"มันทำให้เกิดความสุขของครอบครัวเรา และฉันก็ไม่ใช่คนใจดำด้วย ยังไงซะ คุณก็เป็นพ่อของหยางหยาง และคุณต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเขาทุกเดือน ดังนั้นคุณต้องรักษาความสัมพันธ์พ่อลูกไว้ ไม่อย่างนั้น คุณให้เงินเลี้ยงดูเขา แต่เขาก็จะไม่สนิทกับคุณเลย ซึ่งนั่นจะเสียเปรียบมาก""พวกเราก็พยายามกันมานานแล้ว แต่ท้องของฉันก็ยังว่างเปล่าอยู่ การพาหยางหยางมาค้างที่นี่สักพัก ฉันอาจจะท้องก็ได้ มีคนจำนวนมากในชนบทที่แต่งงานกันมาหลายปีและยังไม่มีลูก หลังจากที่รับเลี้ยงเด็กแล้ว พวกเขาก็สามารถตั้งครรภ์ได้ภายในปีหรือสองปี"เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวหงหลินก็ดีใจมากและชมเชยเย่เจียนี จากนั้นพูดต่อว่า "เจียนี ฉันไม่ได้มองคุณผิดไปเลย คุณเป็นทั้งภรรยาและแม่ที่ดี ซึ่งเข้าใจเรื่องทุกอย่างอย่างกระจ่าง""ผู้หญิงคนไหนบ้าง ที่ไม่อยากมีชีวิตที่ดีเมื่อแต่งงานใหม่ๆ นั่นไม่ใช่เพราะว่าครอบครัวคุณรังแกฉันมากเกินไป จนฉันกลายเป็นคนใจดำ โดยเฉพาะพี่สาวของคุณที่ร้ายกาจมาก""เธอทำให้ชีวิตแต่งงานของคุณกับไห่หลิงพังทลาย และต้องการทำลายพวกเราทั้งคู่ด้วย หงหลิน ฉันไม่ได้พยายามสร้างความขัดแย้งเลยนะ สิ่งที่ฉันกำลังพูดคือเป็นเรื่อง ลองคิดดูนะ พี่สาวขอ
เย่เจียนีไม่ได้พูดต่อในหัวข้อสนทนานี้อย่างมีเล่ห์เหลี่ยมไม่สนใจว่า โจวหงอิงจะนิสัยแย่ขนาดไหน แต่เธอก็ยังคงเป็นพี่ของโจวหงหลินอยู่ดีโจวหงหลินไม่สามารถตัดสัมพันธ์กับพี่สาวของเขาได้อย่างไรก็ตาม เธอยังแสดงออกมาที่จะปล่อยให้โจวหงหลินพาเธอเข้าใกล้ชิดกับหยางหยาง เพื่อให้ไห่หลิงลดระดับการระมัดระวังลง หลังจากผ่านไปสักพัก เมื่อทั้งคู่พาหยางหยางออกไปเล่น ไห่หลิงก็ไม่คัดค้านดังนั้น เธอจึงสามารถทำภารกิจที่หญิงสาวนิรนามมอบหมายให้เธอสำเร็จได้อย่าโทษเธอที่ใจร้ายไส้ระกํา เพราะชีวิตของครอบครัวเธอถูกคนอื่นจับตามอง เธอแค่ช่วยพาหยางหยางไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสลงมือ ตราบใดที่หยางหยางเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง เชื่อว่าเขาจะไม่เป็นไรอยากจะโทษ ก็โทษไห่ถงแล้วกันเพราะไห่ถงไปเหยียบหางใครเข้า และทำให้พวกเขาลงโทษหยางหยางสำหรับเรื่องนั้นแทนนอกจากนี้ หญิงสาวคนนั้นยังบอกเธอด้วยว่า แค่ใช้หยางหยางเพื่อล่อลวงไห่ถง เพราะอีกฝ่ายต้องจัดการกับไห่ถง......ร้านดอกไม้ผลิยามฤดูใบไม้ผลิเปิดร้านเร็วกว่าร้านอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาร้านเปิด หนิงอวิ๋นชูก็ได้เปิดประตูร้านเธอมาที่นี่โดยรถประจำทาง
หนิงอวิ๋นชูยิ้มตอบ "ฉันขายกระถางดอกไม้ ปุ๋ยสำหรับดอกไม้ ดินบำรุงดอกไม้ และอื่นๆ อีก ฉันมีสินค้าเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในสต๊อกของร้าน ไม่ทราบว่าคุณต้องการแบบไหนคะ?"จ้านอี้เฉินเม้มริมฝีปาก ผู้หญิงตรงหน้าเขามักจะพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ทำให้ผู้คนรู้สึกเบาสบาย แต่กลับปากคอเราะร้ายมาก"ฉันขอดูก่อน"ขณะที่จ้านอี้เฉินพูด เขาก็เดินผ่านหนิงอวิ๋นชูและเดินเข้าไปในร้าน จากนั้นเดินรอบ ๆ ร้านขายดอกไม้ของเธอเดินวนรอบหน้าหนึ่งรอบแล้ว เขาก็หันศีรษะกลับมา และพบว่าหนิงอวิ๋นชูเดินตามเขาอยู่ห่างๆเธอแกล้งทำเป็นตาบอด แต่กลับเดินตามคนอื่นได้ นี่ไม่ใช่โดนจับได้แล้วเหรอ?"คุณคะ?"หนิงอวิ๋นชูไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของจ้านอี้เฉินอีก เธอหันหน้าไปในทิศทางหนึ่งและตะโกนเรียกหาจ้านอี้เฉินเมื่อดูท่าทางการแสดงออกของเธอ จ้านอี้เฉินก็ไม่แน่ใจนักว่า เธอตาบอดจริงหรือหลอกกันแน่?จ้านอี้เฉินตัดสินใจทดสอบหนิงอวิ๋นชูหลังจากเดินดูรอบๆ ร้าน ในที่สุดเขาเลือกกระถางกระบองเพชร เขาหยิบกระบองเพชรขึ้นมาอย่างเบามือ แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์คิดเงิน พร้อมกับพูดกับหนิงหยุนชูว่า “ฉันต้องกระถางนี้ ราคาเท่าไร?”หนิงอวิ๋นชูได้ยินเสีย
จางอี้เฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และมองไปที่แคชเชียร์เพื่อดูว่ามีคิวอาร์โค้ดโอนเงินหรือไม่ เขาถามหนิงอวิ๋นชูว่า "ร้านคุณไม่รับแสกนจ่ายเหรอ?"หนิงอวิ๋นชูพูดตามตรง "ฉันมองไม่เห็น ฉันไม่ได้ทำคิวอาร์โค้ดแสกนจ่าย เพราะฉันไม่มีบัญชีธนาคาร"เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา และเปิดให้จ้านอี้เฉินดู ซึ่งยังคงเป็นเครื่องเก่าที่มีปุ่มตัวเลข ที่ทำได้แค่โทรออกและส่งข้อความเท่านั้นหนิงอวิ๋นชูมองไม่เห็นมันได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า เพื่อสัมผัสแป้นตัวเลขและโทรออกได้ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถใช้สมาร์ทโฟนได้"ฉันติดป้ายไว้ที่ทางเข้าร้าน เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทุกคนทราบว่าร้านของเรารับเฉพาะเงินสดได้เท่านั้น หากไม่ได้พกเงินสด ก็มีพนักงานของฉันอยู่สองคน คุณสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดของพนักงานของฉันได้ และพวกเขาจะให้เงินสดแก่ฉัน"จ้านอี้เฉินหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เขาหยิบธนบัตรห้าร้อยบาทออกมาจากกระเป๋าสตางค์และส่งให้หนิงอวิ๋นชูเขาไม่ได้บอกหนิงอวิ๋นชูว่า ให้เงินไปห้าร้อยบาทจากนั้นเขาก็จ้องไปที่หนิงอวิ๋นชู และเห็นว่าเธอสัมผัสเงินด้วยมือข หลังจากสัมผัสสองสามครั้ง เธอก็เดินเข้าไปในแคชเชียร์ เปิดลิ้นชักออกมา
จ้านหยินตอบกลับอืม เห็นเขาถือกระถางกระบองเพชรมา จึงถามเขาว่า “นายซื้อมา?”"อืม ก่อนมาทำงาน ไปดอกไม้ผลิยามฤดูใบไม้ผลิมา""ดอกไม้ผลิยามฤดูใบไม้ผลิ? "จ้านหยินรู้สึกคุ้นหู เหมือนว่าเขาเคยได้ยินภรรยาพูดมาก่อนจ้านอี้เฉินไม่ได้ปิดบังอะไรและตอบตามตรง "นี่คือร้านดอกไม้ของคุณหนูใหญ่หนิง ชื่อร้านนี้ฟังไม่เข้าหูเท่าไหร่"จ้านหยินพูดส่งๆ "เมื่อฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ก็จะบาน"จ้านอี้เฉินตอบกลับอ่อ"ไหนๆ ก็ไปมาแล้ว ไม่ซื้อมาหลายๆ กระถางหน่อย?"จ้านอี้เฉินเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะซื้อดอกไม้ และฉันไม่มีทางเลือกเลยต้องซื้อกระบองเพชรนี้มา”ไม่ใช่เอาต้นกระบองเพชรไปทิ่งแทงคนอื่นแล้ว ก็ะไม่ซื้ออะไรเลย?"จะดีกว่าไหมถ้าซื้อกระบองเพชรที่มีดอกมาวางไว้ข้างคอมพิวเตอร์? กระบองเพชรมีหนามยาว ระวังอย่าให้โดนทิ่มล่ะ"จ้านหยินพูดสองสามอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากเข้าไปในอาคารสำนักงาน เขาก็ทิ้งน้องชายเอาไว้และขึ้นไปชั้นบนก่อนจ้านอี้เฉินรู้สึกว่าพี่ชายของเขาเดาได้ถึงเรื่องเขาทำ ถึงบอกกว่าซื้อกระบองเพชรที่มีดอกมาดีกว่าต้นไม่มีดอกไม่กี่นาทีต่อมาจ้านอี้เฉินนั่งลงที่โต๊ะทำงาน และมองต้นกระบองเพชรอยู่ครู่ห
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงอวิ๋นชูก็รู้สึกประหลาดใจที่แท้เป็นคนจากจ้านซื่อกรุ๊ปพนักงานของจ้านซื่อกรุ๊ปหรือว่าเป็นคนตระกูลจ้านหนิงอวิ๋นชูไม่สามารถแยกแยะได้ในตอนนี้เธอคิดว่า ครั้งต่อไปที่ไห่ถงไปซื้อดอกไม้ที่ร้านของเธอ เธอสามารถถามได้ว่า ใครเป็นคนใช้หมายเลขโทรศัพท์นั้นโทรมาไห่ถงไม่รู้ว่า จ้านหยินเริ่มเข้าหาหนิงอวิ๋นชูแล้ว หลังจากที่จ้านหยินพาเธอมาส่งที่ร้านหนังสือ เธอก็คุยกับเซินเสี่ยวจวินอยู่พักหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นที่ชวนเธอมาช่วยถักไหมพรมก็มาถึงแล้ว ไห่ถงขอให้พวกเธอถักผ้าขนาดเล็กตามความต้องการของตัวเองก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าทักษะของพวกเธอเป็นเรื่องจริง จากนั้นจึงแจกวัสดุต่างๆ มากมายจากห้องเก็บของที่ร้าน ซึ่งหยิบวัสดุออกมามากมายให้ทุกคนนำกลับไปถักไหมพรมที่บ้านหลังจากส่งเพื่อนร่วมชั้นไปสองสามคนกลับไปแล้ว ไห่ถงก็หันหลังกลับและกลับไปที่ร้าน ประจวบเหมาะซางเสี่ยวเฟยขับรถมาถึงพอดี เธอจึงหยุดลง มองดูซางเสี่ยวเฟยจอดรถไว้ที่ทางเข้าร้านหนังสือ และลงจากรถ"ถงถง"ซางเสี่ยวเฟยยิ้มพร้อมกับเดินมาหาไห่ถง "รอฉันอยู่ตรวนี้เหรอ"ไห่ถงยิ้ม "ฉันเพิ่งไปส่งเพื่อนร่วมชั้นมาน่ะ และเห็นเธอมาพอดี"ซางเสี
ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านของตระกูลไห่หรือหมู่บ้านใกล้เคียง คนหนุ่มสาวต่างก็ออกมาทำงานนอกบ้าน ในขณะที่คนที่อยู่ในหมู่บ้านมีแต่คนแก่ และไม่สามารถทำการเกษตรได้ และทุ่งนาก็กลายเป็นที่รกร้าง หากมีคนต้องการเช่าที่ดิน จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ปฏิเสธไห่ถงกับเซินเสี่ยวจวินได้ยินแบบนี้ ก็มีความสุขซางเสี่ยวเฟยพูดเรื่องความคืบหน้าของโครงการลงทุนเรียบร้อยแล้ว สายตาก็จับจ้องไปที่ไห่ถง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงพูดกับไห่ถงว่า "หลังจากพูดข่าวดีแล้ว งั้นมาพูดถึงข่าวร้ายกันบ้าง ถงถง ฉันจะให้คนไปคุยเรื่องทำสัญญาที่ดิน และช่วยสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของญาตินิสัยแย่ในบ้านเกิดของเธอในช่วงนี้ด้วย""เรื่องที่พวกเขาทำไม่ได้ทำให้ผู้คนโกรธหรอก เสี่ยวเฟยพูดมาเถอะ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรมาบ้างในช่วงนี้ ฉันก็รับได้ อยากมากก็แค่พวกเขาเอาหินพวกนั้นไปขาย""วัสดุสร้างบ้านที่เธอสั่งให้รถไปส่งหลายคันนั้น ยังคงวางเรียงไว้อย่างเรียบร้อย และไม่ได้เคลื่อนย้ายหรือถูกพวกขายไป"ไห่ถงพูดว่า "ฉันขู่ไห่จือชินเอาไว้ครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง"ไห่จือชินไม่ใช่หลานคนโปรดของปู่กับย่าของเขา แต่เขาเป็นหลานคนเล็กสุดท้อง
“ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการไหน เป็นเรื่องที่พวกเราสองพี่น้องก็ตัดสินใจแล้วว่าจะฟ้องศาล พวกเราจะไม่ยอมเสียที่ดินให้กับคนอื่น ถ้าไม่ใช่ขอพวกเรา พวกเราก็จะไม่แย่งมาแม้แต่นิดเดียว”ไห่ถงพูดอย่างแน่วแน่เธอไม่ใช่คนโหดร้าย แต่เธอสามารถโหดร้ายได้ดั่งเหล็กกล้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับญาตินิสัยแย่ที่บ้านเกิดอาการบาดเจ็บที่เธอได้รับในวัยเด็ก ทำให้เธอต้องใช้เวลารักษาไปตลอดชีวิต"แน่นอน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม พวกเราจะทำตามกระบวนการที่ถูกต้อง และจะไม่ยอมให้พวกเขาโกง และพวกเราก็ไม่โกงพวกเขาด้วย"ซางเสี่ยวเฟยพูดว่า "ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอคนพวกนั้นไร้ยางอายเท่าพวกนี้มาก่อน ว่าแต่ถงถง พ่อเธอเป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขาจริงหรือ?""ฉันคิดว่าเป็นลูกแท้ๆ หากไม่ใช่ลูกแท้ๆ พ่อของฉันจะหน้าตาเหมือนคนแก่นั่นไหม? พวกเขาลำเอียง... พ่อแม่บางคนก็เป็นแบบนั้น รักแต่ลูกคนโตกับคนเล็ก แต่ละเลยลูกคนกลาง""ตอนที่ฟ้องศาล ถ้าพวกเขาบอกว่าพ่อของฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกเขา ฉันจะขอตรวจ DNA กับพวกเขา เพื่อพิสูจน์ดูว่า มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือไม่ เมื่อผลตรวจออแล้ว จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย""หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำการทดสอบค