หลังจากริชชี่ออกไปได้หนึ่งชั่วโมง ฉันก็เก็บข้าวของเพื่อกลับบ้านโทรศัพท์ของฉันส่งเสียงดังขึ้นบนโต๊ะอีกครั้ง "อยู่ไหนเหรอ เพื่อนสาว?”“กำลังไปค่ะคุณผู้หญิง แป๊บเดียวเดี๋ยวถึงจ้า นี่ก็รีบอยู่นะ"ฉันยกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้ม นับตั้งแต่ที่เธอโทรมาตามให้ฉันกลับวิลล่าที่อยู่ด้วยกันเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว เธอก็โทรมาเตือนอย่างไม่หยุดหย่อน ให้ฉันกลับไปที่นั่นหลังเลิกงานทันที เธอดูตื่นเต้นเหลือเกิน แม้แต่ตอนนี้เสียงก็ยังสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น“เธอยังไม่ยอมบอกเหตุผลฉันเลยนะ มีอะไร?”ฉันหนีบโทรศัพท์เอาไว้ระหว่างไหล่กับคอในขณะที่กำลังล็อกกุญแจลิ้นชัก“ไม่บอก" ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าเธอกำลังยิ้มอยู่ฉันพึมพำออกไป "เถอะน่า เกรซ อ้อม ๆ ก็ได้ ฉันอยากรู้จนจะตายอยู่แล้ว" ฉันหยิบกล่องเครื่องประดับจากโต๊ะมาวางไว้ในกระเป๋า จากนั้นก็สะพายกระเป๋าไว้บนไหล่“ถ้าเธอกำลังจะตาย ก็ช่วยมาที่นี่ก่อน"ฉันหัวเราะคิกคักกับคำพูดของเธอ "ก็ได้ เดี๋ยวถึง ๆ" ฉันล็อกประตูใหญ่ แล้วเริ่มเดินไปยังที่ที่จะเรียกแท็กซี่ได้ "เรียกแท็กซี่แล้วเนี่ย""เลิศมาก รออยู่นะ"ฉันเรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายปลายทางนับตั้งแต่ที่ฉันไปท
"ฉันว่ามันสวยดีนะ โทนสีดูเข้ากับสีผิวของเธอ เลยทำให้ดูสวยเป็นพิเศษ" แล้วฉันก็ยิ้ม "น่าเสียดายที่ฉันชอบผู้ชายแบบปกติน่ะนะ ไม่งั้นฉันคงเป็นแฟนกับเธอไปนานแล้ว" จากนั้น ฉันก็ถอยหลังไปแบบปุบปับ เอามือปิดปากแล้วหายใจแรง ๆ "โอ้ ไม่นะ!”ดวงตาของเกรซเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย "มีอะไรเหรอ?”“ฉันตกหลุมรักเธอเข้าแล้วน่ะสิ!” ฉันกระซิบเกรซมีสีหน้าที่ดูโล่งอก เธอปัดมือฉันออก "โอ้ ไม่นะ" เธอทำท่าเลียนแบบฉันเมื่อกี้นี้ "ฉันก็ตกหลุมรักเธอแล้วเหมือนกัน"เราทั้งคู่หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานกับการแสดงละครนั้นหลังจากชื่นชมชุดนั้นกันเสร็จแล้ว เกรซก็พูดถึงเรื่องนั้นไม่หยุด“เล่าให้ฉันฟังหน่อย" ฉันนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทีสบายใจ ความคิดที่จะกลับบ้านไปหาสามีได้เลือนหายไปหมด "ลูกค้าสั่งให้ตัดชุดนั้นเหรอ?”“ไม่ใช่หรอก" เธอถอดชุดนั้นออกแล้วทำหน้าเบิกบานต่อหน้าฉัน "ตัดชุดให้ตัวเองเถอะจ้ะ"“อ้อ" ฉันขยับคิ้วไปมา "มีผู้ชายคนใหม่แล้วล่ะสิใช่ไหม?”เธอหรี่ตา "ใหม่ไหมคงบอกไม่ได้หรอก แต่ก็ใช่...ฉันมีแฟนแล้วจ้า" ใบหน้าดูเปล่งปลั่งไปด้วยความสุขและความเบิกบานในขณะที่พูด "เขาชื่อโจเอล"“โจเอล" ฉันพูดชื่อนั้นซ้ำพร้อมกับพยักหน
"มันเหมาะกับเธอขนาดนั้นเพราะว่าตอนที่ทำ ฉันนึกถึงเธอย่างเดียวเลย"จากนั้น ฉันก็อธิบายให้เธอฟังว่าจี้สามารถทำเป็นเข็มกลัดได้ ฉันมองดูเธอพยายามที่จะทำตามนั้น แล้วตบมือดีใจในขณะที่ก้มมองเข็มกลัดบริเวณหน้าอก“เธอต้องจ่ายเงินไปเยอะเลยนะสำหรับสิ่งนี้" ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง“ฉันจะทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อให้เธอยิ้มได้เลยนะ"“ซิดนีย์" เธอกระซิบพร้อมกับน้ำตาคลอ แล้วดึงฉันเข้าไปกอดอีกครั้งฉันตบหลังเธอเบา ๆ พร้อมกับน้ำตาซึม "จ้า อย่าร้องนะ ๆ เกรซ ฉันดีใจที่เธอชอบนะ ตอนนี้เธอเตรียมตัวไปออกเดตให้ดีเถอะ"เธอหัวเราะคิกคักแล้วถอยหลังไปจ้องมองมาที่ฉัน "อย่ามาหวงฉันเลยนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เธอคงทนเห็นฉันกลายเป็นยายแก่เพียงลำพังไม่ได้หรอกจริงไหม?”ฉันกลอกตา "ได้สิ ฉันทำได้" จากนั้นฉันก็พยายามผลักเธอออกไปอย่างเย้าแหย่ แต่เธอกลับดึงฉันเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง“ตอนเธอหวงแบบนี้น่ารักเป็นบ้าเลย"“ฉันไม่ได้หวงเถอะ!” ฉันคัดค้านเกรซระเบิดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นทำให้ฉันต้องหัวเราะตาม แล้วในไม่ช้าเสียงหัวเราะของเราก็เติมเต็มบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลายและน่ารื่นรมย์ฉันถอนหายใจ
มาร์คกระแอมกระไอเมื่อฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลย "ซิดนีย์?”“ฉันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้ม "ขอโทษค่ะที ฉันใจลอยไปหน่อย คุณพูดว่ายังไงนะคะ?”เขาเบนสายตาไปที่โทรศัพท์ที่อยู่ในมือฉัน แล้วจ้องมองอยู่ตรงนั้น ฉันคิดว่าฉันมองเห็นขากรรไกรของเขานูนขึ้นมา แต่เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งและนุ่มนวล "ผมมีของขวัญให้คุณ"“อ๋อ ใช่แล้ว" ฉันพูดติด ๆ ขัด ๆ จากนั้นก็รีบหยิบกล่องที่ยื่นมาจากมือของเขาในขณะที่เขายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ฉันก็คิดที่จะโอนเงินค่าหย่าร้างให้เขาในตอนนี้ เพื่อที่จะได้ย้ายออกไปพร้อมกับข้าวของในคืนนี้เลย ซึ่งจะทำให้ฉันได้ใช้เวลาในช่วงเช้าตรู่กับเกรซ แต่เมื่อฉันก้มมองของขวัญที่เขาซื้อให้ ฉันต้องเลื่อนสายตากลับไปที่เขาเขาไม่เคยซื้อของขวัญให้ฉันมาก่อนเลย บางทีนี่อาจจะเป็นการดึงรั้งไม่ให้ฉันยืนกรานที่จะหย่าร้างก็ได้ ฉันไม่สามารถยกเรื่องการหย่าร้างขึ้นมาพูดตอนนี้ได้“ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดออกไปพร้อมกับดูผลงานของตัวเอง "เป็นสร้อยข้อมือที่สวยดีค่ะ"“ผมได้กำชับเอาไว้อย่างนั้น" เขาพึมพำ น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูมีความหวังเหมือนเมื่อครู่นี้เลย เขาล้วงมือเข้าไปในก
อย่ามองคนแค่เปลือกนอก ฉันพึมพำกับตัวเอง แล้วเร่งเร้าให้เดินต่อไป“คุณแบรนคะ" ฉันทักทาย“คุณนายตอร์เรสครับ" เขายิ้ม เมื่อฉันเดินไปถึงโต๊ะที่เขานั่งอยู่ เขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ตัวสูงกว่าฉันมากจนต้องยืดแขนมาจับมือทักทายกับฉัน ฉันจับมือทักทายเขา มือจับกันอย่างแนบแน่นเรานั่งลงแล้วพูดคุยเรื่องธุรกิจกันทันที ฉันนึกอยากจะถามว่าสามารถสั่งกาแฟอีกแก้วนอกเหนือจากแก้วที่เขาสั่งมาแล้วได้ไหม แต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นเลย เพราะไม่มีการให้บริการใด ๆ ที่นี่เลยขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ฉันก็สังเกตเห็นว่าเขามีความกระตือรือร้นไม่แพ้ตอนที่เราคุยกันทางออนไลน์เลย แต่ฉันไม่สามารถสลัดความรู้สึกแปลก ๆ ออกไปได้ เขาจ้องมองฉันในขณะที่ยิ้มและพูดถึงวิธีการที่เราจะร่วมมือกัน รวมทั้งการสร้างสรรค์งานออกแบบใหม่ ๆ ไม่หยุด ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายใจมาก และเขาไม่ได้เป็นมืออาชีพอย่างที่ฉันชอบเลย เขาคอยเร่งเร้าให้ฉันดื่มกาแฟ ที่ดูเหมือนจะสั่งมาตั้งแต่ตอนที่ฉันยังมาไม่ถึงใช่แล้ว เขาดูเหมือนผู้ชายที่ฉันเคยคุยด้วย และทุกอย่างที่เขาพูดก็ฟังดูสอดคล้องกับที่เราเคยคุยกันนั่นแหละ แต่ฉันก็อดสงสัยในตัวตนของเขาไม่ได้“ดิฉันขอตัวไปเ
ฉันเก็บคำถามไว้กับตัวเอง แล้วรีบกระโดดเข้าไปร่วมวงกับลุยจิทันที แล้วภายในพริบตาเดียวก็เกิดความโกลาหลขึ้นในร้านกาแฟแห่งนั้น ซึ่งมีทั้งโต๊ะและเก้าอี้ปลิวว่อน เมื่อแบรนเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะลุกลาม และเรากำลังเอาชนะกลุ่มชายรูปร่างกำยำของเขาได้ เขาก็กระโดดเข้ามาร่วมวงการต่อสู้เขาพุ่งเข้าหาลุยจิทันทีแล้วไล่ต้อนเขาไปทั่วห้อง เมื่อฉันเห็นเขาล้มลงกับพื้น ฉันก็รีบหลบหมัดของชายที่กำลังต่อสู้กับฉัน แล้ววิ่งเข้าไปช่วยเขาแต่ทันทีที่ฉันไปถึงที่นั่น ลุยจิก็เหวี่ยงเขาลงกับพื้น แล้วกดฝ่ามือลงบนหน้าของแบรนอย่างไม่ปรานี เขาเหลียวหน้ามามองหาฉันก่อนจะจ้องมองฉันไม่วางตา“หนีไป" เขาพูด "มีตรอกเล็ก ๆ อยู่ ไปรอที่นั่นก่อน"“แล้วคุณล่ะ?!” ฉันกระซิบกลับไปในขณะที่เบิกตากว้าง“ออกไปก่อน ซิดนีย์!” เขาตะโกนบอกในขณะที่แบรนใช้ประโยชน์จากการที่เขาเสียสมาธิ แล้วใช้ถาดที่เขาคว้ามาจากโต๊ะใดโต๊ะหนึ่งฟาดเข้าที่หน้าเขาฉันตัดสินใจที่จะเชื่อฟังเขา เขาอาจมีแผนการบางอย่าง แต่ถ้าเขาไม่มี อย่างน้อย ฉันก็สามารถแจ้งตำรวจหรือขอความช่วยเหลือได้ ฉันรีบไปยังโต๊ะที่มีกระเป๋าเงินวางอยู่โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบคว้ามันมาเมื
ในขณะที่รออยู่ที่นั่นฉันก็คลำหาโทรศัพท์ กำเครื่องช็อตไฟฟ้าเอาไว้แน่นในขณะกดเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินออกไป“คุณอยู่ที่ไหนครับ คุณผู้หญิง?” พวกเขาถามหลังจากฟังฉันอธิบายถึงสถานการณ์อันลำบากอย่างกระหืดกระหอบ“ฉะ…ฉะ…ฉันไม่รู้" ฉันพยายามพูดให้ฟังปะติดปะต่อกัน "ฉันไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน"“รับทราบครับ คุณผู้หญิง ทำใจเย็น ๆ นะครับ อย่าลืมเปิดตำแหน่งที่ตั้งในโทรศัพท์เอาไว้นะครับ เราจะกดค้นหาคุณเอง"“ขอบคุณค่ะ" ฉันก้มตัวโค้งคำนับโดยเอามือวางไว้บนเข่า "ช่วยรีบหน่อยนะคะ" ฉันกระซิบบอกอย่างกระหืดกระหอบฉันหลับตาและสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ถ้าลุยจิไม่ปรากฏตัว ฉันคงไม่สามารถรับมือกับพวกเขาได้แน่ฉันไม่รู้ว่าแบรนมีเจตนาอะไร อาจมีใครส่งเขามาก็ได้ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะมีปัญหาอะไรกับฉันเลย เขาต้องทำตามคำสั่งของใครบางคนแน่ ๆ แต่ใครกันล่ะ? มาร์คเหรอ?ฉันส่ายหัวแล้วยืดตัวตรง เอนหัวพิงกำแพงเอาไว้ มาร์คไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะส่งผู้ชายมาหาเธอ เขาไม่ได้กลัวเกรงที่จะเผชิญหน้ากับฉันเลย แล้วจะเป็นใครกันนะ?ฉันกระโจนถอยห่างออกจากกำแพง และทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากะโผลกกะเผล
"ถูกต้อง! ลูกผู้ชายตัวจริงมันต้องเดินกะโผลกกะเผลก และมีเลือดไหลออกมาจากแผลที่ท้องเสมอ"เขาหัวเราะร่วนจนไหล่โยก "อย่ามาพูดจาเหน็บแนมผมนะ ซิด"“คุณไปโผล่ที่แบบนั้นได้ยังไง?” ฉันโพล่งออกไปเพราะทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว "คือคุณโผล่ออกมาในเวลาที่เหมาะเหม็ง แล้วช่วยฉันเอาไว้ได้" ฉันหรี่ตามองเขาแล้วทำให้เขายิ้มร่า "คุณสะกดรอยตามฉันเหรอ ลุยจิ?”เขาจ้องมองมาที่เส้นผมของฉัน แล้วจากนั้นก็เลื่อนลงมาที่ชุดกระโปรงที่ฉันใส่อยู่ "ตอนนี้คุณดูแย่มากเลย คุณควรไปหาที่อาบน้ำดีกว่านะ"“ตอบคำถามฉันมาดี ๆ" ฉันขู่เขาแบบเย้าแหย่เขายกคิ้วขึ้น รอยยิ้มซุกซนยังปรากฏอยู่บนริมฝีปากของเขา "ผมช่วยคุณไว้สองครั้งแล้วนะ แล้วคุณยังสงสัยในตัวผมอีกเหรอ?”ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย ฉันไม่รู้จักเขามากนัก แต่ฉันรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายฉัน ฉันหวังว่าฉันคงคิดถูกนะ“อะไรกัน คุณคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้นเหรอ?”ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้มาช่วยเหลือคุณในแง่ของการให้ความช่วยเหลือหรือเป็นสิ่งของก็ตาม ตราบใดที่ได้รับความช่วยก็จำเป็นตอบแทนสิ่งนั้นกลับไป มันไม่มีความบังเอิญอยู่บนโลกใบนี้หรอก เช่นเดียวกับที่พวกคนที่ชอบเกลียดชังคนอื่นมั
มุมมองของซิดนีย์ ฉันเงยหน้าขึ้นมองพาดหัวข่าวที่เพิ่งเด้งขึ้นมาบนแถบแจ้งเตือน หัวข้อข่าวที่สะดุดตาเขียนว่า - "หญิงเจ้าเล่ห์แท้งลูก ทำตั๋วเข้าสู่ความมั่งคั่งหลุดลอยไป" ภาพมาร์คอุ้มเบลล่าที่โชกไปด้วยเลือดเข้าสู่รถพยาบาลถูกแนบมากับโพสต์ข่าว แม้ว่าจะมีโมเสคบาง ๆ เบลอใบหน้าพวกเขาเอาไว้ แต่คนที่คุ้นเคยกับวงสังคมชั้นสูงย่อมจำพวกเขาได้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเบลล่าเพิ่งอวดภาพการตั้งครรภ์ของเธอไปทั่วโซเชียลมีเดีย “พวกเขาทะเลาะกันหรือเปล่านะ?” ฉันนึกสงสัยด้วยความอยากรู้ แต่ความสงสัยนั้นก็ไม่ได้มากพอจะทำให้ฉันเสียสมาธิจากงานมาเปิดข่าวอ่านฉันถอนหายใจแล้วปัดหน้าจอไปยังรูปตัวอย่างของเครื่องประดับที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งแต่แรก ฉันเปรียบเทียบกับแบบร่างที่ฉันร่างไว้แล้วส่ายหัวเบา ๆ ฉันพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ ฉันมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และสิ่งที่ฉันวาดไว้นั้นก็ดูสวยงามกว่าด้วยซ้ำไป ลูกค้าได้ขอให้สตูดิโอของเราปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย และสิ่งที่ฉันทำอยู่ตรงนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยม ฉันมั่นใจว่าลูกค้าจะต้องถูกใจแน่ ฉันวางโทรศัพท์ลงและเริ่มเติ
ความโกรธพลุ่งพล่านในตัวผม ทั้งแทนซิดนีย์และตัวผมเอง ผมมองเธอด้วยสายตาดูแคลน "ไม่จำเป็นต้องโยนความผิดให้ซิดนีย์เหมือนที่คุณทำมาตลอด ไม่ต้องกลบเกลื่อนคำโกหกของคุณด้วยการทำให้เธอดูแย่ด้วย เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย ผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานแล้ว ตั้งแต่หย่ากันด้วยซ้ำ เพราะงั้นอย่าเอาเธอเข้ามาเกี่ยว" "เชื่อฉันสิ ตั้งแต่ซิด…" ผมหลับตาและกัดฟันแน่น พยายามควบคุมความโกรธ แต่เธอกำลังทำให้มันยากขึ้น "หยุดพูดได้แล้ว เบลล่า ผมไม่อยากฟังคำโกหกที่คุณแต่งขึ้นมาอีกแล้ว ผมได้ยินมามากพอแล้ว" "มาร์ค…" "คุณควรพักผ่อน" ผมตัดบทเธออีกครั้ง "ผมจะไปแล้ว ผมจะติดต่อไมเคิลกับคลาริสสาให้มาดูแลคุณ" เลือดเหมือนจะหายไปจากใบหน้าของเบลล่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง เสียงและร่างกายของเธอสั่นสะท้าน "คุณจะเลิกกับฉันใช่ไหม?!" ผมเลิกคิ้วขึ้น "เราเคยเป็นอะไรกันด้วยเหรอ? เราไม่เคยตกลงอะไรกันอย่างเป็นทางการ คุณกลับมาจากทริปแล้วก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผมโดยไม่มีคำพูดอะไร แล้วคุณก็เอาการตั้งครรภ์ที่ไม่ใช่ลูกของผมมามัดผมมือชกอีก ผมอยู่กับคุณเพราะคุณทำให้ผมต้องอยู่…" "คุณพูดแบบ
"เธอฟื้นหรือยังครับ? ผมเข้าไปหาเธอได้ไหม?" ในที่สุดผมก็สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ หมอส่ายหน้า "เธอยังไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาสลบ ตอนนี้เธอกำลังจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นแล้ว รออีกสักหน่อย เธอก็น่าจะฟื้นแล้ว" "ขอบคุณครับ" หมอพยักหน้าแล้วเดินจากไป ผมนั่งอยู่ที่แผนกต้อนรับ พยายามใจเย็นขณะที่รอให้เบลล่าฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งพยาบาลเดินเข้ามาหาผม "คุณมาร์ค ผู้หญิงที่คุณพามาได้ถูกย้ายไปยังห้องพักคนไข้แล้วค่ะ และเธอก็ฟื้นแล้วด้วย ถ้าคุณพร้อมเข้าไปหาเธอ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องของเธอนะคะ" ผมลุกขึ้นและพยักหน้า "พาผมไปได้เลยครับ" เธอเดินนำไปและผมเดินตามเธอ เราผ่านห้องหลายห้องก่อนที่เธอจะหยุดที่หน้าประตู เธอเปิดประตู "นี่ค่ะห้องพักฟื้นของเธอ" ผมเดินเข้าไปในห้อง และพยาบาลก็เดินออกไป ศีรษะของเบลล่าหันไปอีกด้าน เธอสวมชุดของโรงพยาบาลและมีหมวกคลุมผมอยู่ ผมจินตนาการว่าเธออาจกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ขณะที่หันหน้าหนีไปอีกทาง"เบลล่า" ผมเรียกชื่อเธอเบา ๆ และเธอก็หันมาทันที ใบหน้าของเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ ผมเดาว่าเธอคงจะร้องไห้หรือไม่ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบ ๆ เพราะทันทีที่สายตาของเธอจับจ้
มุมมองของมาร์คผมวิ่งตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหามเธอเข้าไปในโรงพยาบาล ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย ในตอนที่ผมตะโกนขอความช่วยเหลือหลังจากเบลล่าเริ่มมีเลือดออก แต่ทันทีที่ผมลงมาชั้นล่าง รถพยาบาลก็มาถึง ทันทีที่ผมขึ้นรถพยาบาล ผมจับมือเธอไว้ ผมเรียกชื่อเธอหลายครั้ง หวังว่าเธอจะลืมตาขึ้น แต่เธอก็ยังคงหลับตาอยู่ หมอพรวดพราดออกมาจากมุมหนึ่ง โดยมีหูฟังแพทย์ห้อยอยู่บนคออย่างไม่เรียบร้อย ขณะที่เราทั้งสองรีบเดินตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหาม ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง "ผมคิดว่าเขาต้องทำร้ายเธอแน่ เพราะเธออยู่ดี ๆ ก็เริ่มมีเลือดออก" หมอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องที่พวกเขาเข็นเธอเข้าไป เธอถูกย้ายขึ้นเตียงโรงพยาบาลแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้อง จึงยืนอยู่ข้างนอกและมองผ่านกระจกฝ้าบนประตู หมอส่ายหน้าในขณะที่ตรวจเธอ จากนั้นเขาพูดบางอย่างกับพยาบาลที่อยู่ด้วย พวกเธอพยักหน้าและรีบออกจากห้องไป "ขอโทษนะคะ" พวกเขาพูดพร้อมกันเบา ๆ ผมจึงหลบให้พวกเขาผ่านไป จากนั้นหมอก็ออกมาด้วยเช่นกัน เขาบอกกับผมทันทีว่า "อาการของเธอวิกฤตมาก ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน เราจะย้ายเธอไปยัง
ผมขึ้นรถและขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มุ่งตรงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ตั้งแต่วันที่เธอปฏิเสธที่จะมางานฉลองวันเกิด เธอก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านของผมอีกเลย ดังนั้นมันคงสมเหตุสมผลถ้าเธอจะอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง หรือบางทีเธออาจไปหาที่ร้องไห้บนไหล่ของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมจะได้รู้เมื่อไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ผมไม่สนใจที่จะขับรถเข้าทางจอดรถอย่างถูกต้อง แค่หยุดรถทันที ดับเครื่องยนต์ และพุ่งขึ้นบันไดไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ทันทีที่ผมไปถึงหน้าประตู ผมก็ไม่ลังเลที่จะทุบกำปั้นลงบนประตู "เบลล่า!" ผมตะโกนออกไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่อัดแน่น ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมยังคงทุบกำปั้นลงบนประตู ผมยกกำปั้นขึ้นเพื่อเคาะอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่ เมื่อเสียงบทสนทนาดังแว่วเข้าหู ผมชะงักไปและปล่อยมือค้างอยู่ในอากาศ จากนั้นเสียงเหล่านั้นก็ดังขึ้นและชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งเสียงของเบลล่าดังทะลุประตูออกมา "ฉันไม่มีเงินให้คุณอีกแล้ว ไอ้ผีพนันเอ๊ย! ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงของเธอดูหงุดหงิด และจากระดับความดังของเสียงก็พอจะบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธจัดเสีย
มุมมองของมาร์ค"นี่คือรายงานของคุณเบลล่าที่ขอให้ตามสืบครับ" ผมได้ยินผู้ช่วยส่วนตัวพูด ผมพึมพำตอบกลับไป จากนั้นอีกสองสามวินาทีต่อมา ผมก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารที่มีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับนักลงทุนรายล่าสุดของจีที กรุ๊ป เพียงเพื่อจะเห็นแค่แผ่นหลังของผู้ช่วยส่วนตัวที่รีบเดินออกจากห้องไป ผมหยุดและนึกสงสัยว่าเขาจะรีบไปไหน พลันเบี่ยงสายตากลับมายังรายงานซึ่งผมมอบหมายให้เขาไปจัดการที่เขาเพิ่งนำมาวางไว้ให้ แม้ผมจะอยากอ่านรายละเอียดทุกอย่างในรายงานด้วยตัวเอง แต่ผมก็ยุ่งเกินไป จึงตั้งใจจะให้เขาสรุปเนื้อหาให้ฟัง เพราะเขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลทั้งหมดหลังจ้างนักสืบเอกชนให้ดำเนินการ แต่ตอนนี้เขากลับออกไปเสียแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะโทรตามเขา แต่ผมกลับหยุดมือไว้ก่อน สายตาเลื่อนไปที่รายงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ทับกับกองเอกสารมากมายที่ผมยังต้องอ่านมันการอ่านรายงานคงใช้เวลาไม่เกินสามสิบนาที ดังนั้นแทนที่จะเรียกให้ผู้ช่วยทิ้งงานของตัวเองแล้วมาสรุปรายงานให้ผมฟัง ทั้งที่ผมแค่อ่านผ่าน ๆ เอาเองก็ได้ ผมจึงวางโทรศัพท์ลงและหยิบรายงานนั่นขึ้นมาแทน ผมเปิดดูคร่าว ๆ ทันที ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้น มัน
ลูคัสถอนหายใจ ก่อนจะตอบว่า "เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ผมกลับมาไง" "พวกเขา?" คิ้วฉันขมวดเข้าหากันขณะมองเขาอย่างงุนงง "ใครไม่ยอมให้คุณกลับมาเหรอ?" ขนตาของเขากวาดลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มขมขื่น "คนในครอบครัวของผมน่ะ" คิ้วฉันขมวดลึกขึ้นขณะที่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ฉันส่ายหน้า "ฉันงงไปหมดแล้ว ช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยได้ไหม?" "แบบว่า…ที่คุณเพิ่งรู้ว่าผมกับมาร์คเกี่ยวข้องกัน เพราะจริง ๆ แล้วผมเป็นลูกนอกสมรส ตอนแรกครอบครัวไม่ยอมรับผม ผมเป็นความลับอันโสมมที่ไม่เคยถูกพูดถึงหรือเอ่ยถึง ถูกซุกซ่อนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล พ่อของผมคือสามีผู้ล่วงลับของดอริส ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์เดียวที่เชื่อมผมเข้ากับครอบครัวนี้ ตอนที่พ่อกำลังจะเสีย สิ่งที่เขาปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือให้ครอบครัวดูแลผมอย่างดี พวกเขาจึงรับผมกลับมาอย่างเสียไม่ได้" ฉันขมวดคิ้ว "งั้นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ว่าพ่อของคุณไม่มีเวลาให้คุณ แต่เขา…" ฉันหยุด แล้วกระซิบออกมา "ป่วย" เขาพยักหน้าช้า ๆ อย่างสงบ ฉันอยากถามเขาว่า ‘แล้วแม่ของเขาล่ะ?’ แต่บางอย่างหยุดฉันไว้ ถ้าเขาอยากพูดถึงแม่ เขาคงจะพูดเอง ถ้าเขาไม่อยากพูด ฉันก็ไม่มี
ฉันพยักหน้าช้า ๆ แต่ก็ยังสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า "คุณรู้ได้ยังไงว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า?" เขาพยักหน้าไปทางกระเป๋า "ซิปมันเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งน่ะสิ" ฉันก้มลงมองแล้วสบถออกมา "บ้าเอ๊ย!" ฉันรีบวางมันบนตักและตรวจดูว่ามีอะไรหล่นออกไปหรือเปล่า ซิปคงเปิดตอนที่โจรเหวี่ยงกระเป๋าไปมา หรือไม่ก็ตอนที่ลุยจิแย่งมันมา ฉันรู้สึกถึงสายตาของลูคัสที่จับจ้องมา ขณะที่ฉันหยิบแบบร่างออกมาตรวจดู ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดี เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น รู้สึกอึดอัดและต้องการอธิบาย "ฉันกลัวว่าแบบร่างบางแผ่น(ชิ้น)หล่นหายไปน่ะ" ฉันฝืนยิ้ม "แล้วมีอะไรหายไปไหม?" เขาเลิกคิ้วที่ได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบขึ้น "ไม่ค่ะ ทุกอย่างยังอยู่ครบ" ฉันตอบและเริ่มเก็บแบบร่างกลับเข้ากระเป๋า "ขอผมดูหน่อยได้ไหม?" คำขอเบา ๆ ของเขาทำให้ฉันชะงัก ฉันยิ้ม หัวใจรู้สึกอบอุ่นที่เขาสนใจจะดูแบบร่างของฉัน "นี่ค่ะ" ฉันยื่นให้เขา "เชิญคุณดูได้เลย" เขารับกระดาษจากฉันและถือมันไว้อย่างระมัดระวังราวกับมันเป็นอัญมณีล้ำค่า ฉันมองเขาด้วยใจเต้นระทึก ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องที่แบบร่า
เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก