิงชำเลืองไปที่เขากล่าวว่า: “นายมีวิธีการอะไรดี ๆ ไหม?”ไป๋จินเต๋อหัวเราะเบา ๆกล่าวว่า: “ถ้าหากว่าวันนี้คุณเซี้ยงอายุครบยี่สิบหกปี มันเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับแต่งงาน”“หากเราสามารถแต่งงานกับครอบครัวท้องถิ่นในเจียงโจวได้ ยืมกำลังของครอบครัวท้องถิ่นในเจียงโจว การที่จะตั้งหลักที่เจียงโจวก็ถือว่าเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น”เซี่ยงตงเซิงพอได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมากแต่เขาให้ความสำคัญกับลูกสาวอย่างมากแม้ว่าจะเป็นการแต่งงานกับครอบครัวใหญ่ในเจียงโจว งั้นก็ต้องให้ลูกสาวของตัวเองชอบถึงจะได้“ผู้เฒ่าไป๋ คุณไปเรียกตัวจื่อหลานมา ฉันจะคุยเรื่องนี้กับเธอ”ผ่านไปไม่นาน ผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดกระโปรงยาวก็มาถึงที่ห้องสมุดของเซี่ยงตงเซิงนี่ก็คือเซี่ยงจื่อหลานเป็นลูกสาวของเซี่ยงตงเซิง “พ่อ ดึกขนาดนี้แล้วเรียกหนูมามีธุระอะไร?”เซี่ยงตงเซิงก็ไม่ได้ปิดบังอะไร จึงพูดเรื่องการแต่งงานขึ้นมาทันทีเซี่ยงจื่อหลานเมื่อได้ยินแบบนี้ก็ลุกขึ้นยืนทันที และกล่าวอย่างออดอ้อน: “พ่อ หนูไม่อยากแต่งงาน”“หนูไม่รู้จักคุณชายบ้าบอของตระกูลร่ำรวยอะไรพวกนั้นด้วยซ้ำ และก็ไม่ชอบด้วย”เซี่ยงตงเซ
เซี่ยงจื่อหลานกอดสวีเชาเอาไว้ “คุณกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร?”“ฉันทำใจไม่ได้หรอกค่ะที่คุณจะหายตัวไป”“งานเลี้ยงครั้งนี้ ฉันก็แค่ทำให้เป็นพิธีเท่านั้นเอง ถึงตอนนั้นฉันยังไม่มีผู้ชายที่ถูกใจ คุณพ่อจะทำอย่างไรได้ล่ะ?”สวีเชาจับคางของเซี่ยงจื่อหลานแล้วพูดว่า “ผมก็รู้ว่าคุณดีต่อผมที่สุดแล้ว”ระยะเวลาหลายปีนี้เขาใช้เทคนิคหลอกล่อ ค่อย ๆ ล้างสมองของเซี่ยงจื่อหลานประกอบกับทักษะในการพูดของเขา ก็ยิ่งทำให้เซี่ยงจื่อหลานค่อย ๆ เดินผิดทาง“อาเชา ช่วงนี้บริษัทของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” เซี่ยงจื่อหลานถามสวีเชาพูดด้วยสีหน้าเก้ ๆ กัง ๆ “ช่วงนี้ตลาดซบเซาและธุรกิจก็ไม่ค่อยดีเลย”“ใช่แล้ว ในมือของคุณยังมีเงินอยู่หรือเปล่า? ผมวางแผนว่าจะซื้ออุปกรณ์นำเข้าสองสามเครื่อง เพื่อที่จะเพิ่มขนาดของบริษัท”“ไม่อย่างนั้น บริษัทก็จะไม่มีอะไรเลยที่จะเอามาแข่งขันได้!”เซี่ยงจื่อหลานได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย“ตอนนี้เงินในมือของฉันก็มีไม่เยอะ”“เห้อ…ดูเหมือนว่าผมคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว” สวีเชาถอดใจ“อาเชา คุณอย่าพูดแบบนี้ ฉันจะช่วยคุณเอง”เซี่ยงจื่อหลานเพียงแค่อยากทำให้สวีเชายิ่งใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ
“ฉันผู้หญิงคนเดียวไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”งานเลี้ยงที่น่าเบื่อแบบนี้ เธอไม่ได้อยากจะไปร่วมด้วยเลย แต่ก็ยังต้องไว้หน้าตระกูลเซี่ยงอยู่ถึงตอนนั้นก็ส่งของขวัญเล็ก ๆน้อย ๆ แล้วก็ส่งคนไปสักสองคนก็พอแล้วสวีเชาได้ยินแบบนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ที่ฮุ่ยหรานพูดก็มีเหตุผล ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นผมก็ไม่ไปแล้ว”ที่เขากังวลที่สุดก็คือ การพบกันระหว่าง หลี่ฮุ่ยหรานกับเซี่ยงจื่อหลานแม้ว่าทั้งคู่จะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย แต่ถ้าเกิดได้คุยไปคุยมาหลังจากที่เจอหน้ากัน มันจะยุ่งยากถ้ามีอะไรเกิดขึ้น หลี่ฮุ่ยหรานพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเซี่ยงเลือกลูกเขย ทำไมคุณถึงไม่ไปล่ะ? คุณเซี่ยงไม่เพียงแต่จะสวยเท่านั้น แต่ยังลำดับในตระกูลดีอีกด้วยนะ”“คุณกับเธอก็ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันนะ”จางกุ้ยหลานพูดติดตลกขึ้นมาว่า “ไอ้หยา เท่าที่ฉันดูคุณชายสวีมีเจ้าของหัวใจแล้วสินะคะ?”สวีเชาคนนี้พอว่างก็จะมาหาหลี่ฮุ่ยหราน ครั้งที่แล้วที่อ่าวเทียนสุ่ยก็ช่วยเหลือลูกสาวของตัวเองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายสนใจในตัวของหลี่ฮุ่ยหราน แต่ลูกสาวของเธอก็ดูจะไม่มีความคิดแบบนั้นเลยจริง ๆสวีเชาพยักหน้า จ้องมอง
ในตอนนี้จางซินยกพัสดุทั้งใหญ่และเล็กเดินเข้าประตูมา“ซินซิน นี่หนูกำลังจะไปทำอะไรน่ะ?”จางซินยิ้มแล้วพูดขึ้นมา “อ่อ หนูไปช็อปปิงมาน่ะค่ะ““คุณป้า หนูไม่ได้คุยกับคุณป้าแล้วนะคะ อีกเดี๋ยวยังมีธุระอีก”เธอกำลังจะขึ้นไปชั้นบน สายตาก็เหลือบไปเห็นสร้อยคอทับทิมที่วางอยู่บนโต๊ะ“โอ้พระเจ้า!”จางซิน รีบวางของในมือลง และวิ่งเข้าไป เธอหยิบสร้อยคอที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา“นี่คือทับทิมใช่ไหม?”จางกุ้ยหลานพูดด้วยสีหน้าลำพองใจ “ใช่สิ ราคาตั้งร้อยล้านบาทเชียวนะ”เมื่อจางซินได้ยินอย่างนั้น ก็สวมใส่ไว้ที่คอของตัวเองอย่างไม่เกรงใจ และถามจางกุ้ยหลานว่า “คุณป้า คิดว่าหนูใส่แล้วดูดีไหม?”จางกุ้ยหลานพูดด้วยสีหน้าเก้ ๆ กัง ๆ “เอ่อ..ดูดี ดูดี”“คุณป้า หนูขอยืมสร้อมทับทิมเส้นนี้ไปใส่สักสองวันนะ” จางซินบอกด้วยรอยยิ้มจางกุ้ยหลานขมวดคิ้วพร้อมกับรีบอธิบายว่า “ซินซิน สร้อยคอทับทิมเส้นนี้เป็นของที่สวีเชามอบให้พี่สาวของหนู หนูใส่คงจะไม่ดีหรอกนะ”“ถ้าหนูชอบ วันหลังป้าจะซื้อของอย่างอื่นให้”หลี่เหวินเชาพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “เธอรีบถอดมันมาเถอะ เอาสร้อยคอคืนพี่สาวของฉัน”จางซินมองไปที่หลี่ฮุ่ยหรานด้วยสี
“หลังจากนี้คุณก็เรียกผมว่าหลินเฟิงเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”หลินเฟิงพยายามที่จะรักษาทัศนคติที่เป็นมิตรเอาไว้แต่ยิ่งเขาแสดงความเป็นมิตรมากเท่าไหร่ หลินฝานก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้นเขามักจะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีเจตนาอื่นอีกเวลานี้ มือถือของหลินฝานก็ดังขึ้นมาดูหมายเลขที่โทรเข้า เขาก็รีบรับสายทันทีถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะมองไม่ชัดว่าใครเป็นคนโทรมา แต่ก็ได้ยินเสียงพูดด่าดังมาจากปลายสายโดยไม่ตั้งใจ จนทำให้เขาขมวดคิ้ว“ไอ้สกุลหลิน แกแม่งทำอะไรอยู่กันแน่วะ? ตกลงผลการทำงานของเดือนนี้มันจะยังสำเร็จอยู่ไหม?”หลินฝานที่อยู่ตรงข้าม พยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วพูดว่า “เจ้านายวางใจ รับรองว่าทุกอย่างจะต้องสำเร็จ”“ถ้าหากเดือนนี้ผลการทำงานของแกไม่ได้มาตรฐาน ก็ลาออกไปซะ”หลังจากที่หลินฝานขอโทษและยอมรับความผิดพลาดอยู่พักหนึ่ง ก็วางสายไปเขาถอนหายใจยาว และดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะจ้องมองที่ตัวเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก“แหะแหะ ให้คุณเห็นเรื่องตลกแล้ว”แต่ทว่า หลินเฟิงก็ไม่ได้จะหัวเราะเยาะใส่ “ตอนนี้เศรษฐกิจอยู่ในสภาวะถดถอย การขายบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”หลินฝานพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ครับ”“
ชายร่างกำยำคิดไม่ถึงว่า ผู้ชายคนนี้จะขี้ขลาดขนาดนี้เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “แกแม่งพูดขอโทษแล้วเรื่องมันจะจบเหรอ?”หลินฝานพูดอย่างสับสนมึนงงว่า “แล้วคุณต้องการทำอย่างไรครับ?”“เอาเงินมาสองพันห้าร้อยบาท ฉันจะเอาไปซ่อมกันชน” ชายกำยำพูดด้วยสีหน้าดุร้าย“หา?” หลินฝานตกตะลึงจนตาค้างเขาขับชนเองแล้วยังจะให้ควักเงินสองพันห้าร้อยบาทให้อีกเหรอ?สิ่งนี้มันสมเหตุสมผลตรงไหน?“หาอะไร? รีบ ๆ ควักเงินมา” ชายกำยำคว้าคอเสื้อของเขาพร้อมกับคุกคามหลินฝานโต้เถียงด้วยเหตุผลว่า “พี่ชาย มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ผมก็ขอโทษคุณแล้ว ทำไมยังต้องให้ล้วงเงินออกมาสองพันห้าร้อยบาทด้วยล่ะ?”ในหนึ่งวัน ตัวเขาทำงานหาเงินยังไม่ถึงสองพันห้าร้อยบาทเลยเงินนี้ เขาไม่อยากจะจ่ายเลยจริง ๆ“งั้นรถของฉันก็โดนขูดเปล่า ๆ เหรอ?”ชายร่างกำยำถลึงตาใส่ “แกแม่งอย่ามาเวิ่นเว้อน่ะ รีบส่งมาเร็ว ๆ“ขณะที่พูดก็ตบหน้าพร้อมกับสั่งสอนเขาเล็กน้อยในเวลานั้นเอง หลินเฟิงรีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าข้อมือของเขาไว้ชายร่างกำยำตะลึงงัน และจ้องไปยังหลินเฟิง “แกแม่งเป็นใครวะ?”หลินเฟิงพูดเสียงเย็นชาว่า “ข่มเหงรังแกกันจนเกินไปหรือเปล่า? ขอโทษเขาซ
แต่เขายอมรับในชะตาชีวิตตั้งนานแล้วเขาทำร้ายคน ใครจะช่วยจัดการให้เขา? ในครอบครัวของเขามีเพียงแค่แม่ที่แก่เฒ่ากับน้องสาวที่ยังเรียนหนังสืออยู่ถ้าเขาเกิดเรื่องขึ้น ทั้งครอบครัวก็จะต้องพังทลายมองดูแผ่นหลังของหลินฝานที่จากไปไกลหลินเฟิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา......วิลล่าตระกูลเซี่ยงเมืองเจียงโจว ตอนนี้แสงไฟสว่างจ้าวันนี้ก็คืองานวันเกิดของเซี่ยงจื่อหลาน คุณชายคุณหนูที่มีหน้ามีตาของเมืองเจียงโจวต่างถูกเชิญให้เข้าร่วมงานหลี่ซื่อกรุ๊ปก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเชิญ แต่หลี่ฮุ่ยหรานยุ่งอยู่กับงานจึงไม่ได้เข้าร่วมแต่ส่งให้จางซินมาร่วมงาน สำหรับงานสังคมแบบนี้ จางซินอยากมาร่วมแต่ก็ไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ “แม่เจ้า…”เมื่อเดินเข้าวิลล่า จางซินก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยงจะอาศัยอยู่ที่วิลล่า แต่การตกแต่งไม่รู้ว่าหรูหรากว่าคฤหาสน์ตระกูลหลี่มากแค่ไหนรูปวาดบนผนังแต่ละรูปมูลค่ามหาศาล“คุณเซี่ยงมาแล้ว…”“คุณเซี่ยงสวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์”ในกลุ่มคนมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นมาจางซินเห็นแบบนี้ก็รีบเบียดเข้าไปกลางกลุ่มคนเห็นแค่เซี่ยงจื่อหลานเดินลงมาจากชั้นสอง ชุดเดรสคริสตัล โอ
“นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนของรองผู้จัดการหลงซิ่วด้วยหรือเปล่า?”"เอ่อ... ใช่"พูดอย่างตรงไปตรงมา จวงฉุนก็เป็นแค่สุนัขของหลงซิ่วเนื่องจากเขาไม่ใช่นักบู๊และไม่ได้รู้จักผู้คนมากมาย เขาจึงถูกหลงซิ่วส่งมาที่เมืองเจิ้งเต๋อทำหน้าที่เป็นผู้นำเล็กๆ ของคนเหล่านี้แต่คนเหล่านี้จากตระกูลหลงล้วนเป็นนักบู๊ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงดูถูกจวงฉุนที่เป็นคนโลภโมบและหื่นกามอย่างเขาดังนั้นครั้งนี้พวกเขาถูกเรียกมา เพราะเห็นแก่หน้าของหลงซิ่วเท่านั้น จวงฉุนก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งพวกเขาได้เลยจวงฉุนก็รู้ดีถึงเรื่องนี้เช่นกันดังนั้นเอาหลงซิ่วออกมาเป็นโล่ไม่อย่างนั้น คนพวกนี้คงหันหลังแล้วจากไปทันที“ก็ได้ งั้นเราควรรีบลงมือปฏิบัติการ หากหลี่ซื่อกรุ๊ปพบเห็นเรา เราคงเดือดร้อนแน่”“อย่ากังวล คนจากหลี่ซื่อกรุ๊ปจะไม่รู้เรื่องนี้”จวงฉุนยิ้มอย่างเย็นชาเขาคิดว่าเขาทำหน้าที่เก็บความลับได้ดีมาก แต่เกรงว่าจวงฉุนคิดจนหัวระเบิดก็ยังไม่เข้าใจอิ่นนั่วเจียจริงๆ แล้วเป็นคนของหลี่ซื่อกรุ๊ปและคนที่อยู่ข้างกายอิ่นนั่วเจีย ไม่ใช่บอดี้การ์ดส่วนตัวของอิ่นนั่วเจีย แต่เป็นคนของกลุ่มหลี่ซื่อกรุ๊ปไม่ควรยุ่งด้วยมา
“เถ้าแก่เริ่น ผมว่าผมเป็นคนใจดีมากและไม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา คุณเชื่อผมไหม?”หลินเฟิงไม่ตอบคำถามที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่งของเริ่นโหย่วไฉ แต่กลับถามคำถามด้วยรอยยิ้มแทนคำถามนี้ของหลินเฟิง ทำให้ใบหน้าของเริ่นโหย่วไฉกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้“แม่งเอ๊ย”“ทำร้ายคนของฉันไปหลายคนในพริบตาเดียว ยังพูดว่าเราถูกล้อมรอบโดยแกเพียงผู้เดียว ตอนนี้แกยังบอกฉันอีกว่าแกเป็นคนใจดี ไม่ชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอีกเหรอ?”เริ่นโหย่วไฉเกือบจะกลอกตาไปด้านหลังศีรษะแต่เมื่อลองคิดดูดีๆ เขาเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?เขาเหลือบมองหลินเฟิง และเห็นได้ชัดจากท่าทางเยาะเย้ยว่าหลินเฟิงกำลังล้อเลียนเขาเป็นที่ชัดเจนว่าคำถามของหลินเฟิงในเวลานี้เป็นการเสียดสีต่อเริ่นโหย่วไฉเริ่นโหย่วไฉก็มีตอบสนองกลับมาได้ และรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาทันใดเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนในเมืองเจิ้งเต๋อมาครึ่งชีวิตแล้ว ระมัดระวังและหวาดกลัวอยู่เสมอ พยายามตัดสินใจเลือกทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุดแต่วันนี้การกระโดดซ้ำๆ ของเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจนักบู๊เลยเขาไม่สามารถเข้าใจความสามารถของหลินเฟิงได้เลยยิ่งกว่าพระเอกบู๊
“ผิดแล้ว เถ้าแก่เริ่น จากที่ผมดู เป็นพวกคุณที่ถูกผมล้อมเอาไว้เพียงคนเดียว"อีกทั้ง......"รอยยิ้มของหลินเฟิงลึกมากขั้น“แถมยังส่งคนที่อยู่เบื้องหลังที่จัดการหลี่ซื่อกรุ๊ปของผมมาตรงหน้าผมอีกด้วย ประหยัดเวลาที่ผมไม่ต้องตามหาพวกเขาทีละคน มันสะดวกจริงๆ”“อ๊ะ? นายกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่? นายคนเดียวล้อมพวกเราไว้..”ก่อนที่ เริ่นโหย่วไฉจะพูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากความมั่นใจในชัยชนะกลายเป็นความตกตะลึงจากนั้นความตื่นตระหนกก็เกิดขึ้นหลินเฟิงกระโดดออกจากห้องทำงานและกลายเป็นเงาที่พร่ามัวทันทีเขาพุ่งเข้าไปในกลุ่มลูกสมุนจำนวนหลายร้อยคน ลำพังคนเดียวอย่างเปิดเผย“อ๊ากกกก!”"เอื้อกกก!"“อ้าก แขนฉัน แขนฉัน!”ท่ามกลางเสียงโอดครวญของพวกอันธพาลที่นี่ หลินเฟิงก็เหมือนกับสิงโตที่พุ่งเข้าใส่ฝูงแกะ และไม่มีใครหยุดเขาได้ด้วยซ้ำก่อนที่พวกอันธพาลเหล่านี้จะตอบโต้ หลินเฟิงก็ได้เคลื่อนไหวไปแล้ว เขาตัดแขนหรือต้นขาของพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการโจมตีหลายๆ คนมองเห็นเงาดำแวบผ่านไปและรู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อมองลงไป
“สหาย!”หลังจากที่เริ่นโหย่วไฉตะโกนใส่หลินเฟิง เขาก็มองไปที่กลุ่มสกายของเขาและออกคำสั่งเสียงดัง:"พวกนายแค่ลากผู้ชายคนนั้นออกไป!"“คุณชายจวงฉุนจะกลับมาแล้ว รอให้เขามาถึง เขาพายอดฝีมือของตระกูลหลง ก็สามารถฆ่าไอ้หมอนี่ได้โดยตรง!”"เรารอดูการแสดงก็พอ!""ดี!"ไม่พูดไม่ได้ว่า เริ่นโหย่วไฉหัวหน้าเล็กคนนี้มีเกียรติมากพอสมควรต่อหน้าพวกอันธพาลพวกนี้หลังจากเขาออกคำสั่ง ลูกสมุนพวกนี้ก็ล้อมรอบห้องทำงานที่หลินเฟิงและอิ่นนั่วเจียอยู่เอาไว้ท่าทางแบบนี้ ไม่ได้จะสู้ตายกับหลินเฟิงแค่อยากล้อมหลินเฟิงและอิ่นนั่วเจียไว้ที่นี่เท่านั้น"ต่ำทราม!"อิ่นนั่วเจียก็มองความคิดของเริ่นโหย่วไฉออก ยกคิ้วขึ้นทันที จากนั้นชี้ไปที่เริ่นโหย่วไฉและพูดด่าทอ“ต่ำทราม? หึ อิ่นนั่วเจีย อย่าคิดว่าเธอเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งประเทศมังกร แล้วไม่มีใครกล้าแตะต้องเธอ!”“เธอในตอนนี้ไม่มีคนหนุนหลัง กลับยังอยากพึ่งพาตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้นมา เธอไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”“น่ารังเกียจจริงๆ”อิ่นนั่วเจียกำหมัดแน่นจริงๆแล้วเริ่นโหย่วไฉก็พูดถูกครั้งนี้อิ่นนั่วเจียอยากสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในวงการบันเทิงของประเทศมังกร ด้วยความพ
ครั้งนี้หลินเฟิงไม่ปล่อยไปอีกแล้ว คว้าคอเสื้อของเขาแล้วกดไว้กับผนังอย่างแรง“อ๊า!”เริ่นโหย่วไฉท้ายทอยกระแทกกับกับกำแพงอย่างแรงเจ็บจนเขาร้องโอดครวญออกมา“เถ้าแก่เริ่น ดูเหมือนคุณจะยังไม่สามารถเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนนักนะ!”หลินเฟิงเข้าไปหาเริ่นโหย่วไฉแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:"ตอนนี้ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้ายแล้ว"หลินเฟิงเอื้อมมือไปหยิบเช็คจำนวนยี่สิบห้าล้านจากในกระเป๋า ต่อหน้าเริ่นโหย่วไฉ“คุณอยากเป็นสุนัขของตระกูลหลง ถูกผมบีบคอตายตอนนี้ หรือคุณอยากจะบอกทุกสิ่งที่คุณรู้ให้ผมฟัง”เมื่อเห็นหลินเฟิงฉีกเช็คแล้วโยนลงพื้น ใบหน้าของเริ่นโหย่วไฉก็บิดเบี้ยวด้วยความเสียใจ“ฉัน...ฉัน...”เริ่นโหย่วไฉพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาตกอยู่ในความสับสนอย่างสิ้นเชิง“ตัดสินใจไม่ได้เหรอ? งั้นผมช่วยคุณเอง”หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา ประสานนิ้วเข้าด้วยกันเพื่อรวบรวมกระแสพลังชี่แท้ แทงมันไปที่จุดตันเถียนของเขาทันใดนั้นพลังชี่แท้เป็นเกลียวถูกหลินเฟิงปล่อยเข้าสู่ร่างกายของเริ่นโหย่วไฉในขณะที่พลังชี่แท้ยังคงหมุนวนและขยายตัวต่อไปพลังชี่แท้นี้ยังคงกระแทกอยู่ในร่างของเริ่นโหย่วไฉไม่หยุด ทำให้เขาต้องกรี
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”เริ่นโหย่วไฉหน้าตาโศกเศร้าเขาเป็นเพียงเจ้าของโรงงานเสื้อผ้าเล็กๆ ที่ต้องการสร้างรายได้ แม้ว่าจะมีอำนาจอยู่บ้าง แต่แค่ชื่อโรงงานเสื้อผ้าของเขาก็สามารถฟังออกโรงงานเสื้อผ้าหลงชิ่งจะเป็นโรงงานใหญ่โตอะไรได้ล่ะ?เงินที่เขาได้รับมาแค่พอเลี้ยงชีพพรรคพวกเมื่อครู่ได้เท่านั้นมีจวงฉุนจากตระกูลหลงมาก่อน บังคับให้ลูกน้องของเขาทำเครื่องแบบมากกว่าสิบชุดภายในเวลาไม่กี่วันใช้เพื่อปกปิดความเคลื่อนไหวของพวกเขาเขาจำนนต่อผลประโยชน์และการบังคับ ตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับจวงฉุนและคนอื่นๆ อย่างเชื่อฟัง แต่คิดไม่ถึงว่าวันถัดมา เขาจะกลับมาอวดดีกับเขาอีกเขาและพรรคพวกได้ทำลายอุปกรณ์มูลค่าหนึ่งหมื่นล้านของหลี่ซื่อกรุ๊ป!แม่เจ้า นั่นมันหนึ่งหมื่นล้านเลยนะ!เมื่อได้ยินข่าวนี้เริ่นโหย่วไฉก็ตกใจจนสติแทบกระเจิง หากหลี่ซื่อกรุ๊ปตรวจสอบมาจนถึงเขาจวงฉุนของตระกูลหลงอาจจะสามารถหลบหนีไปได้ส่วนทางด้านเขาก็ซวย!ไม่ต้องพูดถึงการที่อิ่นนั่วเจียมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองแถมยังเอากดกระดุมของเขามาด้วย ซึ่งทำให้เขาตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้นภายใต้การแสดง เงินทอง และออเดอร์ของอิ่นนั่วเจีย ในที่ส
“เขาขู่กรรโชคผมบ่อยมากในช่วงนี้”"ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีภูมิหลังอย่างตระกูลหลง ผมคงสั่งให้ลูกน้องของผมฆ่าเขาไปแล้ว!"เมื่อพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าของเริ่นโหย่วไฉก็กลายเป็นความจนปัญญา"ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง"หลินเฟิงพยักหน้า จากนั้นเหมือนจะนึกถึงบางอย่างได้ จึงมองไปที่เริ่นโหย่วไฉแล้วพูดว่า:“อ่อใช่ครับ เรื่องกระดุมที่คุณเพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ผลิตที่นี่จริงๆ ใช่มั้ยครับ”“ถูก...ถูกต้องแล้ว”เริ่นโหย่วไฉตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยหลังจากที่เขาพูดสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ออกมา หลินเฟิงและอิ่นนั่วเจียก็ไม่ได้แสดงท่าทางกระวนกระวายหรือตึงเครียดอะไรออกมาตรงกันข้าม คนหนึ่งกลับสงบและมีสติมากกว่าอีกคน“พวกคุณอย่ากังวลเรื่องกระดุมเลย นี่มันก็สายมากแล้ว ผมคิดว่าจวงฉุนกับลูกน้องของเขาใกล้จะกลับมาแล้ว”"ถ้าคุณไม่ไปตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว"เริ่นโหย่วไฉ่พูดเร่งด้วยความร้อนรนในเมื่อเขาต้องการให้อิ่นนั่วเจียหนีไปและมอบเงินเช็คคงเหลือจำนวนยี่สิบห้าล้านบาทให้เขา!หากอิ่นนั่วเจียถูกจวงฉุนจับได้ เขาจะไปเอาเงินจากใคร?ตอนนี้กลับเป็นเริ่นโหย่วไฉที่งวิตกกังวลมากที่ส
หลังจากตัดสินใจที่จะเปิดเผยแผนการของจวงฉุน ความภาคภูมิใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเริ่นโหย่วไฉ“คุณอิ่นนั่วเจีย คุณยังจำผู้ชายที่ชื่อจวงฉุนเมื่อครู่นี้ได้ไหมครับ?”“จวงฉุน?”อิ่นนั่วเจียพยักหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอนแค่เธอจ้องมองเขาก็รู้ว่าเขามีเจตนาไม่ดีต่อเธอถึงขั้นที่ภายหลังยังสารภาพโดยตรง ไม่ได้เสแสร้งแล้วเขากล่าวว่าอยากตรวจร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่าเป็นของธรรมชาติหรือของเทียมแค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกอยากอ้วกทำไมถึงได้มีคนไร้ยางอายแบบนี้นะ“มีอะไรเหรอคะเถ้าแก่เริ่น เขาจะทำร้ายฉันเหรอ?”อิ่นนั่วเจียข่มความคลื่นไส้ในใจและยื่นหน้าเข้าไปถาม"ถูกต้องครับ"เริ่นโหย่วไฉถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า:"ผมจะบอกความจริงกับคุณแล้วกัน!"“จวงฉุนคนนี้เป็นสมาชิกของตระกูลหลง แต่เขาเป็นแค่ลูกสมุนเท่านั้น เป็นแค่ตัวประกอง”“ครั้งนี้เขาพายอดฝีมือของตระกูลหลงมาด้วยหลายคน ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเจิ้งเต๋ออย่างลับๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่”หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงและอิ่นนั่วเจียต่างจ้องมองเขา เริ่นโหย่วไฉพิจารณาคำพูดของเขาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า:“กระดุมที่คุณเอาออก
เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ อิ่นนั่วเจียก็ตกตะลึงเล็กน้อยเธอในฐานะซูเปอร์สตาร์แห่งประเทศมังกร แม้จะพิถีพิถันมากในการเลือกและออกแบบชุดของเธอ แต่โรงงานเล็กๆ แบบนี้กลับกล้าที่จะเรียกร้องเงินจำนวนมหาศาล ถึงยี่สิบห้าล้านบาทเรื่องนี้มันเกินเหตุไปหน่อยแล้วเงินยี่สิบห้าล้านบาทสำหรับอิ่นนั่วเจียไม่ใช่จำนวนเงินที่มากนัก แต่เอาเงินให้คนแบบนี้ ในใจของอิ่นนั่วเจียรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่าอิ่นนั่วเจียตกตะลึง เริ่นโหย่วไฉก็ไม่ได้อุบอิบแต่พูดอย่างจริงจังว่า:“เชื่อผมเถอะครับ คุณอิ่นนั่วเจีย เวลาของคุณเหลือไม่มากแล้ว มีแต่คุณยอมทำข้อตกลงกับผมเท่านั้น คุณจึงจะหนีจากอันตรายได้”"ฉัน......"ขณะที่อิ่นนั่วเจียกำลังแสดงท่าทีลังเลว่าจะจ่ายเงินยี่สิบห้าล้าน หลินเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้า“ผมตกลงแทนของคุณอิ่นนั่วเจีย”หลินเฟิงหยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา เขียนตัวเลขยี่สิบห้าล้านด้วยปากกาในห้องทำงานของเขาต่อหน้าเริ่นโหย่วไฉ จากนั้นส่งให้เริ่นโหย่วไฉอย่างเบามือ“ดี...ดีๆๆ”เริ่นโหย่วไฉหยิบเช็คขึ้นมาแล้วตรวจดู เขาพบว่ามันไม่ได้เป็นของปลอม ใบหน้าของเขามีความสุขทันใด และสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคว