เวินเฉวียนเซิ่งได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”ข้ารับใช้กล่าวว่า “หนึ่งเดือนก่อนคุณชายใหญ่ก็ได้ให้คนในเรือนเล็กของเขาออกไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงบ่าวชายคนสนิทคนเดียวขอรับ”บ่าวชายคนนั้นเติบโตมาพร้อมกับคุณชายใหญ่ตั้งแต่เด็ก ความจงรักภักดีต่อคุณชายใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึงเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินดังนั้น ก็เงียบไปอีกครั้ง ช่วงนี้เขายุ่งมากจริงๆ ไม่มีเวลาไปสนใจทางฝั่งลูกชายคนโต ดังนั้น จึงเพิ่งทราบเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณชายใหญ่ไม่ชอบให้มีคนอื่นอยู่ข้างกาย เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว ปกติเวลาคุณชายใหญ่เข้าออกให้คอยสังเกตให้มากหน่อย หากมีอะไรผิดปกติ ให้รีบมารายงานข้าทันที”“ขอรับ!”ทางฝั่งจวนเจิ้นกั๋วกง สถานการณ์ภายในกำลังปั่นป่วน อีกด้านหนึ่ง ภายในอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่สงบเช่นกันคืนนี้ ฟ้าเพิ่งจะมืดเวินซื่อที่เพิ่งจะเสร็จงานที่แปลงสมุนไพรหลังเขา พอกลับมาถึงเรือนเล็ก ก็ได้พบกับอาหารอร่อยๆ เต็มโต๊ะที่ฉางเสี่ยวหานเป็นคนทำเอาไว้“ธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว อาหารทำเสร็จพอดี รีบมากินเถอะเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานวางอาหารจานสุดท้ายที่เพิ่งตักเสร็จลง แล้วกล่าวกับเวินซื่
เวินซื่อให้จินซือถูพาคนเข้ามาในห้องครัวเล็กหลังจากเข้าไปแล้ว ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่าง เวินซื่อจึงมองเห็นรูปร่างหน้าตาของคนที่อยู่บนตัวจินซือถูได้อย่างชัดเจนนั่นคือชายรูปร่างสูงใหญ่ที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า ขณะนี้กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากที่กัดแน่นจนแทบจะมีเลือดไหลออกมา“พิษในร่างกายของเขากำเริบแล้ว!”ในห้องครัวเล็กมีพื้นที่ไม่มาก นอกจากเตาแล้วก็ไม่มีโต๊ะอื่นใด ดังนั้นจินซือถูจึงวางคนลงบนพื้นโดยตรงหลังจากที่เวินซื่อฟังจินซือถูพูดไปรอบหนึ่งแล้ว ก็เข้าใจสถานการณ์ทันทีสั่นเทาไปทั้งตัวเพราะความเจ็บปวด สีหน้าซีดเผือดเพราะพิษหลังจากล้างมือแล้ว นางก็ตรวจดูตา จมูก ปาก และหูของชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นอย่างละเอียด จากนั้นก็วางนิ้วแตะลงบนชีพจรของอีกฝ่าย“ลมปราณและโลหิตในร่างกายของเขาเกิดความปั่นป่วนและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่แปลกใจเลยที่จะเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะทนได้ไม่เกินคืนนี้”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์พอจะมีวิธีหรือไม่?!”จินซือถูแสดงสีหน้ากังวลและร้อนรน “ท่านไม่ได้ต้องการสืบเรื่องไป๋ชูโหรวผู้นั้นหรอกหรือ? เก๋อเอ่อร์เขารู้เรื่องราวบางอย่างใ
“พวกเจ้า?”เวินซื่อมองเก๋อเอ่อร์ด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง “ขออภัย ในตัวพวกเจ้าไม่มีอะไรที่ข้าอยากได้ และข้าก็ไม่อยากเลี้ยงสุนัข”แม้ว่านางจะพูดเช่นนี้ ทว่าเก๋อเอ่อร์ก็ยังคงจ้องมองนางอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร“เอาละเก๋อเอ่อร์ เจ้าเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษในช่วงก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ให้ข้าแนะนำให้เจ้าเถิด”จินซือถูรีบเอ่ยขึ้น “ท่านนี้คือธิดาศักดิ์สิทธิ์คนแรกของราชวงศ์ต้าหมิงที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเมื่อสามเดือนก่อน และยังเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงในอดีต”จินซือถูเน้นเสียงที่คำว่า “บุตรภรรยาเอก”เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เก๋อเอ่อร์ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตั้งสติได้“ท่านเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกง? เป็นบุตรสาวของหลานจื่อจวินผู้นั้น?”เวินซื่อพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เป็นลูกสาวของหลานจื่อจวิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่บุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว”แต่อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เก๋อเอ่อร์ที่ตึงเครียดและระมัดระวังตัวมาตลอด จึงได้ผ่อนคลายลง“เป็นเช่นนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เจ้าเด็กจินซือถูนี่บอกว่าสามารถแก้พิษในร่างกายของพวกเราได้ก็คือท่าน”เ
ชาติกำเนิดเช่นนี้ หากอยู่ในตระกูลที่เคร่งครัดในกฎระเบียบ นางคงถูกตีตายไปพร้อมกับแม่ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแล้วแต่ความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ชูโหรวและเจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งกลับไม่ธรรมดาทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ต่างมีใจให้กัน ทว่าเวินเฉวียนเซิ่งในตอนนั้นยังเป็นซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกง เพราะความทะเยอทะยาน เพราะอำนาจ จึงเลือกที่จะทอดทิ้งไป๋ชูโหรว แล้วหันไปแต่งงานกับหลานจื่อจวินซึ่งเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลหลาน ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากสกุลหลาน ในที่สุดก็ทำให้ความทะเยอทะยานของเขาเป็นจริงได้ ทำให้เขาและจวนเจิ้นกั๋วกงกลายเป็นผู้มีอำนาจล้นฟ้าในราชสำนักในช่วงหนึ่งแต่ในเวลานี้ ไป๋ชูโหรวที่ถูกเขาทอดทิ้ง เพราะไม่ยอมจึงกลับมาหาเขาอีกครั้ง และวางแผนให้ได้อยู่ร่วมกันหนึ่งคืนหลังจากนั้น ไป๋ชูโหรวก็หายตัวไปอีกครั้งเมื่อมีข่าวคราวของนางอีกครั้ง ก็คือตอนที่นางตั้งครรภ์และใกล้จะคลอดแล้วไป๋ชูโหรว เนื่องจากสัมผัสกับยาพิษมาเป็นเวลานาน ร่างกายจึงไม่ค่อยแข็งแรงนัก หากยืนกรานที่จะคลอดบุตรคนนี้ นางก็อาจจะตายได้แต่นางก็จะคลอดนางรักเวินเฉวียนเซิ่ง แต่ก็เกลียดเวินเฉวียนเซิ่งเช
นางคิดเช่นนั้น ในวินาทีต่อมา คำพูดของเก๋อเอ่อร์ก็ยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาไว้ในใจ...“ดอกไม้นั่น ตั้งแต่เมล็ดงอกจนเติบโตถึงออกดอก ตลอดทั้งกระบวนการจะปล่อยสารพิษที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นออกมา และสารพิษนี้จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของมนุษย์ก็จะค่อยๆ อ่อนแอลง แย่ลงเรื่อยๆ คนทั่วไปจะตายด้วยพิษของดอกไม้นี้ภายในเวลาประมาณสองเดือน และตั้งแต่ได้รับพิษจนถึงตายก็จะไม่รู้สึกตัวใดๆ คิดเพียงว่าตัวเองป่วย แม้กระทั่งตอนตายก็ยังคิดว่าป่วยตาย”“ท่านแม่ของท่านน่าจะได้รับพิษชนิดนี้มานานแล้ว ดังนั้น ตอนที่คลอดท่านจึงคลอดยาก บางทีไป๋ชูโหรวอาจจะตั้งใจให้ตายทั้งแม่ทั้งลูก เพื่อจะได้ตายตามนางไป แต่คาดไม่ถึงว่านางจะรอดพ้นจากช่วงเวลานั้นมาได้”เวินซื่อกำมือแน่น สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ฝ่ามือทั้งสองข้างกลับจิกจนเลือดออกเก๋อเอ่อร์ยังคงพูดต่อ “อาจจะเป็นเจิ้นกั๋วกง หรืออาจจะเป็นสกุลหลาน สรุปแล้วน่าจะมีคนพยายามช่วยยื้อชีวิตท่านแม่ของท่านไว้ จึงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกระยะหนึ่ง”แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นสุดท้ายท่านแม่ของนางก็ยังถูกผู้หญิงที่ชั่วร้ายอย่างไป๋ชูโหรวคนนั้นทำร
โอกาสดีเช่นนี้ เวินเยวี่ยจะปล่อยไปได้อย่างไร?นางรีบพุ่งเข้าไปขวางเวินจื่อเฉินที่ไม่คิดจะสนใจนาง“พี่รองช้าก่อน เยวี่ยเอ๋อร์มีเรื่องอยากจะพูดกับท่าน”“หลีกไป”เวินจื่อเฉินที่ถูกขวางไว้ขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเวินเยวี่ยส่ายหน้า กัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วมองไปที่เวินจื่อเฉิน “พี่รอง เยวี่ยเอ๋อร์รอท่านกลับมาครั้งนี้อย่างยากลำบาก ท่านฟังเยวี่ยเอ๋อร์พูดสักครู่ได้หรือไม่? แค่ไม่กี่ประโยค เยวี่ยเอ๋อร์พูดจบก็จะไป ไม่ขัดขวางท่านแน่นอน”“ตอนนี้เจ้ากำลังขัดขวางข้าอยู่”ตอนนี้เวินจื่อเฉินมองทะลุถึงธาตุแท้ของเวินเยวี่ยได้อย่างหมดเปลือกแล้ว ย่อมไม่มีท่าทีเอ็นดูต่อนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปเวินเยวี่ยด่าทอในใจ แต่สีหน้ากลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงแสดงสีหน้าเสียใจและเจ็บปวด “แต่พี่รอง ตอนนี้เยวี่ยเอ๋อร์แค่อยากจะขอโทษท่านเท่านั้น”“ข้ารู้ว่าเหตุใดพี่รองถึงมีท่าทีเช่นนี้ต่อเยวี่ยเอ๋อร์ เป็นเพราะเยวี่ยเอ๋อร์ทำผิดไป แต่ตอนนี้เยวี่ยเอ๋อร์รู้ตัวแล้วว่าผิด และได้สำนึกผิดอยู่ในบ้านแล้ว ดังนั้น พี่รองจะให้อภัยเยวี่ยเอ๋อร์สักครั้งได้หรือไม่ เยวี่ยเอ๋อร์สาบานว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนั้นอีก...”“เจ
กระถางดอกไม้พร้อมกับดินและต้นกล้าทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ข้างเท้าของเวินเยวี่ยเมื่อต้นกล้านั้นเกือบจะโดนเวินเยวี่ย นางก็รีบถอยหลังไปสองก้าวตามสัญชาตญาณ หลบเลี่ยงต้นกล้านั้นและเมื่อได้ยินคำพูดของเวินจื่อเฉิน เวินเยวี่ยก็ไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าได้อีกต่อไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างยิ่งทันที“...ในเมื่อพี่รองไม่อยากให้อภัยเยวี่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ช่างเถิด เยวี่ยเอ๋อร์...จะไปเดี๋ยวนี้”“เซียงเหอ!”เวินเยวี่ยขึ้นเสียงสูงทันที พยายามข่มความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง กำชับว่า “มัวยืนงงอะไรอยู่ รีบเก็บต้นกล้าของข้าขึ้นมาเร็วเข้า!”เซียงเหอรีบเข้าไปข้างหน้า หยิบต้นกล้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “คุณหนู แล้วกระถางกับดินล่ะเจ้าคะ?”“ของไร้ประโยชน์พวกนั้นจะเอามาทำอะไรอีก? รีบไปกันเถอะ”เวินเยวี่ยถลึงตาใส่เซียงเหอ ไม่มองเวินจื่อเฉินแม้แต่น้อย หันหลังเดินจากไปแม้ว่าเวินจื่อเฉินจะเคยเห็นธาตุแท้ของเวินเยวี่ยมาก่อนแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เวินเยวี่ยเผยธาตุแท้ออกมาต่อหน้าเขาโดยไม่ปิดบังหรือจะพูดว่า ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป และไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไปแล้วเวินจื่อเฉินมองนางเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้ว
แต่กว่าจะได้พบกันช่างยากเย็น เหตุใดถึงต้องรีบจากไปเช่นนี้?หรือว่าลุงหลานไม่อยากเจอเขา?เวินจื่อเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องพ่อบ้านหลานอย่างไม่วางตา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหนักแน่น “ลุงหลาน ท่านลงจากรถก่อน พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ไปหาที่นั่งคุยกันดีๆ ก่อนเถอะ”พ่อบ้านหลานสบตาเขา ในที่สุดก็ถอนหายใจ “ก็ได้”หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านหลานก็มานั่งอยู่กับเวินจื่อเฉินในห้องส่วนตัวของร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆจะว่านั่งด้วยกันก็ไม่เชิงหลังจากเข้าไปในห้องส่วนตัว เวินจื่อเฉินก็สั่งอาหารสองสามอย่าง แล้วหันไปมองพ่อบ้านหลานที่ยืนอยู่ไม่ไกล“ลุงหลาน ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นคุณชายรองของสกุลเวินแล้ว ดังนั้น ท่านไม่ต้องยืนแบบนี้ก็ได้ มานั่งด้วยกันเถอะ”“ไม่ขอรับ บ่าวรู้สึกผิดต่อคุณชายพวกท่านมาโดยตลอด เดิมทีก็ไม่มีหน้าจะพบเจออยู่แล้ว ตอนนี้ได้พบแล้ว กลับยิ่งรู้สึกละอายใจที่จะเผชิญหน้ากับคุณชาย ดังนั้นให้บ่าวยืนตอบเถิด”เวินจื่อเฉินอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจคำพูดของพ่อบ้านหลาน “ลุงหลาน เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านตาและคนอื่นๆ ในตอนนั้น ล้วนเป็นฝีมือของพวกกบฏ ไม่ได้
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว