ไห่หลิงพูดว่า "ต่อมามีพูดกันว่าพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากชาวเน็ตผู้ใจดี ย่าได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว และทางโรงพยาบาลก็ได้กำหนดวันเข้ารับการผ่าตัดอีก"“ชาวเน็ตด่าเราอย่างแรงว่า พวกเราเป็นวัวลืมตีน ปู่กับย่าทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูพวกเรา แต่ตอนนี้เราประสบความสำเร็จแล้ว จึงไม่กตัญญูต่อคนแก่ แม้คนแก่จะป่วยเข้าโรงพยาบาล เราไม่ไปเยี่ยมอีก พวกเขาว่าเราใจร้าย อกตัญญู ไร้ยางอาย และขอโทษพ่อแม่เราที่มีลูกแบบเรา”ไห่หลิงอ่านคอมเมนต์ที่บ้านตลอดทั้งวัน และยิ่งเธออ่านมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเอ่ยถึงพ่อแม่ เธอก็เกลียดพวกเขามากยิ่งขึ้นตอนพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขากตัญญูต่อปู่กับย่ามากกว่าลุงและอาทั้งหลาย แต่เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ปู่กับย่าทํากับพวกเธอแบบนี้ได้อย่างไร?"พี่ อย่าไปดูว่าพวกนั้นพูดอะไร พวกเขาไม่รู้ความจริง เห็นดีเป็นชั่ว แถมถูกใช้ประโยชน์แบบไม่รู้ตัวอีก คิดว่าตัวเองชอบผดุงความยุติธรรมและมีเมตตา แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเบี้ยในมือคนอื่น ที่ใช้ทําร้ายผู้บริสุทธิ์"สิ่งต่างๆ บนโลกออนไลน์ มักมีการพลิกผันตลอดไห่ถงเห็นมาเยอะในเวลานี้ จ้านหยินพูดเบาๆ ว่า: "ไห่ถง ย่าของ
แต่ละบรรทัดเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ความโกรธ ความสิ้นหวัง ความหมดหนทางไห่ถงพลิกดูไดอารี่ของพี่สาว นึกถึงอดีต น้ําตาก็ไหลลงเหมือนฝนตก"ญาติฝั่งปู่กับย่าเขาทะเลาะกับญาติฝั่งตากับยาย เพื่อต้องการเงินเยอะขึ้น พวกเขาทุกคนสนใจแต่ส่วนแบ่งของตัวเอง ไม่มีใครสนใจเราสองคนพี่น้องและไม่มีอาสาจะรับเลี้ยงและดูแลเรา พ่อแม่ของเราเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาคิดแต่เรื่องเงินและไม่สนใจความรู้สึกของเราสองพี่น้องแม้แต่น้อย คนพวกนี้เรียกว่าญาติเหรอ?"“พ่อแม่รีบกลับมาเร็วๆนะ รู้ไหมว่าลูกๆ ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน ทำไมคุณถึงใจร้ายถึงทิ้งฉันกับน้องสาวไปล่ะ”“ฝนตก พระเจ้าก็สงสารฉันกับน้องสาวไม่มีพ่อแม่เหรอ? เรากลายเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่แล้ว ร้องหาพ่อ เขาก็ไม่ตอบ ร้องหาแม่ เธอก็ไม่ได้ยิน ดูนี่สิน้องสับสนไปหมดแล้ว ฉันร้องไห้และน้องก็ร้องไห้เหมือนกัน”“น้องมักถามเสมอว่าเมื่อไหร่พ่อแม่จะกลับมา? เธอคิดถึงพ่อแม่”“ฉันกอดน้องไว้และร้องไห้ บอกเธอว่าพ่อแม่ไม่มีวันกลับมาอีก พวกเขาไปสวรรค์แล้ว ทิ้งพวกเราไว้ข้างหลัง เรากลายเป็นเด็กกำพร้า เด็กที่ไม่มีพ่อแม่...”......“เพื่อที่จะได้เงินเพิ่ม ปู่กับย่าของฉันบอกว่าตราบใดที่
ไห่ถงโพสต์ไดอารี่ของพี่สาวบน Weibo เพื่อตอบกลับต่อการค้นหา "หลานสาวที่ไม่กตัญญู" อย่างร้อนแรงนอกจากไดอารี่ของพี่สาว แล้วยังมีหลักฐานที่เธอรวบรวมไว้ เมื่อเธอกลับไปยังบ้านเกิด ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้เฒ่าสองคนมีชีวิตที่ดีและมีเงินเก็บอีกหลายแสน ซ้ำลูกชายและลูกสาวของคนเฒ่าเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดของหมู่บ้านจ้านหยินจำได้ว่าระหว่างทางไปบ้านพี่สาวกับภรรยาในวันนั้น ไห่ถงได้รับโทรศัพท์จากปู่ เครื่องบันทึกการขับขี่ของเขาน่าจะบันทึกสิ่งที่ผู้เฒ่าพูดข่มขู่ไว้ได้เขาไปตรวจและมันบันทึกไว้จริงๆไห่ถงเอาบันทึกการสนทนากับปู่โพสลองอินเตอร์เน๊ตหลังจากนั้นก็ไม่สนใจว่าชาวเน็ตจะระเบิดลงอย่างไร หรือโกรธมากแค่ไหนจ้านหยินให้ซูหนานตรวจสอบข้อมูลของตระกูลไห่ เขาไม่ได้ให้ไห่ถงโพสต์บนอินเทอร์เน็ต แต่มอบให้ซูหนานดําเนินการแทน และใช้ฐานะชาวเน็ต เพื่อเอางานปัจจุบันและรายได้ของลูก ๆ ของตระกูลไห่ออกมาในตอนแรกก็ได้รับความนิยมพอๆ กับโพสต์ "หลานสาวที่ไม่กตัญญู" ตอนนี้ชาวเน็ตต่างโกรธแค้นอย่างมากเดิมทีด่าสองไห่ถงและพี่สาวว่าอกตัญญู ต่างกลับไปด่าผู้เขียนโพสต์นี้ที่โพสต์ว่า "หลานสาวอกตัญญู" แทนทิศทางของสถานการ
ไห่ถงไม่ได้กลับเข้าห้องทันที เธอไปที่ระเบียงนั่งบนเก้าอี้ชิงช้า มองดูดอกไม้บนระเบียง และดวงดาวที่อยู่เต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนหลังจากอารมณ์ดีแล้ว เธอก็ลุกขึ้นและกลับเข้าไปในห้องนอนค่ำคืนที่เงียบสงบของคู่สามีภรรยาตระกูลไห่ที่อยู่ฝากโรงพยาบาล กลับเจอเข้ากับพายุอินเตอร์เน็ตพายุอินเทอร์เน็ตที่พวกเขา ก่อนขึ้นกับไห่ถงและพี่สาวในครั้งแรกไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสองพี่น้อง แต่การตอบกลับของไห่ถงได้รับการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ไดอารี่ของไห่หลิงไม่เพียงแต่เขียนเล่าย้อนกลับไปถึงความจริงของปีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลักฐานจากเสียงบันทึกของชาวบ้านด้วย แม้แต่คณะกรรมการหมู่บ้านก็ตอบว่าสิ่งที่ไห่ถงโพสต์เป็นความจริงงาน รายได้ ที่อยู่อาศัย ฯลฯ ของพวกเขาถูกเปิดเผยโดยชาวเน็ตพวกเขาอาศัยอยู่ในวิลล่าเล็กๆ ที่สร้างขึ้นเอง มีหน้าที่การงานดี และมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่าหลายแสน และอาจมากกว่าห้าล้านด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงคนรุ่นหลาน แม้แต่ผู้เฒ่าสองคนนั้นยังมีเงินเก็บหลายแสนเห็นได้ชัดว่าฐานะของพวกเขาดีมากขนาดนั้น แค่คนแก่ป่วย แต่ต้องการให้หลานสาวสองคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียงบันท
ลุงคนที่สองของไห่ถง พูดกับหลานชายของเขาว่า "หน้าที่การงานของจื้อเหวินสำคัญที่สุด หากสิ่งนี้ทำให้จื้อเหวินตกงาน"ลุงคนที่สองไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป และการมองของเขาที่มีต่อไห่จื้อหมิงก็ดูราวกับกำลังติเตียนเล็กน้อยมันเป็นความตั้งใจของไห่จื้อหมิงที่จะลากตัวไห่ถงและพี่สาวออกมาอย่างมีศีลธรรม โดยใช้อินเตอร์เน๊ตในส่วนของคำค้นหาร้อนแรง“ลุงสอง จือเหวินทำงานในบริษัทนั้นมาหลายปีแล้วและได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานใหญ่ของบริษัท เขาจะไม่ตกงานเพียงเพราะเรื่องนี้หรอกครับ ผมจะชี้แจงในภายหลังว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับจือเหวิน”ที่ไห่จื้อหมิงทำนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว และเขาคิดว่าการแสดงออกในโลกออนไลน์นั้นไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำธุรกิจของเขาหลังจากฟังคำพูดของหลานชายแล้ว ลุงสองไห่ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยจึงโทรหาลูกชาย เพื่อขอให้เขาอธิบายในออนไลน์ว่าเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องและทำให้เขาตกงาน“เด็กเวนสองคนนั้น โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยไหม”ลุงใหญ่ไห่สาปแช่ง “ถ้าไม่ให้เงินเรา ก็ไม่ให้เงินเรา ทำไมต้องฆ่าพวกเราทั้งหมดด้วยล่ะ ตอนนี้พวกเราก็ยุ่งวุ่นวายกันไปหมดแล้
ย่าไห่เธอขึ้นชื่อในเรื่องความฉุนเฉียวในหมู่บ้าน แข็งกระด้างอยู่เสมอและไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครเธอยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยให้หลานๆ ของเธอก้มศีรษะและขอโทษหรืออะไรก็ตามไม่รู้ว่าเธอจะอดทนได้นานแค่ไหนไห่ถงไม่รู้ว่าคืนนี้ครอบครัวเก่าของเธอใช้เวลาผ่านค่ำคืนนี้อย่างไร แต่เธอนั้นหลับสบาย ก่อนรุ่งสางเมื่อเธอฝันถึงพ่อแม่ของเธอ เธอตะโกนเรียกพ่อแม่ของเธอและเอื้อมมือจะไปจับมือพวกเขา แต่ก็พบว่าตัวเธอเองนั้นว่างเปล่าพอฉันตื่นขึ้นมา ก็พบว่าน้ำตานั้นเปียกปลอกหมอนหมดแล้วหลังจากจ้องมองเพดานอย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน ไห่ถงก็ลุกขึ้นนั่งและเช็ดน้ำตาบนแก้มของเธอด้วยกระดาษทิชชู่สองแผ่น เธอพึมพำกับตัวเอง “พ่อคะ แม่คะ รู้ไหมว่าลูกสาวของพวกคุณถูกรังแก? ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูกับพี่สาวไม่ใช่เด็กเมื่อสิบห้าปีที่แล้วแล้ว พวกเขาจะไม่พยายามบงการพวกเราอีกต่อไป”เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อคืนก่อนเข้านอนเธอได้ปิดเสียงไว้เมื่อมองแวบแรก มีสายที่ไม่ได้รับจำนวนนับไม่ถ้วนและมีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านมากมายเธอมองดูสายที่ไม่ได้รับซึ่งเป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยและเดาว่ามาจากตระกูลไห่ เธอคลิกข้อความสองข้อความอย่างไม่ได
จ้านหยินบังคับให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแข็งค้างทันที และดวงตาสีดำสนิทของเขาก็ประสานเข้ากับไห่ถงพร้อมคำเตือน"คุณจ้านคะ"ไห่ถงถามเขา "ฉันขอจูบคุณได้ไหมคะ"จ้านหยิน "..."เธอควรมียางอายหน่อยน่าแปลกที่เธอถามคำถามแบบนี้กับผู้ชาย“คุณจ้านดูดีมากเวลาเขายิ้ม ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดใจ ฉันอยากกอดคุณจ้านและจูบแรงๆ สักสองสามครั้ง”จ้านหยินพูดสีหน้าเข้มครึม "คุณจ้าน ยางอายคุณไปไหนหมด?"“ยังอยู่นี่ค่ะ”ไห่ถงยิ้มและตบหน้าตัวเอง “เราเป็นสามีภรรยากัน ฉันก็เลยพูดแบบนั้น ถึงว่าเราเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายถึงฉันจะจูบคุณมันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ?”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จ้านหยินก็ก้าวออกไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ และการกระทำของเขาทำให้ไห่ถงหัวเราะออกมาอย่างดังจ้านหยินรู้สึกอายและโกรธเล็กน้อยเขาทำเช่นนี้ก็เป็เพราะเธอ ครั้งที่แล้ว จู่ๆเธอก็สัมผัสใบหน้าของเขาเมื่อเห็นเธอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จ้านหยินก็โกรธ ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วคว้าไห่ถงซึ่งกำลังหัวเราะอยู่ เขาผลักเธอเข้าหาอ้อมแขนของเขา ลดศีรษะลง และปิดปากของเธอ และกลืนรอยยิ้มอันดุร้ายของเธอเสียงหัวเราะของไห่ถงหยุดลงทันที
“เงินสำหรับซื้อรถนั่นไม่ต้องโอนมาให้ผมครับ”จ้านหยินเปลี่ยนเรื่องคุบไปและเขาก็กลับไปเรื่องซื้อรถยนต์ไห่ถงไม่ทราบเลขบัญชีธนาคารของเขา ดังนั้นจึงสามารถโอนเงินเข้าบัญชี WeChat ของเขาได้เพียง 250,000 บาทต่อวันแต่จ้านหยินปฏิเสธที่จะยอมรับมันไห่ถงโอนเงิน 250,000 บาทให้เขาในคืนแรก และตอนนี้ได้คืนกลับมาเข้าบัตรธนาคารของเธอแล้ว“การซื้อรถให้คุณก็เพื่อเป็นความดูดีของผมด้วย ผมมักจะยุ่งกับงานและต้องพาภรรยาไปสังสรรค์เป็นครั้งคราว ถ้าใครพบว่าภรรยาของผมต้องขี่จักรยานไฟฟ้า ที่แบตเตอรี่หหมดก็ปั่นแทนด้วยเท้าได้ หน้าตาของผมมันคงจะดูไม่ดีแน่”จ้านหยินถือว่าการให้รถแก่เธอเป็นวิธีรักษาหน้าเขา“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณขอโทษเหรอ?”ไห่ถงถามเขากลับจ้านหยิน: "... มันมีหลายความหมาย"“ในเมื่อคุณให้รถฉัน ปีนี้คุณก็ไม่ต้องมอบมันให้ครอบครัวของฉันอีกต่อไปค่ะ”จ้านหยินเงยหน้าขึ้นมองเธอสองครั้ง ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ปฏิเสธเมื่อไห่ถงเห็นด้วย เธอรู้สึกว่าไม่ได้เป็นหนี้เขาอีกต่อไป และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น“ด้านคุณยายของคุณ ไม่สนใจพวกเขาชั่วคราวในตอนนี้ เมื่อพวกเขาทนไม่ไหว พวกเขาจะขอโทษคุณก่อนเอง นอกจากนี้ บ้านที