“มีแผล?”หลินเนี่ยนฉือตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่หลังของเวินจื่อเยวี่ย ก็มองเห็นคราบเลือดบนเสื้อผ้าของเขาจริงๆหลินเนี่ยนฉือถลึงตาทันที “หน็อยแน่เวินจือเยวี่ย ที่แท้รอข้าอยู่ตรงนี้นี่เอง! ข้าไม่ได้ฟาดแส้ใส่หลังท่านเลยนะ คิดจะใช้วิธีนี้โยนความผิดให้ข้าหรือ? ข้าไม่ได้โง่นะ!”“เจ้า…!”นางโง่!เวินจื่อเยวี่ยโมโหมาก และไม่ได้คาดหวังว่าหลินเนี่ยนฉือจะช่วยดึงเขาแล้ว เขากัดฟันลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล จ้องหลินเนี่ยนฉืออย่างดุร้าย “ใครมันจะรีดไถเจ้า? โยนความผิดให้เจ้า? เจ้าดูแผลที่เต็มหลังข้าสิ เจ้าจะเป็นห่วงข้าก่อนไม่ได้เลยหรือ?”หลินเนี่ยนฉือมองบนโดยตรง “เป็นห่วงท่าน? เหอะ ท่านคู่ควรหรือ?”“ข้าจะบอกท่านนะ อย่ามาใช้กลยุทธ์ทุกข์กายอะไรต่อหน้าข้า วิธีนี้ไม่ได้ผลกับข้า!”เมื่อเทียบกับเจ้าสุนัขที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้ เป็นห่วงอาซื่อของนางยังดีกว่านางรู้ทุกอย่าง รวมถึงเรื่องที่อาซื่อมีแผลแส้เต็มหลังตอนออกบวชแม้ไม่มีการพูดถึงที่ข้างนอกมากนัก แต่สกุลหลินของพวกเขามีช่องทางการรับข่าวสารอยากรู้เรื่องพวกนี้ แทบไม่ต้องออกแรงเลยแต่ก็เพราะรู้มากเกินไป ดังนั้นตอนนี้หลินเนี่ยนฉือจึงโกรธเวิ
สีหน้าเวินจื่อเยวี่ยน่าเกลียดขึ้นมาทันที“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว น้องหกเป็นเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีจริงๆ ถ้าเจ้าเคยเจอนาง ก็ต้องยินดีเป็นเพื่อนกับนางแน่นอน…”“อย่าพูดเรื่องที่น่าขยะแขยงเช่นนี้”หลินเนี่ยนฉือพูดขัดเขาด้วยสีหน้าที่รังเกียจ “ข้าไม่มีทางเป็นเพื่อนกับลูกสาวนอกสมรสหรอก และยังเป็นลูกสาวนอกสมรสที่ใจคดด้วย”เมื่อคำพูดนี้ออกมา อย่าว่าแต่เวินจื่อเยวี่ยเลย แม้แต่เวินเฉวียนเซิ่งก็หน้าบึ้งเล็กน้อยแต่หลินเนี่ยนฉือไม่สนใจพวกเขา“ท่านบอกว่านางไร้เดียงสา เช่นนั้นเหตุใดอาซื่อถึงโดนบีบคั้นจนออกบวช? ท่านบอกว่านางจิตใจดี เช่นนั้นเหตุใดข้าเคยได้ยินว่านางวางยาท่าน? ทำไม หรือท่านเวินจื่อเยวี่ยยังมีรสนิยมที่ข้าไม่รู้ ชอบโดนวางยา?”สองวันนี้ที่อยู่กับเวินซื่อ นางได้รู้เรื่องที่น่าสนใจมากมายซึ่งรวมถึงเรื่องที่เวินเยวี่ยวางยาเวินจื่อเยวี่ยเวินจื่อเยวี่ยอดกลั้นความโกรธกล่าว “เวินซื่อตัดสินใจออกบวชเอง นางจิตใจคับแคบ ความคิดอำมหิต เกี่ยวอะไรกับน้องหก?”“อีกทั้งเรื่องที่น้องหกวางยาข้าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เวินซื่อต่างหากที่ใช้ยาพิษควบคุมข้า ให้ข้าทำให้น้องหกขายหน้าในงานเลี้ยงต่อหน้าผ
หลินเนี่ยนฉือชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าค่ะ ข้าจะนำคำพูดของท่านลุงเวินไปบอกนางให้”หลังจากที่เวินเฉวียนเซิ่งพวกเขาจากไปแล้ว หลินเนี่ยนฉือกลับไปก็นำคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งบอกให้เวินซื่อฟังอีกรอบเวินซื่อพลันหัวเราะเยาะออกมาเสียงหนึ่ง “สมแล้วที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ รู้ว่าหากมาขอพบข้า ข้าคงไม่ยอมพบเขาง่ายๆ จึงแสร้งทำเป็นถอยเพื่อรุก โดยอ้างเหตุผลว่าเวินฉางอวิ้นใกล้ตายเพื่อให้ข้าลงจากเขา”และอย่างช้าที่สุดก็คืนนี้ ข่าวที่ว่า “คุณชายใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงอาการปางตาย ขอดูหน้าน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย” ก็จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงถึงตอนนั้น ต่อให้สกุลเวินจะมีความผิดมากมายเพียงใด หากนางซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ไม่ไปดูใจพี่ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย นั่นก็จะเป็นความผิดของนางเองหากถึงเวลานั้นจริงๆ ด้วยแรงกดดันจากภายนอก อำนาจในการควบคุมสถานการณ์ที่นางมีอยู่ในตอนแรก ก็จะกลับกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำดังนั้น ต่อให้ไม่อยากไปก็ต้องไป“ร้ายกาจจริงๆ ท่านลุงเวินมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะคิดวางแผนอีกหรือ? เขาไม่กลัวว่าเจ้าจะใจแข็งไม่ไปจริงๆ ถึงเวลานั้น พี่ใหญ่เวินตายไปจริงๆ จะทำอย่างไร?”หลินเนี่ยนฉือไม่เข้าใจอย่
ทว่าหลินเนี่ยนฉือกลับฟังแล้วรู้สึกใจหายใจคว่ำ“อันตรายเกินไปแล้ว ฐานะธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าในตอนนี้ แม้ฟังดูเหมือนจะสุขสบายและสูงส่ง แต่ทุกครั้งที่เจ้าไปสถานที่เหล่านั้น หากไม่เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติก็เป็นพื้นที่โรคระบาด ราษฎรเหล่านั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าสุดท้ายความผิดร้ายแรงจะถูกโยนมาที่เจ้าอีก”หลินเนี่ยนฉือยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงนางเวินซื่อยกมือขึ้นตบแขนของนางเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ฐานะนี้ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมอยู่แล้ว มันช่วยให้ข้าออกจากสกุลเวินได้อย่างสมเหตุสมผล ข้าก็ย่อมต้องทำบางสิ่งเพื่อแลกเปลี่ยนเช่นกัน เจ้าวางใจเถอะ ข้ารู้ดีถึงภัยแฝงที่ฐานะนี้จะนำพามาให้ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงได้เริ่มเตรียมการรับมือแล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้น”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากมีอะไรให้ช่วยก็บอกข้าได้เลย ท่านปู่ของข้าเจ้าก็รู้จักดี ในบรรดาเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า ท่านก็ยังพอจะช่วยเอ่ยปากแทนเจ้าได้อยู่บ้าง”ระหว่างหลินเนี่ยนฉือกับเวินซื่อนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยแบ่งแยกเรื่องของเจ้าของข้าแน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะทัศนคติของคนในครอบครัวทั้งสองฝ่ายด้วยนอกจากเวินเฉวียนเซิ่งที่
เวินซื่ออดยิ้มไม่ได้ “ดี ถ้าเช่นนั้นคงต้องรบกวนรองแม่ทัพเกา ช่วยนำคำขอบคุณของข้าไปบอกท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนด้วย”หลังจากเกาเย่าจากไป เวินซื่อก็นำจดหมายและป้ายคำสั่งอันนั้นกลับมาที่เรือนเล็กอย่างรวดเร็ว“ใครเป็นคนส่งจดหมายมากัน? เหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงดูแปลกๆ?”หลินเนี่ยนฉือเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่รินน้ำชาอุ่นๆ ให้ใหม่“เป็นจดหมายจากท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินซื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้หลินเนี่ยนฉือฟังหนึ่งรอบหลินเนี่ยนฉือพอฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “ไม่สิ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่าทีของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่มีต่อเจ้าดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลยนะ? เขาเป็นคนมีน้ำใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ทำไมข้าจำได้ว่าเหมือนเคยมีคนพูดว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้เกลียดชังสตรีอย่างยิ่งมิใช่หรือ?”เวินซื่อครุ่นคิด จากนั้นเอ่ยขึ้น “อาจเป็นเพราะพวกเราเป็นสหายกันกระมัง”“สหาย?”หลินเนี่ยนฉือรู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจเวินซื่ออธิบายอย่างคลุมเครือ “เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าก็เคยช่วยเหลือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนอยู่บ้าง ดังนั้น ความสัมพันธ์ก็เลยดีขึ้นมาน่ะสิ หลังจากนั้นก
“ส่งคนไปลากพวกนางออกมาเดี๋ยวนี้!”เวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงโมโห เหล่าองครักษ์ที่ติดตามมาด้านหลังก็พากันก้าวออกไปข้างหน้าแต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้ฝูงชน รอบด้านก็พลันมีเหล่าองครักษ์ที่สวมชุดเครื่องแบบของแต่ละตระกูลหลายกลุ่มพุ่งเข้ามา ขวางอยู่ด้านหน้าคนของจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งหมด“หยุดนะ ห้ามเข้าใกล้ฮูหยินของพวกเรา!”“ผู้ใดกล้าก้าวมาข้างหน้าแม้เพียงก้าวเดียว ก็อย่าหาว่าคมดาบของจวนแม่ทัพของพวกเราไร้ปรานี!”“ใครกันบังอาจเข้าใกล้คุณหนูของข้า!”องครักษ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงมองดู ไหนจะฮูหยินจากจวนเสนาบดี คุณหนูจากจวนแม่ทัพ พี่สะใภ้ของตระกูลผู้บัญชาการทหารประจำเมือง น้องสาวของท่านขุนนางผู้ตรวจการ... และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวของเหล่าขุนนางในราชสำนักทั้งสิ้นแบบนี้พวกเขาจะลงมือได้อย่างไร?เวลานี้ เวินเฉวียนเซิ่งที่นึกออกแล้ว สีหน้าก็พลันมืดมนลงยิ่งกว่าเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขามองเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นตาอย่างยิ่งท่ามกลางฝูงชน เขาก็พลันตวาดเสียงดังลั่น“เวินหย่าลี่!”เวินหย่าลี่ซึ่งเดิมทีใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าอยู่ พอได้ยินเสียงตวาดที่นางคุ้นเคยอย่างย
แต่คาดไม่ถึงว่า ยังไม่ทันเริ่มก็ถูกพี่ใหญ่ของนางจับได้คาหนังคาเขาเสียแล้วและต่อจากนี้ อาจจะถึงขั้นใช้งานนางให้คอยวิ่งเต้นให้อีกเวินเฉวียนเซิ่งข่มความโกรธไว้พลางกล่าวว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้ข้าขี้เกียจจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าเรื่องพวกนี้แล้ว ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกเยวี่ยเอ๋อร์มา ให้เจ้าไปนั่นแหละ”“หา? ข้าไปทำอะไรหรือ?”เวินหย่าลี่ใช้นิ้วชี้มาที่ตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจสถานการณ์เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดว่าให้ไปทำอะไร? แน่นอนว่าต้องให้เจ้ารีบเบียดเสียดไปด้านหน้า เคาะประตูใหญ่ของอารามสุ่ยเยว่ให้เปิด จากนั้นก็เข้าไปข้างในเพื่อขัดขวางเวินซื่อ ห้ามปล่อยให้นางเอาบัวหิมะดอกนั้นไปทำเสียของเป็นอันขาด!”เวินหย่าลี่ก็พลันเบิกตากว้าง “เดี๋ยวนะ? เช่นนั้นเมื่อครู่พี่ใหญ่ท่านเรียกข้าออกมาทำไมกัน ทั้งๆ ที่ข้าเบียดเข้าไปถึงข้างหน้าได้แล้ว ตอนนี้ข้าก็ต้องกลับไปเบียดใหม่อีก!”พอนางหันกลับไปมองดูภาพผู้คนหลายร้อยคนที่กำลังเบียดเสียดกันแน่นขนัด ก็แทบอยากจะเปิดศึกกับพี่ใหญ่ของนางสักตั้งไม่บอกให้เร็วกว่านี้!เวินเฉวียนเซิ่ง
เดิมทีคิดว่าคนที่ออกมาจะเป็นซือไท่บางท่านของอารามสุ่ยเยว่ หรือไม่ก็เป็นอาจารย์น้อยบางท่าน แต่เหล่าฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ด้านนอกกลับคาดไม่ถึงเลยว่า คนที่เดินออกมานั้นจะเป็นเวินซื่อเองหยางฮูหยินที่อยู่หน้าสุดกับเวินหย่าลี่ที่อยู่ด้านหลังต่างชะงักไปครู่หนึ่งแต่หยางฮูหยินได้สติเร็วที่สุด ดวงตาเป็นประกาย รีบย่อตัวคารวะพลางเอ่ยขึ้น “คารวะท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”พอเสียงของหยางฮูหยินดังขึ้น เหล่าฮูหยินและคุณหนูที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ ทยอยได้สติกัน พากันคารวะตาม “คารวะท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”ในชั่วพริบตา ภาพเหตุการณ์ที่เมื่อครู่ยังอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่งก็พลันเงียบสงบลงสายตาของเวินซื่อกวาดมองผ่านเวินหย่าลี่เป็นคนแรก แม้นางจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่แววตาละอายใจก็เผยออกมาให้เห็น จากนั้นจึงเอ่ยกับหยางฮูหยินและคนอื่นๆ ว่า “ทุกท่านตามสบายเถิด วันนี้ข้าลงมือปรุงน้ำแกงด้วยตนเอง ได้รับบัวหิมะพระราชทานจากฝ่าบาท อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสาธุชนทุกท่าน จึงได้ตัดสินใจว่าห้าสิบท่านแรกจะได้รับน้ำแกงบัวหิมะบำรุงผิวพรรณไปหนึ่งถ้วย”“ส่วนสาธุชนที่มาทีหลังและไม่ทันก็มิต้องกังวล ท่านอาจารย์ของข้าก็ได้เตรียมน้
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว