“เทียน…”
เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไป
หล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เอง
และเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขา
รัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้
สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวง
แล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขา
แล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไป
ภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล่อนทำท่าตะลึงก่อนจะวิ่งผละไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ เขาก้มลงไปมองเด็กหนุ่ม รู้ว่าเด็กคนนี้ยังไม่ตาย แต่เมื่อหันไปทางผู้หญิงอีกคนหนึ่งเขาก็ต้องเบือนหน้าหนี หลังจากไปดูหญิงคนนั้นก่อนหน้านี้เขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นได้ตายแล้ว
ได้ยินเสียงภคินีอาเจียนโอ้กอ้าก…หล่อนอาจจะเกิดอาการคลื่นเหียนขึ้นมาแล้ว
เพราะฝนตกหนักเลยยังไม่มีคนออกมายังที่เกิดเหตุนี่เลย ชายหนุ่มยกมือลูบน้ำฝนออกจากหน้าช้า ๆ
เขาประจักษ์แน่ชัดแล้วว่ามีคนตายคนหนึ่งและอีกหนึ่งบาดเจ็บสาหัส
“ภากร…”
ภคินีตะโกนเรียกชื่อเขา เสียงหล่อนบอกถึงความกลัว และความตกใจพร้อม ๆ กัน
“ไปกันหรือยังคะ”
“เราต้องพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล”
“ไม่…” เสียงภคินีแหลมหลง “นีไม่อยากโดนจับ ไม่อยากเข้าคุก นีกลัว”
“เอาเถอะ” เขาตัดบท ภากรไม่ใช่คนประเภทที่ละเลยกับเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้น เรื่องขับรถชนแล้วหนีเขาทำไม่ได้ เขารู้ว่านี่จะเป็นฝันร้ายติดตัวเขาไปอีกชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ “ผมจะบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจเองว่าผมเป็นคนขับ”
///////////////////////////////////////////////////////////////
“อย่าร้องไห้ได้ไหม”
ภากรหันไปขอร้องภคินี แต่หล่อนก็ไม่ยอมหยุดยังร้องไห้กระซิก ๆ น้ำตาอาบแก้มอยู่ เขากระเถิบกายห่างออกมาอีกหมดแก่ใจที่จะปลอบโยนหล่อน ในเมื่อภคินีไม่ยอมฟังเขาเลย
“ก็กลัวนี่ กลัวจะติดคุก กรไม่น่าเลย ไม่น่าจะเป็นนักบุญ ไม่น่าลงไปดู น่าจะเลย ๆ ไป นีว่านี่จะต้องมีเรื่องแน่ ๆ คนตายคนนึงนะ อีกคนจะตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วเด็กบ้านั่นก็เหมือนจำนีได้ด้วย กระชากจนสร้อยเกือบขาด”
หล่อนยื่นมือข้างซ้ายมาให้เขาดู เพราะตะขอที่ยังแข็งแรงทำให้สร้อยยังอยู่ได้
ภากรเงียบกริบ สองมือบีบเข้าหากันแน่น และเมื่อหลับตาลงเขาก็เห็นภาพหญิงคนตาย ร่างที่ทอดกายเหยียดยาวอยู่บนพื้นถนน ที่ฉ่ำนองไปด้วยน้ำฝนและมีเลือดท่วมกาย ดวงตาเบิกค้าง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปข้างหน้าสุดเหยียดเหมือนจะไขว่คว้าหาอะไรบางอย่าง
เด็กคนนั้น…เด็กหนุ่มที่เขาอุ้มมาขึ้นรถพาส่งโรงพยาบาล ยังหายใจอยู่เมื่อเขาประคับประคองให้นอนบนเบาะหลัง กำมือข้างหนึ่งแน่น ในมือนั่นคงจะเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของลูกกระพรวนที่ดึงเอาไปจากข้อมือของภคินีแน่นอน
เด็กคนนั้นคงจะตกใจสุดขีด ถึงกระชากรุนแรงเพียงนั้น ทำให้สร้อยเบี้ยวเสียรูป…เขานึกอะไรออกอย่างหนึ่งแล้ว เมื่อลืมตาขึ้น
“นี…ขอสร้อยนั่นให้ผมเถิด”
“ทำไม…”
“มันเป็นหลักฐานนะ…”
อย่างลนลานเขาเห็นภคินีรีบถอด เขายื่นมือไปข้างหน้าให้หล่อนสวมให้เขาอีกด้วย ก่อนจะนิ่งกันไปทั้งสองคน
ภากรนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาพาเด็กหนุ่มคนนั้นส่งโรงพยาบาลเอกชนที่ครอบครัวของเขารักษาตัวกันเป็นประจำ เจอหมอเวรที่เป็นหมอประจำตัวของพ่อ หมอจับตัวเขากับภคินีเข้าไปไว้ในห้องพัก กันเขาออกจากเรื่องต่าง ๆ รวดเร็วยิ่ง และให้เขาโทร.กลับไปบ้าน หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพ่อก็มาถึง
พ่อสั่งให้เขาปิดปากตัวเองให้สนิท แล้วเขากับภคินีก็ถูกส่งกลับมาบ้าน พ่อบอกว่าพ่อจะจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย
เขาเชื่อพ่อ ไม่มีเรื่องใดที่พ่อลั่นวาจาแล้วพ่อทำไม่สำเร็จ
แต่นี่สองชั่วโมงผ่านไปแล้ว พ่อยังไม่กลับมา เขายังอยู่กับเสียงคร่ำครวญของภคินี หล่อนทำให้เขาผิดหวังกับสิ่งที่หล่อนพูดออกมา หล่อนไร้น้ำใจเกินไป เขาไม่อยากจะซ้ำเติมหล่อนว่าเพราะหล่อนคะนองเกินไปนั่นแหละ เขาเตือนหล่อนแล้ว แต่ภคินีไม่เคยยอมฟัง ดีเท่าไหร่ที่รถไม่เสียหลักจนเขากับหล่อนต้องพลอยเจ็บตัวมากไปกว่าอาการขัดยอก
เสียงรถแล่นเข้าบ้าน นั่นเป็นเสียงรถของแม่ เสียงของคุณนายแสงเดือนดังเข้ามาก่อนตัวเสียอีก เสียงเจื้อยแจ้ว ชายหนุ่มนั่งลงในท่าเดิม ภคินีเองก็รีบป้ายน้ำตาออกจากหน้าอย่างรวดเร็ว
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท