ดูเหมือนโจเอลจะทำตัวลีบในขณะหันไปหามาร์ค แล้วคิ้วขมวดด้วยความสับสน "เพื่อน เราเป็นเพื่อนซี้กันไม่ใช่เหรอ? ฉันนึกว่านายจะเข้าข้างฉันซะอีก" เขาพูดด้วยความไม่เชื่อ“เราเป็นเพื่อนซี้กัน และฉันก็คอยอยู๋ข้างเสมอ" มาร์คตอบอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ยักไหล่แล้วเอามือล้วงกระเป๋า "แต่นี่ก็ภรรยาของฉันเหมือนกัน แล้วเชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น"“แล้วนายจะยืนเฉย ๆ อยู่ตรงนั้น แล้วปล่อยให้เมียนายรังแกเราแบบนั้นเหรอ?” โจเอลพึมพำ แววตายังเต็มไปด้วยความผิดหวัง“ฉันปล่อยให้ซิดนีย์รังแกนายแบบนั้น อย่างนั้นเหรอ?” มาร์คตอบโต้อย่างใจเย็น เขาเลิกคิ้วขึ้น ทำให้โจเอลพูดไม่ออกในขณะมองเขาอ้าปากค้าง มาร์คยักไหล่ "อะไร? ฉันเป็นบอดี้การ์ดของนายหรือไง?”คำพูดของโจเอลหลั่งไหลออกมาด้วยความหงุดหงิดพลางขึ้นเสียงออกมา "ฉันยั้งมือเอาไว้เพราะเห็นแกนายนะเว้ย!”"พอซะทีเถอะ" ฉันเผชิญหน้ากับเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม "อย่าขี้ขลาดไปหน่อยเลย ทำกับฉันให้เหมือนกับทำกับเกรซไปเลย ปล่อยให้นังแพศยานั่นวิ่งเอาเล็บเข้ามาข่วนหน้าฉันอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ"ขากรรไกรของโจเอลดูนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด สายตาเบนไปที่ใครบางคนข้างหลัง
"ผมจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณฟังเมื่อเราถึงบ้านแล้ว หยุดก่อเรื่องวุ่นวายแล้วไปกันเถอะ" มาร์คพูดอย่างหงุดหงิด ฉันบอกได้เลยว่าเขากำลังพยายามสงบสติอารมณ์เหมือนในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ถึงยังไงก็ตามเสียงของเขาก็ดังกว่าฉันนิดนึง“บ้านเหรอ? นั่นมันบ้านของคุณ โอเคไหม? นั่นมันบ้านของคุณ ไม่ใช่บ้านของฉัน" ฉันชี้นิ้วไปที่ประตู "ฉันจะไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น และไม่อยากได้ยินคำอธิบายที่คุณแต่งขึ้นมาด้วย!”“ซิดนีย์" เขาขมวดคิ้ว“คุณกับโจเอลต่างกันยังไงเหรอ?” ฉันหัวเราะเยาะพวกเขา "พวกคุณทั้งคู่ต่างเป็นคนเห็นแก่ตัว จอมหลอกลวง ตลบตะแลง! ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนกันได้!”สีหน้าของมาร์คยิ่งดูมืดมนลงไปอีก "ผมบอกคุณแล้วไง ซิดนีย์ ว่าผมไม่ได้นอนกับเบลล่า ผมไม่ได้ทรยศต่อชีวิตคู่เรา!”“เห็นไหม? คุณยังเป็นคนโกหกอีกต่างหาก" ฉันกล่าวหาเขา เขาเอามือเสยผมด้วยความหงุดหงิด ในขณะที่เอามืออีกข้างท้าวสะโพกอยู่ เขาเริ่มพูดจาติด ๆ ขัด ๆ เสียงของเขาขลุกขลักอยู่ในลำคอ ราวกับกำลังพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม "ผมไม่ได้นอนกับ...”เขาหยุดชะงัก จากนั้นก็มองมาที่ฉันแล้วส่ายหัว เขาพยายามอีกครั้งหนึ่ง "ผมไม่ได้นอนกับ...” เขาพูดแ
ฉันเดินกระแทกเท้าออกมาจากบาร์แห่งนั้นเพื่อรีบกลับไปยังโรงพยาบาล หนีจากมนุษย์ที่น่ารังเกียจเหล่านี้ และกลับไปหาเกรซเมื่อฉันเดินเข้าใกล้รถประมาณสิบฟุต ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินตามมาอย่างรวดเร็ว เขาเดินตามฉันทันแล้วเอามือมาจับไหล่ฉัน“ซิดนีย์ ใจเย็น ๆ รอก่อน"ฉันกลอกตา เขาเองนั่นแหละ ไม่มีใครจะหยิ่งผยองจนไม่ยอมให้ฉันเดินจากเขาไป หรือหัวแข็งพอจะเดินตามแล้วบอกให้ฉันใจเย็น ๆ หรอก!ฉันปัดมือนั้นออกจากไหล่ แล้วเดินอาจ ๆ ไปข้างหน้าต่อ เขาตามฉันทันแล้วจับไหล่ฉันอีกครั้ง "ไม่เอาน่า!” เขากัดฟันแน่น “งั้นก็ได้ แต่ให้ผมพาคุณกลับบ้านนะ หงุดหงิดแบบนี้ไม่ควรขับรถเองหรอก"หงุดหงิด! ฉันทำเสียงไม่พอใจแล้วสะบัดไหล่ออกจากมือเขาอย่างแรงอีกครั้ง ฉันมองไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถแล้ว และจะได้ขับหนีออกไปจากเจ้าหมอนี่สักที“ซิดนีย์ คุณตั้งใจจะขับรถไปทั้ง ๆ ที่หงุดหงิดอยู่แบบนี้เหรอ? มันอันตรายนะ"ฉันยังคงทำเมินเฉยต่อเขา ทำไมถึงอยากขับรถพาฉันกลับบ้านขนาดนั้น? ก็เพราะเขาจะได้มัดฉันไว้และไม่ปล่อยให้ไปไหนได้ เหตุการณ์อย่างนั้นจะไม่วันเกิดขึ้นหรอก แล้วฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะไม่ได้หุ้นจากคุณยายด้วยฉัน
"ไปโรงพยาบาลค่ะ!” ฉันตะโกนบอกเสียงดึงกึกก้องท่ามกลางเสียงลมกรรโชกและเสียงบีบแตร เมื่อลุยจิขับแซงหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว“ครับ คุณผู้หญิง" เขาตะโกนตอบกลับมาต่อจากนั้น เขาก็ชะลอความเร็วลง และฉันรู้สึกไม่จำเป็นต้องเกาะท้องของเขาอีกต่อไป "ปล่อยมือได้แล้ว" เขาหัวเราะคิกคัก "ไม่ร่วงลงไปหรอก"“ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ฉันหัวเราะกลับไปอย่างประชดประชันฉันรู้สึกถึงความสั่นไหวของร่างกาย เขาหัวเราะคิกคัก "ทำตัวสบาย ๆ เถอะ ผมไม่ใช่มาร์ค" เขาพูดขึ้นและฉันปล่อยมือฉันไม่ได้พูดอะไรกับเขา เพียงแต่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาทนายความทันที ในขณะที่ฉันกดหมายเลขโทรศัพท์อยู่นั้น ฉันรู้สึกว่าความโกรธได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้พวกนั้น! แล้วจะได้เห็นดีกันทนายความรับสาย แล้วฉันออกคำสั่งเสียงดังลั่นทันที "ฉันอยากยื่นฟ้องโจเอลกับแซนดร้า ไอ้พวกนั้น! เตรียมตัวให้พร้อม"ปลายสายอีกด้านหนึ่งเงียบไปจนฉันสงสัยว่าเขาวางสายไปหรือเปล่า ฉันดึงโทรออกจากหูเพื่อเช็คดู แต่เขายังไม่ได้วางสายไป ฉันกำลังจะต่อว่าเขาที่เงียบไปดื้อ ๆ ตอนที่เขาพูดขึ้นมาเขาทวนชื่อของคนพวกนั้นพร้อมกับนามสกุลอย่างลังเล "คุณหมายถึงสองคนนั้นเหรอครับ?”“ใช่"
เมื่อฉันเข้าไปในห้องคนไข้ของเกรซ ใบหน้าของเธอดูซีดเผือดและริมฝีปากแห้งผาก เธอยังนอนหลับอยุ่เหมือนกับตอนที่ฉันออกไป! ฉันสอบถามพยาบาลที่เข้ามาวัดอุณหภูมิและดูอาการของเธอ“เธอถามถึงฉันบ้างไหมตอนที่ฉันไม่อยู่?" ฉันถามด้วยความหวังจะได้รับการยืนยันว่าใช่ แต่เธอกลับส่ายหัวปฏิเสธ "เปล่าค่ะ ตั้งแต่คุณออกไปเธอก็หลับตลอดเลยค่ะ"ในขณะที่ลำคอของฉันตีบตันด้วยความตื่นตระหนก ฉันก็รีบออกไปพบหมอซึ่งกำลังออกมาจากห้องผู้ป่วยอีกห้องหนึ่ง ฉันวิ่งไปหาเขา "ทำไมเธอยังหลับอยู่คะ? ฉันไม่ได้อยู่กับเธอพักใหญ่ ๆ แล้ว!” ฉันไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร แล้วรีบยิงคำถามที่ทำให้ฉันต้องมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เขาเลิกคิ้วขึ้น "คนไข้ในห้องเจ็ดเหรอ?” ฉันพยักหน้า จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างใจเย็น "ไมต้องเป็นห่วงนะ เธอสบายดี"ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย รอยยิ้มของหมอช่วยยืนยันได้ แต่เมื่อฉันนั่งลงข้าง ๆ เกรซ แล้วฟังเสียงหายใจหอบถี่ของเธอ ฉันก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ? ไอ้พวกนั้นเล่นงานเธอหนักมาก ฉันกัดฟันและกำมือแน่น นี่เป็นความผิดของพวกมัน!นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ฉันลุกขึ้นนั่งแบบปุปปับแล้วขยี้
จู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องการหักเงินในบัญชีเงินฝากเลย ทำไมล่ะ? ฉันรีบตรวจสอบยอดเงินและพบว่ายังมีจำนวนเท่าเดิม ยังไม่มีการหักเงิน ทำไมเขายังไม่ถอนเงินออกไปล่ะ? ฉันไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้รกสมอง บัตรธนาคารอยู่ที่เขาแล้ว เขาจะถอนออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา รถแท็กซี่ก็มาจอดอยู่ที่ว่าการอำเภอ ถึงแม้ว่าฉันจะโอนเงินให้คนขับแท็กซี่แล้ว ก็อดจะกวาดสายตามองหามาร์คไม่ได้ฉันเดินไปยังทางเขาแล้วก้าวเข้าไปยังฝ่ายต้อนรับ บางทีเขาอาจเบื่อที่จะรออยู่ข้างนอก จึงตัดสินใจเข้ามารอในนี้ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกันฉันกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เอาไว้ สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตั้งสติ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งฝ่ายต้อนรับ ฉันพบว่าตัวเองนั่งอยู่ข้าง ๆ คู่รักที่น่ารักคู่หนึ่ง ซึ่งทำให้ฉันสงสัยว่าพวกเขามาที่นี่ทำไมฉันนั่งเคาะเท้าข้างหนึ่งบนพื้นรัว ๆ อยู่ตรงฝ่ายต้อนรับ ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แล้วถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด และเมื่อฉันมองดูเวลาก็ทำให้ฉันรู้สึกโกรธมากขึ้นตอนนี้เป็นเวลา 8:30 น.! ฉันนั่งรอมาครึ่งชั่วโ
ฉันนั่งแท็กซี่อีกคันหนึ่งมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของตะกูลตอร์เรสพร้อมกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกยอมแพ้ ฉันรู้ว่าคุณยายดอริสจะอยู่ที่นั่น คฤหาสน์หลังนี้เป็นของคุณยายมากกว่าจะเป็นของโรสแต่เนื่องจากคุณยายดอริสไม่ค่อยได้อยู่บ้าน นิสัยแสนมีชีวิตชีวาของท่านทำให้ไม่ชอบจะติดแหงกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ท่านไม่ยอมให้อายุหรือความรับผิดชอบมาทำให้โบยบินไปโน่นมานี่ไม่ได้ คฤหาสน์หลังนี้จึงตกอยู่ภายใต้การดูแลของโรสแต่เพียงผู้เดียว เพราะมาร์คก็ไม่ได้พักอยู่นั่น ส่งผลให้โรสมีโอกาสเดินไปเดินมาในบ้าน พร้อมกับตะโกนด่าและออกคำสั่งกับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของเธอนั่นแหละเมื่อฉันเดินเข้าไปบริเวณคฤหาสน์ของตระกูลตอร์เรส ก็เห็นรถที่ฉันทิ้งไว้ที่มิลิ บาร์จอดอยู่ในโรงจอดรถ มาร์คน่าจะเป็นคนขับกลับมาไว้ที่นี่ ดีเลย วันนี้ฉันจะได้ขับกลับบ้านไปจิตใจของฉันยังคงหมกหมุ่นอยู่กับการจะได้พบคุณยายและสิ่งที่ท่านจะต้องพูดออกมา แล้วก็มีเสียงแหลมสูงของคุณยายดึงฉันออกไปจากห้วงความคิดนั้น“ซิดนีย์!” ถึงแม้ว่าเสียงของท่านจะฟังดูอ่อนแรง แต่ร่างกายไม่ได้ดูอ่อนแอเลย ฉันเฝ้ามองความสุขและความชื่นชมไหลเวียนอยู่ในตัวฉัน ในขณะที่คุณยายดอริ
ฉันหัวเราะ "หนูแน่ใจค่ะคุณยายดอริส แค่เอ่ยชื่อคุณยายครั้งเดียว พวกนั้นก็หัวหดกันหมดแล้ว"ท่านพยายามอย่างมากที่จะเบนสายตาออกจากมาร์ค แล้วพึมพำขึ้นมาว่า "ก็ควรจะทำแบบนั้น"มีคนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไวน์สามกล่องวางอยู่ในถาด แล้วอีกคนก็วางแก้วทรงสูงไว้ตรงหน้าเราแต่ละคน แล้วจากนั้นก็รินน้ำส้มให้พวกเราทุกคนความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องเมื่อเธอยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ เธอเบะปากแล้วจ้องมองพวกเราแต่ละคน "โอ๊ย อย่ามองอย่างเดียวสิ" ท่านชี้ไปที่แก้วของเรา "ดื่มกันให้เต็มที่ไปเลย"พวกเราต่างยกแก้วขึ้นมาดื่มกันอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักบรรยากาศตึงเครียดภายในห้องทำให้ฉันรู้ได้เลยว่า คุณยายดอริสกำลังจะขจัดมันออกไป ท่านกำลังจะพูดในเรื่องการหย่าร้าง และไม่ได้แค่พูดนะ ท่านจะต้องพยายามยับยั้งไม่ให้ฉันต้องหย่ากับหลานชายแน่ฉันให้ความเคารพคุณยายดอริสมาก แต่ไม่สามารถยอมทำตามนั้นได้ ฉันไม่สามารถละความพยายามที่จะยุติในเรื่องนี้ แล้วใช้ชีวิตอยู่กับมาร์คได้ ฉันไม่อาจทำร้ายตัวเองอย่างไม่จบสิ้น และไม่อาจใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่ฉันเห็นมาร์คหรือเบลล่า ฉันก็จะนึกถึงภาพของสองคนนั้นนอนทับกันอยู่บนเตี
มุมมองของซิดนีย์ ฉันเงยหน้าขึ้นมองพาดหัวข่าวที่เพิ่งเด้งขึ้นมาบนแถบแจ้งเตือน หัวข้อข่าวที่สะดุดตาเขียนว่า - "หญิงเจ้าเล่ห์แท้งลูก ทำตั๋วเข้าสู่ความมั่งคั่งหลุดลอยไป" ภาพมาร์คอุ้มเบลล่าที่โชกไปด้วยเลือดเข้าสู่รถพยาบาลถูกแนบมากับโพสต์ข่าว แม้ว่าจะมีโมเสคบาง ๆ เบลอใบหน้าพวกเขาเอาไว้ แต่คนที่คุ้นเคยกับวงสังคมชั้นสูงย่อมจำพวกเขาได้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเบลล่าเพิ่งอวดภาพการตั้งครรภ์ของเธอไปทั่วโซเชียลมีเดีย “พวกเขาทะเลาะกันหรือเปล่านะ?” ฉันนึกสงสัยด้วยความอยากรู้ แต่ความสงสัยนั้นก็ไม่ได้มากพอจะทำให้ฉันเสียสมาธิจากงานมาเปิดข่าวอ่านฉันถอนหายใจแล้วปัดหน้าจอไปยังรูปตัวอย่างของเครื่องประดับที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งแต่แรก ฉันเปรียบเทียบกับแบบร่างที่ฉันร่างไว้แล้วส่ายหัวเบา ๆ ฉันพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ ฉันมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และสิ่งที่ฉันวาดไว้นั้นก็ดูสวยงามกว่าด้วยซ้ำไป ลูกค้าได้ขอให้สตูดิโอของเราปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย และสิ่งที่ฉันทำอยู่ตรงนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยม ฉันมั่นใจว่าลูกค้าจะต้องถูกใจแน่ ฉันวางโทรศัพท์ลงและเริ่มเติ
ความโกรธพลุ่งพล่านในตัวผม ทั้งแทนซิดนีย์และตัวผมเอง ผมมองเธอด้วยสายตาดูแคลน "ไม่จำเป็นต้องโยนความผิดให้ซิดนีย์เหมือนที่คุณทำมาตลอด ไม่ต้องกลบเกลื่อนคำโกหกของคุณด้วยการทำให้เธอดูแย่ด้วย เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย ผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานแล้ว ตั้งแต่หย่ากันด้วยซ้ำ เพราะงั้นอย่าเอาเธอเข้ามาเกี่ยว" "เชื่อฉันสิ ตั้งแต่ซิด…" ผมหลับตาและกัดฟันแน่น พยายามควบคุมความโกรธ แต่เธอกำลังทำให้มันยากขึ้น "หยุดพูดได้แล้ว เบลล่า ผมไม่อยากฟังคำโกหกที่คุณแต่งขึ้นมาอีกแล้ว ผมได้ยินมามากพอแล้ว" "มาร์ค…" "คุณควรพักผ่อน" ผมตัดบทเธออีกครั้ง "ผมจะไปแล้ว ผมจะติดต่อไมเคิลกับคลาริสสาให้มาดูแลคุณ" เลือดเหมือนจะหายไปจากใบหน้าของเบลล่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง เสียงและร่างกายของเธอสั่นสะท้าน "คุณจะเลิกกับฉันใช่ไหม?!" ผมเลิกคิ้วขึ้น "เราเคยเป็นอะไรกันด้วยเหรอ? เราไม่เคยตกลงอะไรกันอย่างเป็นทางการ คุณกลับมาจากทริปแล้วก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผมโดยไม่มีคำพูดอะไร แล้วคุณก็เอาการตั้งครรภ์ที่ไม่ใช่ลูกของผมมามัดผมมือชกอีก ผมอยู่กับคุณเพราะคุณทำให้ผมต้องอยู่…" "คุณพูดแบบ
"เธอฟื้นหรือยังครับ? ผมเข้าไปหาเธอได้ไหม?" ในที่สุดผมก็สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ หมอส่ายหน้า "เธอยังไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาสลบ ตอนนี้เธอกำลังจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นแล้ว รออีกสักหน่อย เธอก็น่าจะฟื้นแล้ว" "ขอบคุณครับ" หมอพยักหน้าแล้วเดินจากไป ผมนั่งอยู่ที่แผนกต้อนรับ พยายามใจเย็นขณะที่รอให้เบลล่าฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งพยาบาลเดินเข้ามาหาผม "คุณมาร์ค ผู้หญิงที่คุณพามาได้ถูกย้ายไปยังห้องพักคนไข้แล้วค่ะ และเธอก็ฟื้นแล้วด้วย ถ้าคุณพร้อมเข้าไปหาเธอ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องของเธอนะคะ" ผมลุกขึ้นและพยักหน้า "พาผมไปได้เลยครับ" เธอเดินนำไปและผมเดินตามเธอ เราผ่านห้องหลายห้องก่อนที่เธอจะหยุดที่หน้าประตู เธอเปิดประตู "นี่ค่ะห้องพักฟื้นของเธอ" ผมเดินเข้าไปในห้อง และพยาบาลก็เดินออกไป ศีรษะของเบลล่าหันไปอีกด้าน เธอสวมชุดของโรงพยาบาลและมีหมวกคลุมผมอยู่ ผมจินตนาการว่าเธออาจกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ขณะที่หันหน้าหนีไปอีกทาง"เบลล่า" ผมเรียกชื่อเธอเบา ๆ และเธอก็หันมาทันที ใบหน้าของเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ ผมเดาว่าเธอคงจะร้องไห้หรือไม่ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบ ๆ เพราะทันทีที่สายตาของเธอจับจ้
มุมมองของมาร์คผมวิ่งตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหามเธอเข้าไปในโรงพยาบาล ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย ในตอนที่ผมตะโกนขอความช่วยเหลือหลังจากเบลล่าเริ่มมีเลือดออก แต่ทันทีที่ผมลงมาชั้นล่าง รถพยาบาลก็มาถึง ทันทีที่ผมขึ้นรถพยาบาล ผมจับมือเธอไว้ ผมเรียกชื่อเธอหลายครั้ง หวังว่าเธอจะลืมตาขึ้น แต่เธอก็ยังคงหลับตาอยู่ หมอพรวดพราดออกมาจากมุมหนึ่ง โดยมีหูฟังแพทย์ห้อยอยู่บนคออย่างไม่เรียบร้อย ขณะที่เราทั้งสองรีบเดินตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหาม ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง "ผมคิดว่าเขาต้องทำร้ายเธอแน่ เพราะเธออยู่ดี ๆ ก็เริ่มมีเลือดออก" หมอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องที่พวกเขาเข็นเธอเข้าไป เธอถูกย้ายขึ้นเตียงโรงพยาบาลแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้อง จึงยืนอยู่ข้างนอกและมองผ่านกระจกฝ้าบนประตู หมอส่ายหน้าในขณะที่ตรวจเธอ จากนั้นเขาพูดบางอย่างกับพยาบาลที่อยู่ด้วย พวกเธอพยักหน้าและรีบออกจากห้องไป "ขอโทษนะคะ" พวกเขาพูดพร้อมกันเบา ๆ ผมจึงหลบให้พวกเขาผ่านไป จากนั้นหมอก็ออกมาด้วยเช่นกัน เขาบอกกับผมทันทีว่า "อาการของเธอวิกฤตมาก ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน เราจะย้ายเธอไปยัง
ผมขึ้นรถและขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มุ่งตรงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ตั้งแต่วันที่เธอปฏิเสธที่จะมางานฉลองวันเกิด เธอก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านของผมอีกเลย ดังนั้นมันคงสมเหตุสมผลถ้าเธอจะอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง หรือบางทีเธออาจไปหาที่ร้องไห้บนไหล่ของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมจะได้รู้เมื่อไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ผมไม่สนใจที่จะขับรถเข้าทางจอดรถอย่างถูกต้อง แค่หยุดรถทันที ดับเครื่องยนต์ และพุ่งขึ้นบันไดไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ทันทีที่ผมไปถึงหน้าประตู ผมก็ไม่ลังเลที่จะทุบกำปั้นลงบนประตู "เบลล่า!" ผมตะโกนออกไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่อัดแน่น ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมยังคงทุบกำปั้นลงบนประตู ผมยกกำปั้นขึ้นเพื่อเคาะอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่ เมื่อเสียงบทสนทนาดังแว่วเข้าหู ผมชะงักไปและปล่อยมือค้างอยู่ในอากาศ จากนั้นเสียงเหล่านั้นก็ดังขึ้นและชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งเสียงของเบลล่าดังทะลุประตูออกมา "ฉันไม่มีเงินให้คุณอีกแล้ว ไอ้ผีพนันเอ๊ย! ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงของเธอดูหงุดหงิด และจากระดับความดังของเสียงก็พอจะบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธจัดเสีย
มุมมองของมาร์ค"นี่คือรายงานของคุณเบลล่าที่ขอให้ตามสืบครับ" ผมได้ยินผู้ช่วยส่วนตัวพูด ผมพึมพำตอบกลับไป จากนั้นอีกสองสามวินาทีต่อมา ผมก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารที่มีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับนักลงทุนรายล่าสุดของจีที กรุ๊ป เพียงเพื่อจะเห็นแค่แผ่นหลังของผู้ช่วยส่วนตัวที่รีบเดินออกจากห้องไป ผมหยุดและนึกสงสัยว่าเขาจะรีบไปไหน พลันเบี่ยงสายตากลับมายังรายงานซึ่งผมมอบหมายให้เขาไปจัดการที่เขาเพิ่งนำมาวางไว้ให้ แม้ผมจะอยากอ่านรายละเอียดทุกอย่างในรายงานด้วยตัวเอง แต่ผมก็ยุ่งเกินไป จึงตั้งใจจะให้เขาสรุปเนื้อหาให้ฟัง เพราะเขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลทั้งหมดหลังจ้างนักสืบเอกชนให้ดำเนินการ แต่ตอนนี้เขากลับออกไปเสียแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะโทรตามเขา แต่ผมกลับหยุดมือไว้ก่อน สายตาเลื่อนไปที่รายงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ทับกับกองเอกสารมากมายที่ผมยังต้องอ่านมันการอ่านรายงานคงใช้เวลาไม่เกินสามสิบนาที ดังนั้นแทนที่จะเรียกให้ผู้ช่วยทิ้งงานของตัวเองแล้วมาสรุปรายงานให้ผมฟัง ทั้งที่ผมแค่อ่านผ่าน ๆ เอาเองก็ได้ ผมจึงวางโทรศัพท์ลงและหยิบรายงานนั่นขึ้นมาแทน ผมเปิดดูคร่าว ๆ ทันที ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้น มัน
ลูคัสถอนหายใจ ก่อนจะตอบว่า "เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ผมกลับมาไง" "พวกเขา?" คิ้วฉันขมวดเข้าหากันขณะมองเขาอย่างงุนงง "ใครไม่ยอมให้คุณกลับมาเหรอ?" ขนตาของเขากวาดลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มขมขื่น "คนในครอบครัวของผมน่ะ" คิ้วฉันขมวดลึกขึ้นขณะที่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ฉันส่ายหน้า "ฉันงงไปหมดแล้ว ช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยได้ไหม?" "แบบว่า…ที่คุณเพิ่งรู้ว่าผมกับมาร์คเกี่ยวข้องกัน เพราะจริง ๆ แล้วผมเป็นลูกนอกสมรส ตอนแรกครอบครัวไม่ยอมรับผม ผมเป็นความลับอันโสมมที่ไม่เคยถูกพูดถึงหรือเอ่ยถึง ถูกซุกซ่อนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล พ่อของผมคือสามีผู้ล่วงลับของดอริส ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์เดียวที่เชื่อมผมเข้ากับครอบครัวนี้ ตอนที่พ่อกำลังจะเสีย สิ่งที่เขาปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือให้ครอบครัวดูแลผมอย่างดี พวกเขาจึงรับผมกลับมาอย่างเสียไม่ได้" ฉันขมวดคิ้ว "งั้นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ว่าพ่อของคุณไม่มีเวลาให้คุณ แต่เขา…" ฉันหยุด แล้วกระซิบออกมา "ป่วย" เขาพยักหน้าช้า ๆ อย่างสงบ ฉันอยากถามเขาว่า ‘แล้วแม่ของเขาล่ะ?’ แต่บางอย่างหยุดฉันไว้ ถ้าเขาอยากพูดถึงแม่ เขาคงจะพูดเอง ถ้าเขาไม่อยากพูด ฉันก็ไม่มี
ฉันพยักหน้าช้า ๆ แต่ก็ยังสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า "คุณรู้ได้ยังไงว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า?" เขาพยักหน้าไปทางกระเป๋า "ซิปมันเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งน่ะสิ" ฉันก้มลงมองแล้วสบถออกมา "บ้าเอ๊ย!" ฉันรีบวางมันบนตักและตรวจดูว่ามีอะไรหล่นออกไปหรือเปล่า ซิปคงเปิดตอนที่โจรเหวี่ยงกระเป๋าไปมา หรือไม่ก็ตอนที่ลุยจิแย่งมันมา ฉันรู้สึกถึงสายตาของลูคัสที่จับจ้องมา ขณะที่ฉันหยิบแบบร่างออกมาตรวจดู ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดี เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น รู้สึกอึดอัดและต้องการอธิบาย "ฉันกลัวว่าแบบร่างบางแผ่น(ชิ้น)หล่นหายไปน่ะ" ฉันฝืนยิ้ม "แล้วมีอะไรหายไปไหม?" เขาเลิกคิ้วที่ได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบขึ้น "ไม่ค่ะ ทุกอย่างยังอยู่ครบ" ฉันตอบและเริ่มเก็บแบบร่างกลับเข้ากระเป๋า "ขอผมดูหน่อยได้ไหม?" คำขอเบา ๆ ของเขาทำให้ฉันชะงัก ฉันยิ้ม หัวใจรู้สึกอบอุ่นที่เขาสนใจจะดูแบบร่างของฉัน "นี่ค่ะ" ฉันยื่นให้เขา "เชิญคุณดูได้เลย" เขารับกระดาษจากฉันและถือมันไว้อย่างระมัดระวังราวกับมันเป็นอัญมณีล้ำค่า ฉันมองเขาด้วยใจเต้นระทึก ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องที่แบบร่า
เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก