ห้องน้ำ
หญิงสาวตกใจจนหายใจสะดุดไปคราหนึ่ง มือเรียวสั่นระริก ทั้งมืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นทาบอกตัวแข็งทื่อ ดวงตาโตเบิกกว้างด้วยความตะลึงเพริดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนที่หยาดน้ำตาจะเอ่อระเรื่อขึ้นมาบนขอบเปลือกตา เมื่อเธอพบว่าที่ตรวจครรภ์ในมือได้แสดงเส้นสีแดงขึ้นสองขีดอย่างชัดเจน วนิดากำลังตั้งท้องลูกของจิรายุแฟนหนุ่มของเธอ… หัวใจดวงน้อยเต้นแรงยิ่งกว่ากลองเพล ร่างบางของหญิงสาวค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนฝาโถชักโครกสายตายังจะจับจ้องอยู่ที่เส้นสีแดงสองขีดบนที่ตรวจครรภ์ตาไม่กะพริบในความเงียบ เวลานี้ในใจของเธอเกิดความรู้สึกสับสนและขัดแย้งเป็นอย่างมากว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่ในความกลัดกลุ้มนั้นยังคงมีความรู้สึกยินดีแฝงอยู่ในใจทั้งซาบซึ้งและตื่นเต้นเวลาเดียวกันเมื่อรู้ว่าตัวเองจะมีลูกน้อย หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานหญิงสาวได้ผ่อนเบาหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนแววตามุ่งมั่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเธอตัดสินใจแล้วว่าควรบอกเรื่องลูกในท้องให้ชายหนุ่มได้รับรู้และไม่รอช้าที่เธอจะคว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปยังเบอร์ของจิรายุแฟนหนุ่มทันที ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด (ฮัลโหล) “คุณคะ” (ว่าไงครับดา) ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงหวานหยดย้อย “คือว่า…พอดีดามีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณหน่อยนะค่ะ” หญิงสาวกัดริมฝีปากกลั้นใจโผล่พูดออกไปอย่างตื่นเต้น (ตอนนี้ผมยังติดประชุมอยู่ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังนะครับ) เขาเอ่ยถ้อยคำที่อ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับเฉียบขาดไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง เห็นแบบนั้นแล้วทำให้เธอต้องเอ่ยตอบตามน้ำเขาไปก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ “อะ อ๋อ ได้ค่ะ…งั้นคุณตั้งใจทำงานนะคะ” (ครับ ผมคิดถึงคุณนะ) “คิดถึงเหมือนกันค่ะ” (ครับที่รัก แค่นี้ก่อนนะแล้วผมจะกลับไปหาคุณ) “ค่ะ” ติ๊ด หลังจากพูดจบสายโทรศัพท์ได้ถูกตัดทิ้งไปในทันที ปล่อยให้หญิงสาวตกอยู่ในบรรยากาศที่เงียบงันอีกครั้ง มือเรียวเล็กของเธอได้ค่อยๆ ยกสูงขึ้นมาวางบนหน้าท้องบางที่ในตอนนี้กำลังมีอีกหนึ่งชีวิต น้อยๆ ฝังตัวอยู่ข้างในอย่างทะนุถนอม กระแสความอบอุ่นไหลวนเข้ามาในใจของหญิงสาว ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กแดงเรื่อริมฝีปากอมยิ้มกริ่มอย่างรู้สึกไม่ค่อยจะเคยชินกับตัวเองในตอนนี้เลยสักนิด หลังจากที่รู้ว่าตัวเองนั่นกำลังจะเป็นแม่คนแล้ว แต่ทว่าจู่ๆ ประตูห้องน้ำได้ถูกใครบางคนข้างนอกเคาะดังขึ้น “ยัยดาแกทำอะไรอยู่ ออกมาได้แล้วเดี๋ยวกับข้าวก็เย็นหมดพอดี” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยตะโกนลอดผ่านบานประตูเข้ามาทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยงใจกระตุกวูบอย่างกะทันหัน ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของความสุขในทีแรกได้พลันหายไปกลับกลายเป็นใบหน้าซีดไร้สีเลือด ด้วยความตื่นตระหนกร้อนใจ จนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาทั่วร่างในทันที “ค่ะแม่แปบนึงนะคะ ใกล้จะเสร็จแล้ว” เธอกระวนกระวายจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกจึงได้ตะโกนเสียงตอบกลับไปเพื่อยื้อเวลา แล้วรีบหันกลับมาเก็บที่ตรวจครรภ์อย่างลนลานก่อนจะเดินไปเปิดประตูเดินออกไปข้างนอก แสดงสีหน้าทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในครัว หลังจากที่หญิงสาวได้จัดการนำที่ตรวจครรภ์เอาไปแอบซ่อนเอาไว้ในลิ้นชักบนห้องเรียบร้อยแล้ว เธอจึงรีบลงมานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับครอบครัวตามปกติเหมือนในทุกๆ วัน “แกมัวทำอะไรอยู่เนี่ย รีบมานั่งเร็วเข้า” ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ก่อนแล้ว ได้หันมาบ่นกระปอดกระแปดใส่หญิงสาวตามประสาแม่ลูก “รู้แล้วค่ะแม่” “อะนี่ รีบกินเร็วเข้าเดี๋ยวจะเย็นหมดพอดี” ผู้เป็นแม่ตักข้าวสวยพร้อมกับตักไก่ผัดซีอิ๊วใส่ในจานก่อนจะยื่นส่งมาให้กับหญิงสาว เธอจึงไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปรับจานมาวางไว้ตรงหน้าด้วยแววตาที่เจิดจ้าเป็นประกายวาวราวไข่มุกเต็มไปด้วยความสุขที่จะกินอาหารเมนูโปรด แต่ทว่าจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะตักข้าวในจานเข้าปากเพื่อลิ้มรสชาติอาหารเมนูของโปรดนั้น จู่ๆ ส่วนรับรสกลิ่นกลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนในทุกๆ ครั้ง หลังจากที่ได้กลิ่นอาการ ทำให้เธอเกิดอาการพะอืดพะอมคลื่นไส้ขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดบังจมูกทันที “อ๊วก!” “ยัยดาเป็นอะไร แกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” “นั้นสิแกเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วนะยัยดา พ่อว่าไปหาหมอดีมั้ย” ทั้งบิดาและมารดาต่างพากันเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่สบายใจเมื่อเห็นท่าทีที่แปลกไปของลูกสาว เพราะพักหลังมานี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมีอาการเช่นกัน ตั้งแต่ก่อนที่จะตรวจรู้ว่าตัวเองนั้นกำลังตั้งครรภ์ แต่คำถามนั้นครั้งนี้กลับทำให้หญิงสาวใจเต้นสั่นระรัว เลือดในกายฉีดพล่าน เม็ดเหงื่อผุดพลายขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกเธอรีบส่ายหน้าโผล่พูดโกหกแก้ต่างออกไปทันที “ปะ เปล่าค่ะ หนูไม่เป็นอะไร สงสัยคงจะหิวมากไปหน่อย” “แกแน่ใจนะ” ผู้เป็นพ่อจ้องมองหน้าเธอด้วยแววตาที่เป็นห่วงพลางเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ค่ะพ่อ หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ เห็นไหมว่าหนูไม่ได้เป็นอะไร แค่ช่วงนี้หนูพักผ่อนน้อยกินอะไรไม่ค่อยลงก็แค่นั้น” “ถ้าหิวก็รีบกินซะ รู้อยู่ว่าท้องไส้ตัวเองไม่ดีทีหลังก็หัดกินให้ตรงเวลาบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองท้องว่างรู้มั้ย โตจนป่านนี้แล้วยังต้องให้สอนอีก” “ค่ะแม่” ใบหน้าของหญิงสาวแลดูกระวนกระวายราวกับอยู่บนกองไฟอีกครั้งแต่แสร้งทำเป็นเยือกเย็น เธอรีบพยักตอบรับก่อนจะตักข้าวในจานช้อนเข้าปากทันทีเพื่อให้ผู้แม่และพ่อคลายความกังวลสงสัย แต่แล้วหลังจากที่หญิงสาวพยายามฝืนช้อนข้าวเข้าปากกินไปได้แค่สองคำ ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอมคลื่นไส้มากขึ้น จนทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องรีบลุกออกจากโต๊ะวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำทันที อากัปกิริยาแปลกๆ ของเธอทำให้ทั้งบิดาและมารดาต่างพากันเงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึงลานรีบวางช้อนข้าวเดินตามหลังมาติดๆ เพื่อดูอาการของลูกสาว “อ้วกก” หญิงสาวโน้มตัวลงก้มอาเจียนอย่างหนักลงในโถชักโครกอย่างไม่สามารถฝืนกลั้นอาการเอาไว้จนใบหน้าเรียวซีด “เป็นอะไรไปยัยดา อ้วกหนักขนาดนี้แม่ว่าแกต้องไปหาหมอแล้วนะ” ผู้เป็นแม่สีหน้าดูเป็นกังวลเป็นอย่างมากเอ่ยถามพลางยกฝ่ามือขึ้นลูบแผ่นหลังบรรเทาอาการให้กับเธอ “หนูไม่ไป อ้วก อ้วกก!” “จะไม่ไปได้ยังไง แล้วจะรู้ไหมว่าแกเป็นอะไรนะ” “นั่นสิ ไปให้หมอตรวจสักหน่อยดีกว่านะยัยดา” ผู้เป็นพ่อที่อยู่ดูเหตุการณ์อยู่หน้าประตูห้องน้ำได้เอ่ยพูดเสริมขึ้นอย่างเห็นด้วย แต่หญิงสาวกลับเอ่ยปฏิเสธปากสั่นและอาเจียนออกมาต่อเนื่องไม่หยุด จนเธอแทบจะหมดแรงไปตรงนั้น “หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ อ้วก อ้วกก!” เธอพยายามพยุงร่างอันเหนื่อยล้าหันมาเอ่ยกับพวกเขาทั้งสองเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตก่อนจะหันกลับไปอาเจียนต่อ จนผู้เป็นแม่ที่เห็นลูกสาวยังคงยันไม่ยอมไปหาหมออย่างนั้น ทำให้เขามีสีหน้าที่กลัดกลุ้มไม่น้อยรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่อย่างทำอะไรไม่ได้ แต่ทว่าจู่ๆ ความคิดหนึ่งที่ไม่อยากจะนึกถึงและไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ได้ผุดขึ้นมาในหัว ทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับชะงักนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มแฝงความรู้สึกที่อัดแน่นอย่างใจคอไม่ดีพลางภาวนาอยู่ในใจว่าคงจะคิดมากไปเอง “ยัยดานี่แกคงไม่ได้...ท้องหรอกใช่ไหม” “อึก!” ได้ยินคำถามประโยคนั้นจากปากผู้เป็นแม่ หัวใจของหญิงสาวกระตุกวูบอย่างแรงกะทันหัน ใบหน้าเรียวซีดเผือดอาการอาเจียนก็หยุดลงในทันที ร่างบางของเธอเหมือนจะแข็งค้างไปโดยพลันอย่างไม่คิดว่าผู้เป็นแม่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาเสียแล้ว “ว่าไงยัยดา แกตอบแม่มา” “…” น้ำเสียงเข้มของผู้เป็นแม่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ในบรรยากาศตึงเครียดกะทันหันพานให้ทุกคนหายใจไม่ทั่วท้อง หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยืนนิ่งเงียบพลางมือเรียวได้กำเข้ามากันแน่น ก่อนที่เธอจะค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นแม่อย่างช้าๆ และตัดสินใจที่จะไม่ปิดบังอีกต่อไปเพราะถึงอย่างไรสักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี “แม่คะ ดาขอโทษ....” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงอ่อนทั้งน้ำตาคลอเบ้าอย่างรู้สึกผิด แต่ประโยคนั้นเหมือนปลายมีดที่แหลมคมกรีดลงบนหัวใจของคนฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความผิดหวังพลันถ่าโถมเข้ากลางใจของผู้เป็นแม่และพ่อแทบจะแหลกสลาย จนน้ำตาแห่งความปวดใจไหลทะลักออกมาเหมือนทำนบแตกอย่างไม่คิดเลยว่าลูกสาวคนเดียวของพวกเขาจะทำเรื่องที่น่าอับอายได้ถึงขนาดนี้ “ยัยดาทำไมแกทำกับพ่อกับแม่แบบนี้” ผู้เป็นพ่อพูดออกมาอย่างเจ็บใจทั้งน้ำตา “พ่อกับแม่ดาขอโทษ...ดาผิดไปแล้ว” หญิงสาวร้องไห้สะอื้นจนหัวไหล่สั่นพลางยกมือพนมไว้ขอโทษต่อผู้เป็นแม่และพ่อ ที่ทำให้พวกท่านทั้งสองต้องมาผิดหวังและเสียใจเพราะเธออย่างไม่น่าให้อภัย “นังลูกไม่รักดี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แกทำกับแบบนี้ได้ยังไง!”ผู้เป็นแม่และพ่อหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่รับรู้ว่า 'วนิดา' ลูกสาวคนเดียวของพวกเขาอายุเพียง24 ปี ได้ทำเรื่องที่น่าอับอายตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่แต่งงานและยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นความหวังเดียวที่จะชูหน้าตาของคนครอบครัวในอนาคตเช่นกันแต่มาวันนี้ความคาดหวังเหล่านั้นที่พวกเขาได้ปูทางวางแผนอนาคตเอาไว้ที่จะให้หญิงสาวมีหน้าที่การงานที่ดีและมีมั่นคงในชีวิต เมื่อถึงเวลาแต่งงานก็จะได้ไปเป็นสะใภ้คนรวยในวันข้างหน้า แต่สุดท้ายแล้วก็พังทลายลงไปในพริบตาเดียวเพราะความไม่เอาไหนของเธอ...ทำให้ผู้เป็นแม่ทั้งเสียใจและโกรธมากในเวลาเดียวกัน ได้พุ่งเข้ามาทุบตีหญิงสาวทั้งน้ำตาด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางด่าทอเธอสารพัดจนผู้เป็นพ่อต้องรีบเข้ามาห้ามปราม อย่างไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่านี้“แม่พอเถอะ อย่าตีลูกเลยนะพ่อขอร้อง” ผู้เป็นสามีรั้งร่างภรรยาเอาไว้พลางเอ่ยเสียงสั่นทั้งน้ำตาลูกผู้ชาย“ทำไมแกถึงกับฉันแบบนี้ รู้มั้ยฉันคาดหวังกับแกมากขนาดไหน ทำไมแกไม่เคยนึกถึงใจฉันกับพ่อแกบ้างเลยนังลูกเนรคุณ!” ฝ่ามือของแม่ผู้ให้กำเนิดยังคงเอื้อมฟาดไปตามร่างกายของหญิงสาวไม่ยั้ง อย่างโกรธจนเลือดขึ้นหน้าทั้งตะเบ็งเสียงเกรี้
คฤหาสน์ทันทีลงจากรถฝ่าเท้าของผู้เป็นแม่ก้าวเดินฉับๆ พลางจับข้อมือของหญิงสาวลากให้เดินตามเข้าไปในบ้านคนรวยหลังใหญ่ด้วยความเร่งรีบโดยมีผู้เป็นพ่อเดินตามหลังมาติดๆสีหน้าของหญิงสาวในตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มวิตกกังวลเป็นอย่างมากเพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้จะเกิดเรื่องขึ้น ทั้งที่จริงแล้วเธอไม่อยากจะทำให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด แต่หากว่าผู้เป็นแม่ที่อยากจะทวงคืนศักดิ์ศรีให้กับลูกสาวอย่างเธอแล้ว ก็ค่อนข้างยากนักที่จะหยุดและห้ามปรามเอาไว้ได้“ไหนอยู่ไหน มีใครอยู่บ้าง ออกมาเจอฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”น้ำเสียงหนักแน่นรวมถึงสีหน้าที่จริงจังของผู้เป็นแม่ได้ตะโกนเสียงดังก้องกลางห้องโถงใหญ่เรียกให้เจ้าของบ้านและชายหนุ่มตัวดีที่ก่อเรื่องออกมาพบ“แม่ใจเย็นก่อนเถอะนะคะหนูขอร้อง”“แกเงียบไปเลยนะยัยดา”หญิงสาวพยายามอธิบายถึงเหตุผลหลักเพื่อให้ผู้เป็นแม่ใจเย็นลงและรับฟังในสิ่งที่เธอพูด แต่กลับไม่เป็นผลอีกเช่นเคย ก่อนที่น้ำเสียงเย็นของใครคนหนึ่งได้ดังขัดจังหวะขึ้นทำให้ดึงความสนใจของหญิงสาวและแม่รวมถึงพ่อของเธอชะงักแล้วหันไปมองที่มาของต้นเสียงกันเป็นตาเดียว“มาหาใครคะ”“…”ร่างบางของเจ้าของบ้านซึ่งเป็
คฤหาสน์ทันทีลงจากรถฝ่าเท้าของผู้เป็นแม่ก้าวเดินฉับๆ พลางจับข้อมือของหญิงสาวลากให้เดินตามเข้าไปในบ้านคนรวยหลังใหญ่ด้วยความเร่งรีบโดยมีผู้เป็นพ่อเดินตามหลังมาติดๆสีหน้าของหญิงสาวในตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มวิตกกังวลเป็นอย่างมากเพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้จะเกิดเรื่องขึ้น ทั้งที่จริงแล้วเธอไม่อยากจะทำให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด แต่หากว่าผู้เป็นแม่ที่อยากจะทวงคืนศักดิ์ศรีให้กับลูกสาวอย่างเธอแล้ว ก็ค่อนข้างยากนักที่จะหยุดและห้ามปรามเอาไว้ได้“ไหนอยู่ไหน มีใครอยู่บ้าง ออกมาเจอฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”น้ำเสียงหนักแน่นรวมถึงสีหน้าที่จริงจังของผู้เป็นแม่ได้ตะโกนเสียงดังก้องกลางห้องโถงใหญ่เรียกให้เจ้าของบ้านและชายหนุ่มตัวดีที่ก่อเรื่องออกมาพบ“แม่ใจเย็นก่อนเถอะนะคะหนูขอร้อง”“แกเงียบไปเลยนะยัยดา”หญิงสาวพยายามอธิบายถึงเหตุผลหลักเพื่อให้ผู้เป็นแม่ใจเย็นลงและรับฟังในสิ่งที่เธอพูด แต่กลับไม่เป็นผลอีกเช่นเคย ก่อนที่น้ำเสียงเย็นของใครคนหนึ่งได้ดังขัดจังหวะขึ้นทำให้ดึงความสนใจของหญิงสาวและแม่รวมถึงพ่อของเธอชะงักแล้วหันไปมองที่มาของต้นเสียงกันเป็นตาเดียว“มาหาใครคะ”“…”ร่างบางของเจ้าของบ้านซึ่งเป็
ผู้เป็นแม่และพ่อหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่รับรู้ว่า 'วนิดา' ลูกสาวคนเดียวของพวกเขาอายุเพียง24 ปี ได้ทำเรื่องที่น่าอับอายตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่แต่งงานและยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นความหวังเดียวที่จะชูหน้าตาของคนครอบครัวในอนาคตเช่นกันแต่มาวันนี้ความคาดหวังเหล่านั้นที่พวกเขาได้ปูทางวางแผนอนาคตเอาไว้ที่จะให้หญิงสาวมีหน้าที่การงานที่ดีและมีมั่นคงในชีวิต เมื่อถึงเวลาแต่งงานก็จะได้ไปเป็นสะใภ้คนรวยในวันข้างหน้า แต่สุดท้ายแล้วก็พังทลายลงไปในพริบตาเดียวเพราะความไม่เอาไหนของเธอ...ทำให้ผู้เป็นแม่ทั้งเสียใจและโกรธมากในเวลาเดียวกัน ได้พุ่งเข้ามาทุบตีหญิงสาวทั้งน้ำตาด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางด่าทอเธอสารพัดจนผู้เป็นพ่อต้องรีบเข้ามาห้ามปราม อย่างไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่านี้“แม่พอเถอะ อย่าตีลูกเลยนะพ่อขอร้อง” ผู้เป็นสามีรั้งร่างภรรยาเอาไว้พลางเอ่ยเสียงสั่นทั้งน้ำตาลูกผู้ชาย“ทำไมแกถึงกับฉันแบบนี้ รู้มั้ยฉันคาดหวังกับแกมากขนาดไหน ทำไมแกไม่เคยนึกถึงใจฉันกับพ่อแกบ้างเลยนังลูกเนรคุณ!” ฝ่ามือของแม่ผู้ให้กำเนิดยังคงเอื้อมฟาดไปตามร่างกายของหญิงสาวไม่ยั้ง อย่างโกรธจนเลือดขึ้นหน้าทั้งตะเบ็งเสียงเกรี้
ห้องน้ำหญิงสาวตกใจจนหายใจสะดุดไปคราหนึ่ง มือเรียวสั่นระริก ทั้งมืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นทาบอกตัวแข็งทื่อ ดวงตาโตเบิกกว้างด้วยความตะลึงเพริดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนที่หยาดน้ำตาจะเอ่อระเรื่อขึ้นมาบนขอบเปลือกตา เมื่อเธอพบว่าที่ตรวจครรภ์ในมือได้แสดงเส้นสีแดงขึ้นสองขีดอย่างชัดเจนวนิดากำลังตั้งท้องลูกของจิรายุแฟนหนุ่มของเธอ…หัวใจดวงน้อยเต้นแรงยิ่งกว่ากลองเพล ร่างบางของหญิงสาวค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนฝาโถชักโครกสายตายังจะจับจ้องอยู่ที่เส้นสีแดงสองขีดบนที่ตรวจครรภ์ตาไม่กะพริบในความเงียบเวลานี้ในใจของเธอเกิดความรู้สึกสับสนและขัดแย้งเป็นอย่างมากว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่ในความกลัดกลุ้มนั้นยังคงมีความรู้สึกยินดีแฝงอยู่ในใจทั้งซาบซึ้งและตื่นเต้นเวลาเดียวกันเมื่อรู้ว่าตัวเองจะมีลูกน้อยหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานหญิงสาวได้ผ่อนเบาหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนแววตามุ่งมั่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเธอตัดสินใจแล้วว่าควรบอกเรื่องลูกในท้องให้ชายหนุ่มได้รับรู้และไม่รอช้าที่เธอจะคว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปยังเบอร์ของจิรายุแฟนหนุ่มทันทีตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด(ฮัลโหล)“คุณคะ”(ว่าไงครับด