ฉันได้รับวิดีโอลามกมา“คุณชอบแบบนี้ไหม?”ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่ในวิดีโอนี้คือมาร์ค สามีของฉันเอง ฉันไม่ได้เจอหน้าเขามาหลายเดือนแล้ว เขาเปลือยกายล่อนจ้อน เสื้อและกางเกงวางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เขาพยายามดันมังกรยักษ์เข้าไปในร่างกายผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไม่เห็นหน้า หน้าอกอันอวบอิ่มและกลมกลึงกระเด้งกระดอนอย่างแรง ฉันได้ยินเสียงกระแทกกระทั้นในวิดีโอนั้นอย่างชัดเจน ผสมกับเสียงครวญครางและคำรามอันเร่าร้อน“นั่นแหละ แบบนั้นแหละ กระแทกมาแรง ๆ เลยที่รัก" ผู้หญิงคนนั้นโต้ตอบด้วยร้องครางอย่างมีความสุข“ยั่วสวาทจริง ๆ เลยนะ!” มาร์คลุกขึ้นยืนแล้วพลิกตัวเธอให้คว่ำลง พร้อมตบก้นเธอและพูดว่า "แอ่นก้นขึ้นมา!”ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะอย่างแผ่วเบา พลิกตัวคว่ำลง ส่ายก้นไปมา แล้วนอนคุกเข่าอยู่บนเตียง ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเทน้ำในกระติกน้ำแข็งราดมาบนหัว การที่สามีนอกใจก็แย่พออยู่แล้ว แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผู้หญิงคนนั้นคือเบลล่า ผู้เป็นน้องสาวของฉันเองฉันปล่อยให้วิดีโอเล่นต่อไป โดยดูและฟังพวกเขาสองคนบรรเลงเพลงรักกัน ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงครวญครางของพวกเขา ฉันก็รู้สึกเ
สายลมอ่อน ๆ ในยามค่ำคืนยังคงพัดเส้นผมไปมา ขณะที่ฉันยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับมีกระเป๋าเดินทางวางอยู่ข้าง ๆ ในที่สุด ฉันก็ออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วเมื่อเดินไปบนถนนได้ไม่ไกลนัก ฉันก็สังเกตเห็นไฟหน้ารถคันหนึ่งกะพริบเจิดจ้าเข้ามาหา แล้วรอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก เนื่องจากจำได้ทันทีว่าคนคนนั้นเป็นใครรถสปอร์ตสีแดงสดใสแล่นเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าฉัน และมีผู้หญิงที่ดูสดใสยิ่งกว่านั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เธอกระดิกนิ้วเรียกฉันในขณะลดกระจกลงเกรซนั่นเองเกรซไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเท่านั้น แต่ยังเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจด้วย เราสองคนไม่เคยแยกจากกันเลยนับตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันมา และด้วยความที่เราทั้งสองคนหลงใหลในแฟชั่นเหมือนกัน เราจึงตัดสินใจทำความฝันให้เป็นจริง ด้วยการร่วมกันก่อตั้งลักซ์ โว้คขึ้นมา ซึ่งเป็นเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ล้ำสมัย และกลายเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มผู้นำเทรนด์รุ่นใหม่ในเวลาอันรวดเร็วเกรซมีสายตาที่เฉียบคมมากในเรื่องการดีไซน์ เธอจึงรับหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าสวย ๆ ในคอลเลคชั่นต่าง ๆ ในขณะที่ฉันพุ่งความสนใจไปที่การออกแบบเครื่องประดับของอเทลิเย่ ซึ่งเป็นสตูดิโอแ
มุมมองของมาร์คผมขับรถเข้าไปในทางเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้า เป็นวันยาวนานอีกวันหนึ่งทั้งจากการทำงานและเรื่องสนุก ๆ ที่ทำให้ผมหมดแรง และสิ่งเดียวที่ผมต้องการก็คือการผ่อนคลายและพักผ่อน ผมก้าวออกจากรถแล้วคลายเนกไทออก อยากเดินเข้าไปด้านในเต็มทนและได้พักผ่อนในที่สุด เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ผมมองเห็นซิดนีย์นั่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองผมด้วยสายตาอันว่างเปล่าเหมือนเคย ผมแทบจะไม่ชายตามองเธอเลยในขณะที่มุ่งตรงไปที่ห้องทำงาน“ฉันต้องการหย่า" ซิดนีย์พูดออกมาก่อนที่จะผมจะเดินไปถึงห้องทำงานด้วยซ้ำไปหย่าหรือ? คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวผมก็คือคำว่าไร้สาระ และช่างเป็นอะไรที่ไร้สาระจริง ๆ ธุรกิจครอบครัวของพ่อแม่ซิดนีย์ได้ให้บริษัทจีที กรุป ซึ่งเป็นบริษัทของผมยืมไปใช้ นี่เป็นสัญญาที่ให้ประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายในทุกแง่มุม ซิดนี่ย์เป็นเพียงผู้หญิงที่ผมแต่งงานด้วย ที่ต้องพึ่งพาผมและพ่อแม่ของเธอเพื่อความอยู่รอดหย่าหรือ? เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีใหม่ในการเรียกร้องความสนใจของเธอ อย่างที่เธอชอบทำนั่นแหละ เดิมทีเธอมีท่าทีน่าสงสาร ซึ่งเพียงพอจะทำให้คนนอกเชื่อว่าเธอได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเกิดเรื่
มุมมองของซิดนีย์ทันทีที่ฉันกลับมายังสนามบิน ฉันก็เห็นเกรซโบกมือให้อย่างกระตือรือร้นจากอีกฝั่งหนึ่ง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนริมฝีปากเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ทริปแสนสั้นของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว และอาจพูดได้เลยว่าสามเดือนที่ผ่านมานั้น เป็นสามเดือนที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตในรอบหลายปีฉันลากกระเป๋าตามหลังให้เร็วขึ้นแล้วรีบวิ่งไป พร้อมทั้งโบกมือกลับไปให้เกรซและรีบวิ่งไปหาตรงที่เธอยืนอยู่ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สังเกตเห็นหรอกนะ แต่มีคนคุ้นเคยเดินผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว ฉันอดที่หันไปมองไม่ได้ ฉันสาบานได้เลยว่าฉันรู้จักแผ่นหลังนั้น ไม่มีใครจะบอกเป็นอย่างอื่นได้ ต้องเป็นมาร์คไม่ผิดแน่ เป็นเขาแน่ ๆฉันดูไม่ผิด ฉันยืนยันกับตนเองตอนที่หยุดหันไปมองคนคนนั้น เขาคือมาร์ค ฉันไม่มีทางพลาดได้หรอก เขาเดินแบบก้าวเท้าเร็ว ๆ เหมือนเคย เขามองไม่เห็นฉัน? หรือว่าเขาอาจจำฉันไม่ได้อีกแล้วมั้ง? ฉันหายไปแค่สามเดือนเอง แต่ถ้านั่นเป็นเวลาที่เพียงพอจะทำให้เขาไม่รู้ว่าฉันเป็นใครอีกครั้งจากแค่มองเพียงแวบเดียว ก็นับว่าประสบความสำเร็จที่สามารถลบผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักออกไปจากชีวิตได้ แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ของฉันตอนนี้ ฉัน
มุมมองของซิดนีย์"ผมโยนไอ้กระดาษบ้าบอพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสารแล้ว" เขาขึ้นเสียง "ผมได้ยกเลิกการประชุมสำคัญไปเพราะคุณเลย จะให้เสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว"เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขายังเป็นผู้ชายขี้โมโหและใจร้อนซึ่งฉันไม่ได้ใส่ใจอีกแล้ว เขาคิดว่าโลกหมุนอยู่รอบตัวเขามากกว่าจะเป็น "โลกของฉัน" ถ้าเขาไม่อยากให้เวลาสูญเปล่าล่ะก็ มาตามฉันกลับไปมาทำไมกันเล่า?ไม่ว่าเขาจะโยนเอกสารพวกนั้นเข้าไปในเครื่องทำลายเอกสาร หรือเผาให้เป็นเถ้าถ่านด้วยไฟแช็กจากห้องทำงานของเขา หรือเก็บเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของฉันฉันก้าวถอยห่างออกจากประตู แล้วจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างโกรธเกรี้ยว“ฉันตั้งใจจะหย่ากับคุณอย่างเป็นจริงเป็นจังนะ ถ้าคุณไม่ยอมรับการหย่านี้ล่ะก็ ฉันก็จะต้องยื่นฟ้องหย่าคุณแล้วล่ะ แน่นอน มันจะยิ่งทำให้คุณเสียเวลา "อันมีค่า" เข้าไปกันใหญ่นะ คุณผู้ชาย!” ฉันประกาศออกไปอย่างชัดเจนณ ตอนนี้ จิตใจของฉันก็หวนนึกไปถึงผู้ชายที่อาจยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้าน ฉันยังอยู่หน้าประตูเพื่อคอยบังไม่ให้มาร์คแอบมองเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นข้างใน เรื่องนี้อาจจะยิ่งลุกลาม
มุมมองของมาร์คผมร้องครวญครางออกมาในขณะพลิกตัวอยู่บนเตียง หัวปวดตุบ ๆ จนต้องจับหัวเอาไว้ในขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง ผมมองไปรอบ ๆ แล้วสงสัยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่บ้าน ผมน่าจะอยู่ในที่ทำงานมากกว่านะผมคว่ำหน้าลงบนฝ่ามือแล้วพยายามเรียบเรียงเรื่องราว แล้วใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีความทรงจำก็กลับคืนมาผู้ช่วยสามารถระบุได้ว่าซิดนีย์อยู่ที่ไหน และผมได้ทิ้งงานที่ทำอยู่ทั้งหมด เพื่อไปพูดคุยให้เธอเข้าใจ ผมจำได้ว่าผมได้สั่งให้เธอเดินตามผมไป แล้วจากนั้น...ผมขมวดคิ้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดมิดไปหมด“นังบ้านั่น! กล้าดียังไงมาตีหัวผมเนี่ย?” ผมกัดฟันแน่นในขณะลุกขึ้นจากเตียง ผมเหลือบเห็นยาในลิ้นชักในขณะเดินโซซัดโซเซออกจากห้องเธอเป็นอะไรของเธอ? ทำไมถึงได้ทำอะไรเกินเลยไปถึงขนาดนี้? ผมคิดมีเสียงไม้กระทบผนังดังก้องไปทั่วบ้าน ในขณะที่ผมผลักประตูทุกบานให้เปิดออก“อยู่ที่ไหนเนี่ย?!”คนงานในบ้านยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น บางคนถึงกับสะดุ้งทุกครั้งที่มีการกระแทกประตูผมถามว่าเธออยู่ไหนเป็นสิบ ๆ ครั้ง แล้วพวกเขาก็ตอบผมกลับมาเป็นสิบ ๆ ครั้งว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน พวกเขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเรื่องที่บอกกับผมเ
มุมมองของซิดนีย์ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้เลย เมื่อได้รับออเดอร์พิเศษครั้งที่สี่ของวันนั้นโดยปกติแล้ว อเทลิเย่จะได้รับออเดอร์เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และพนักงานของเราก็จะดูแลออเดอร์พวกนี้ แต่ถ้ามีออเดอร์เครื่องประดับแบบสั่งทำพิเศษ ออเดอร์พวกนั้นก็จะส่งตรงมาถึงฉันบนหน้าจอมีออเดอร์สั่งทำเครื่องประดับสองชิ้นจากผู้ช่วยของมาร์ค ซึ่งมีระบุในช่องสอบถามความชื่นชอบว่าให้ดู 'โดดเด่น' จากเครื่องประดับชิ้นไหน ๆ ของเรา จากนั้นเขาก็ลงท้ายด้วยคำว่า 'บอกราคามาเท่านั้น'นับเป็นเรื่องปกติ มีแค่มาร์คเท่านั้นที่ทะนงตัวถึงขนาดทำให้คำขอฟังดูเป็นการดูถูกเหยียดหยามได้ ผู้ช่วยของมาร์คเป็นคนสั่งออเดอร์นี้ แต่ฉันแน่ใจว่าออเดอร์นี้ทำขึ้นในนามของมาร์ค ผู้ช่วยของเขาไม่มีปัญญาซื้อเครื่องประดับแบบสั่งทำพิเศษของอเทลิเย่ให้กับตัวเองได้หรอกฉันนั่งหมุนตัวอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับผิวปาก "ได้เวลากอบโกยเงินอีกหลาย ๆ ล้านแล้วสิเนี่ย"ฉันหันกลับไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊ก อ่านประโยคสุดท้ายนั่นอีกครั้ง แล้วฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม "โอ๊ย จะตั้งใจตั้งราคาเลยค่ะ"ทีแรก ฉันก็สงสัยนะว่าเขาจะซื้อของขวัญให้ใคร แต่แล้วก็มีเพียงเบลล่าเท่านั้นที่แวบ
มุมมองของมาร์คมีคนมาเคาะประตูที่ห้องผม“เข้ามา" ผมตะโกนบอกไปโดยไม่ละสายตาจากแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้าผมได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดในขณะเปิดประตู แล้วมีเสียงของผู้ช่วยของผมลอยเข้ามา "ลักซ์ โว้ค ตอบกลับมาแล้วครับท่าน"“อืมมม" ผมพึมพำและพยักหน้า "สร้อยคอจะเสร็จเมื่อไหร่?”“ไม่ใช่เรื่องสร้อยคอครับท่าน แต่เป็นเรื่องข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการที่เราส่งไปให้พวกเขาครับ"ผมเงยหน้าขึ้นแล้วดันเก้าอี้ไปข้างหลัง "โอ้ จริงด้วย เราจะพบปะพูดคุยกันเพื่อสรุปการส่งมอบเว็บไซต์ได้เมื่อไหร่?” ผมถามช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่อเทลิเย่ก็เป็นหุ้นส่วนกับเว็บไซต์ที่ผมจับตามองมาหลายเดือนแล้ว พวกเขาไม่ได้โต้ตอบอะไรมาหลายเดือน แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมสั่งให้ผู้ช่วยของผมส่งอีเมลถึงพวกเขาอยู่เรื่อย ๆหลังจากเบลล่ากลับไปแล้ว ผมก็สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอเทลิเย่ด้วยตัวเอง เบลล่าพูดถูกทุกอย่าง! พวกเขาทำเครื่องประดับออกมาสวยงามมาก คุณภาพอัญมณีเยี่ยมยอด ซึ่งทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และทำให้ผมรู้สึกมั่นใจว่าการซื้อเว็บไซต์นี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง การที่มีหนึ่งในบริษัทที่เราดูแลอยู่เข้าไปร่วมงานกับสตูดิโอย่างอเทลิเย่ ก็จะช่วย
มุมมองของซิดนีย์ ฉันเงยหน้าขึ้นมองพาดหัวข่าวที่เพิ่งเด้งขึ้นมาบนแถบแจ้งเตือน หัวข้อข่าวที่สะดุดตาเขียนว่า - "หญิงเจ้าเล่ห์แท้งลูก ทำตั๋วเข้าสู่ความมั่งคั่งหลุดลอยไป" ภาพมาร์คอุ้มเบลล่าที่โชกไปด้วยเลือดเข้าสู่รถพยาบาลถูกแนบมากับโพสต์ข่าว แม้ว่าจะมีโมเสคบาง ๆ เบลอใบหน้าพวกเขาเอาไว้ แต่คนที่คุ้นเคยกับวงสังคมชั้นสูงย่อมจำพวกเขาได้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเบลล่าเพิ่งอวดภาพการตั้งครรภ์ของเธอไปทั่วโซเชียลมีเดีย “พวกเขาทะเลาะกันหรือเปล่านะ?” ฉันนึกสงสัยด้วยความอยากรู้ แต่ความสงสัยนั้นก็ไม่ได้มากพอจะทำให้ฉันเสียสมาธิจากงานมาเปิดข่าวอ่านฉันถอนหายใจแล้วปัดหน้าจอไปยังรูปตัวอย่างของเครื่องประดับที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งแต่แรก ฉันเปรียบเทียบกับแบบร่างที่ฉันร่างไว้แล้วส่ายหัวเบา ๆ ฉันพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ ฉันมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และสิ่งที่ฉันวาดไว้นั้นก็ดูสวยงามกว่าด้วยซ้ำไป ลูกค้าได้ขอให้สตูดิโอของเราปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย และสิ่งที่ฉันทำอยู่ตรงนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยม ฉันมั่นใจว่าลูกค้าจะต้องถูกใจแน่ ฉันวางโทรศัพท์ลงและเริ่มเติ
ความโกรธพลุ่งพล่านในตัวผม ทั้งแทนซิดนีย์และตัวผมเอง ผมมองเธอด้วยสายตาดูแคลน "ไม่จำเป็นต้องโยนความผิดให้ซิดนีย์เหมือนที่คุณทำมาตลอด ไม่ต้องกลบเกลื่อนคำโกหกของคุณด้วยการทำให้เธอดูแย่ด้วย เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย ผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานแล้ว ตั้งแต่หย่ากันด้วยซ้ำ เพราะงั้นอย่าเอาเธอเข้ามาเกี่ยว" "เชื่อฉันสิ ตั้งแต่ซิด…" ผมหลับตาและกัดฟันแน่น พยายามควบคุมความโกรธ แต่เธอกำลังทำให้มันยากขึ้น "หยุดพูดได้แล้ว เบลล่า ผมไม่อยากฟังคำโกหกที่คุณแต่งขึ้นมาอีกแล้ว ผมได้ยินมามากพอแล้ว" "มาร์ค…" "คุณควรพักผ่อน" ผมตัดบทเธออีกครั้ง "ผมจะไปแล้ว ผมจะติดต่อไมเคิลกับคลาริสสาให้มาดูแลคุณ" เลือดเหมือนจะหายไปจากใบหน้าของเบลล่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง เสียงและร่างกายของเธอสั่นสะท้าน "คุณจะเลิกกับฉันใช่ไหม?!" ผมเลิกคิ้วขึ้น "เราเคยเป็นอะไรกันด้วยเหรอ? เราไม่เคยตกลงอะไรกันอย่างเป็นทางการ คุณกลับมาจากทริปแล้วก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผมโดยไม่มีคำพูดอะไร แล้วคุณก็เอาการตั้งครรภ์ที่ไม่ใช่ลูกของผมมามัดผมมือชกอีก ผมอยู่กับคุณเพราะคุณทำให้ผมต้องอยู่…" "คุณพูดแบบ
"เธอฟื้นหรือยังครับ? ผมเข้าไปหาเธอได้ไหม?" ในที่สุดผมก็สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ หมอส่ายหน้า "เธอยังไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาสลบ ตอนนี้เธอกำลังจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นแล้ว รออีกสักหน่อย เธอก็น่าจะฟื้นแล้ว" "ขอบคุณครับ" หมอพยักหน้าแล้วเดินจากไป ผมนั่งอยู่ที่แผนกต้อนรับ พยายามใจเย็นขณะที่รอให้เบลล่าฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งพยาบาลเดินเข้ามาหาผม "คุณมาร์ค ผู้หญิงที่คุณพามาได้ถูกย้ายไปยังห้องพักคนไข้แล้วค่ะ และเธอก็ฟื้นแล้วด้วย ถ้าคุณพร้อมเข้าไปหาเธอ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องของเธอนะคะ" ผมลุกขึ้นและพยักหน้า "พาผมไปได้เลยครับ" เธอเดินนำไปและผมเดินตามเธอ เราผ่านห้องหลายห้องก่อนที่เธอจะหยุดที่หน้าประตู เธอเปิดประตู "นี่ค่ะห้องพักฟื้นของเธอ" ผมเดินเข้าไปในห้อง และพยาบาลก็เดินออกไป ศีรษะของเบลล่าหันไปอีกด้าน เธอสวมชุดของโรงพยาบาลและมีหมวกคลุมผมอยู่ ผมจินตนาการว่าเธออาจกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ขณะที่หันหน้าหนีไปอีกทาง"เบลล่า" ผมเรียกชื่อเธอเบา ๆ และเธอก็หันมาทันที ใบหน้าของเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ ผมเดาว่าเธอคงจะร้องไห้หรือไม่ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบ ๆ เพราะทันทีที่สายตาของเธอจับจ้
มุมมองของมาร์คผมวิ่งตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหามเธอเข้าไปในโรงพยาบาล ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย ในตอนที่ผมตะโกนขอความช่วยเหลือหลังจากเบลล่าเริ่มมีเลือดออก แต่ทันทีที่ผมลงมาชั้นล่าง รถพยาบาลก็มาถึง ทันทีที่ผมขึ้นรถพยาบาล ผมจับมือเธอไว้ ผมเรียกชื่อเธอหลายครั้ง หวังว่าเธอจะลืมตาขึ้น แต่เธอก็ยังคงหลับตาอยู่ หมอพรวดพราดออกมาจากมุมหนึ่ง โดยมีหูฟังแพทย์ห้อยอยู่บนคออย่างไม่เรียบร้อย ขณะที่เราทั้งสองรีบเดินตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหาม ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง "ผมคิดว่าเขาต้องทำร้ายเธอแน่ เพราะเธออยู่ดี ๆ ก็เริ่มมีเลือดออก" หมอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องที่พวกเขาเข็นเธอเข้าไป เธอถูกย้ายขึ้นเตียงโรงพยาบาลแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้อง จึงยืนอยู่ข้างนอกและมองผ่านกระจกฝ้าบนประตู หมอส่ายหน้าในขณะที่ตรวจเธอ จากนั้นเขาพูดบางอย่างกับพยาบาลที่อยู่ด้วย พวกเธอพยักหน้าและรีบออกจากห้องไป "ขอโทษนะคะ" พวกเขาพูดพร้อมกันเบา ๆ ผมจึงหลบให้พวกเขาผ่านไป จากนั้นหมอก็ออกมาด้วยเช่นกัน เขาบอกกับผมทันทีว่า "อาการของเธอวิกฤตมาก ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน เราจะย้ายเธอไปยัง
ผมขึ้นรถและขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มุ่งตรงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ตั้งแต่วันที่เธอปฏิเสธที่จะมางานฉลองวันเกิด เธอก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านของผมอีกเลย ดังนั้นมันคงสมเหตุสมผลถ้าเธอจะอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง หรือบางทีเธออาจไปหาที่ร้องไห้บนไหล่ของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมจะได้รู้เมื่อไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ผมไม่สนใจที่จะขับรถเข้าทางจอดรถอย่างถูกต้อง แค่หยุดรถทันที ดับเครื่องยนต์ และพุ่งขึ้นบันไดไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ทันทีที่ผมไปถึงหน้าประตู ผมก็ไม่ลังเลที่จะทุบกำปั้นลงบนประตู "เบลล่า!" ผมตะโกนออกไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่อัดแน่น ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมยังคงทุบกำปั้นลงบนประตู ผมยกกำปั้นขึ้นเพื่อเคาะอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่ เมื่อเสียงบทสนทนาดังแว่วเข้าหู ผมชะงักไปและปล่อยมือค้างอยู่ในอากาศ จากนั้นเสียงเหล่านั้นก็ดังขึ้นและชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งเสียงของเบลล่าดังทะลุประตูออกมา "ฉันไม่มีเงินให้คุณอีกแล้ว ไอ้ผีพนันเอ๊ย! ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงของเธอดูหงุดหงิด และจากระดับความดังของเสียงก็พอจะบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธจัดเสีย
มุมมองของมาร์ค"นี่คือรายงานของคุณเบลล่าที่ขอให้ตามสืบครับ" ผมได้ยินผู้ช่วยส่วนตัวพูด ผมพึมพำตอบกลับไป จากนั้นอีกสองสามวินาทีต่อมา ผมก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารที่มีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับนักลงทุนรายล่าสุดของจีที กรุ๊ป เพียงเพื่อจะเห็นแค่แผ่นหลังของผู้ช่วยส่วนตัวที่รีบเดินออกจากห้องไป ผมหยุดและนึกสงสัยว่าเขาจะรีบไปไหน พลันเบี่ยงสายตากลับมายังรายงานซึ่งผมมอบหมายให้เขาไปจัดการที่เขาเพิ่งนำมาวางไว้ให้ แม้ผมจะอยากอ่านรายละเอียดทุกอย่างในรายงานด้วยตัวเอง แต่ผมก็ยุ่งเกินไป จึงตั้งใจจะให้เขาสรุปเนื้อหาให้ฟัง เพราะเขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลทั้งหมดหลังจ้างนักสืบเอกชนให้ดำเนินการ แต่ตอนนี้เขากลับออกไปเสียแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะโทรตามเขา แต่ผมกลับหยุดมือไว้ก่อน สายตาเลื่อนไปที่รายงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ทับกับกองเอกสารมากมายที่ผมยังต้องอ่านมันการอ่านรายงานคงใช้เวลาไม่เกินสามสิบนาที ดังนั้นแทนที่จะเรียกให้ผู้ช่วยทิ้งงานของตัวเองแล้วมาสรุปรายงานให้ผมฟัง ทั้งที่ผมแค่อ่านผ่าน ๆ เอาเองก็ได้ ผมจึงวางโทรศัพท์ลงและหยิบรายงานนั่นขึ้นมาแทน ผมเปิดดูคร่าว ๆ ทันที ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้น มัน
ลูคัสถอนหายใจ ก่อนจะตอบว่า "เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ผมกลับมาไง" "พวกเขา?" คิ้วฉันขมวดเข้าหากันขณะมองเขาอย่างงุนงง "ใครไม่ยอมให้คุณกลับมาเหรอ?" ขนตาของเขากวาดลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มขมขื่น "คนในครอบครัวของผมน่ะ" คิ้วฉันขมวดลึกขึ้นขณะที่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ฉันส่ายหน้า "ฉันงงไปหมดแล้ว ช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยได้ไหม?" "แบบว่า…ที่คุณเพิ่งรู้ว่าผมกับมาร์คเกี่ยวข้องกัน เพราะจริง ๆ แล้วผมเป็นลูกนอกสมรส ตอนแรกครอบครัวไม่ยอมรับผม ผมเป็นความลับอันโสมมที่ไม่เคยถูกพูดถึงหรือเอ่ยถึง ถูกซุกซ่อนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล พ่อของผมคือสามีผู้ล่วงลับของดอริส ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์เดียวที่เชื่อมผมเข้ากับครอบครัวนี้ ตอนที่พ่อกำลังจะเสีย สิ่งที่เขาปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือให้ครอบครัวดูแลผมอย่างดี พวกเขาจึงรับผมกลับมาอย่างเสียไม่ได้" ฉันขมวดคิ้ว "งั้นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ว่าพ่อของคุณไม่มีเวลาให้คุณ แต่เขา…" ฉันหยุด แล้วกระซิบออกมา "ป่วย" เขาพยักหน้าช้า ๆ อย่างสงบ ฉันอยากถามเขาว่า ‘แล้วแม่ของเขาล่ะ?’ แต่บางอย่างหยุดฉันไว้ ถ้าเขาอยากพูดถึงแม่ เขาคงจะพูดเอง ถ้าเขาไม่อยากพูด ฉันก็ไม่มี
ฉันพยักหน้าช้า ๆ แต่ก็ยังสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า "คุณรู้ได้ยังไงว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า?" เขาพยักหน้าไปทางกระเป๋า "ซิปมันเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งน่ะสิ" ฉันก้มลงมองแล้วสบถออกมา "บ้าเอ๊ย!" ฉันรีบวางมันบนตักและตรวจดูว่ามีอะไรหล่นออกไปหรือเปล่า ซิปคงเปิดตอนที่โจรเหวี่ยงกระเป๋าไปมา หรือไม่ก็ตอนที่ลุยจิแย่งมันมา ฉันรู้สึกถึงสายตาของลูคัสที่จับจ้องมา ขณะที่ฉันหยิบแบบร่างออกมาตรวจดู ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดี เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น รู้สึกอึดอัดและต้องการอธิบาย "ฉันกลัวว่าแบบร่างบางแผ่น(ชิ้น)หล่นหายไปน่ะ" ฉันฝืนยิ้ม "แล้วมีอะไรหายไปไหม?" เขาเลิกคิ้วที่ได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบขึ้น "ไม่ค่ะ ทุกอย่างยังอยู่ครบ" ฉันตอบและเริ่มเก็บแบบร่างกลับเข้ากระเป๋า "ขอผมดูหน่อยได้ไหม?" คำขอเบา ๆ ของเขาทำให้ฉันชะงัก ฉันยิ้ม หัวใจรู้สึกอบอุ่นที่เขาสนใจจะดูแบบร่างของฉัน "นี่ค่ะ" ฉันยื่นให้เขา "เชิญคุณดูได้เลย" เขารับกระดาษจากฉันและถือมันไว้อย่างระมัดระวังราวกับมันเป็นอัญมณีล้ำค่า ฉันมองเขาด้วยใจเต้นระทึก ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องที่แบบร่า
เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก