“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”
คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย
“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”
ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน
“มีอุบัติเหตุครับแม่”
ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก
“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”
เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว
“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”
“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”
“มันมากกว่านั้น”
เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน
“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”
เธอปฏิเสธ นึกถึงอนาคตของลูกชายที่จะดับวูบลงไป
“พ่อเขาไปแล้วใช่ไหม…ก็ดีนะ…จะได้จัดการเรื่องให้เรียบร้อย…ต้องเรียบร้อย” เธอพึมพำ เมื่อขยับลุกขึ้น “โรงพยาบาลอะไร”
“แม่จะออกไปหรือฮะ”
“ใช่” เธอรับคำ “แม่นั่งรออยู่ที่นี่อีกไม่ได้ แล้วก็…” เธอหันไปมองภคินี “ส่งเพื่อนของลูกกลับบ้านเสียด้วย ดึกมากแล้ว มีเรื่องเดียวพออย่าให้ซ้อนทีละหลาย ๆ เรื่อง แม่จะไปส่งเอง…ลูกไม่ต้องไป อยู่บ้านนะ…”
เหมือนคำสั่ง แต่เธอก็เอาจริง อารมณ์สนุกสนานมาจากงานการกุศลระดับชาติวูบหายไปหมดแล้ว เหลือแต่ความห่วงใยต่ออนาคตของภากร เขายังหนุ่มนัก อายุเพิ่งจะยี่สิบเอ็ด เพิ่งเรียนจบรับปริญญาไปเมื่อวันวาน…เพิ่งก้าวไปทำงานสู่โลกของธุรกิจได้ไม่ถึงปี….แล้วการเรียนต่อที่อเมริกาก็ยังรอให้เขาไปไขว่คว้าเอาความสำเร็จกลับมา
เธอไม่มีวันยอมให้เขาต้องจบสิ้นลงตรงนี้กับการเป็นผู้ต้องหา…เธอยอมไม่ได้ จะเห็นภากรหมดอนาคตไม่ได้ เธอจะต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขให้ผิดเป็นถูก และกันภากรออกมาห่าง ๆ เธอรู้ว่าสามีของเธอก็กำลังทำอยู่แล้ว แต่เธอจะไปช่วยเขาอีกแรงหนึ่ง
“ไปซิ”
เธอหันไปเอ็ดภคินี เห็นเจ้าหล่อนทำหน้าจ๋อย…ต่อหน้าคุณนายแสงเดือน ภคินีไม่กล้าที่จะทำอย่างใจคิดที่เป็นสาวเท่มาดเปรี้ยวก็ดูจะกลายเป็นจืดสนิท
“ยังจะมัวรออะไรอีก”
ภากรเดินออกมาส่งที่รถยนต์ของมารดา เขาสวมกอดภคินีเอาไว้หลวม ๆ กระซิบกับหล่อนเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ …ผมไม่ให้นีต้องมารับผิดแน่นอน อยู่เงียบ ๆ อย่าพูดอะไรเลย”
“ช่วยนีด้วยนะคะ นีกลัว…นีไม่อยากติดคุก”
หล่อนวิงวอนด้วยน้ำตาเต็มหน่วยตา ริมผีปากสั่นน้อย ๆ เหมือนเว้าวอนให้เขาสงสารหล่อนตลอดไป หล่อนคบกับภากรมาหลายปี หล่อนรู้ว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง บางครั้งหล่อนเคยหัวเราะที่ความปรารถนาของเขาทำให้เขาเหมือนคนอ่อนแอ…แต่ตอนนี้หล่อนได้แต่เฝ้าหวังในตัวเขาเพราะหากเขาพูดว่าหล่อนเป็นคนขับ…ทุกอย่างคงจะจบสิ้นเหมือนกัน
แม้หล่อนจะปฏิเสธได้ว่ารถของเขา…แต่พ่อแม่ของเขาร่ำรวย มีอิทธิพลอาจจะทำให้หล่อนดิ้นไม่หลุด
ภคินีนึกถึงเวลาที่จะต้องติดคุก ในเมื่อมีคนตายด้วยคนหนึ่ง…แล้วหล่อนก็ตัวสั่นเป็นลูกนกมาตลอดทาง
คุณนายแสงเดือนมองดูหล่อนหลายหน…อย่างรำคาญแกมสมเพชและชิงชังระคนกัน…ภคินีไม่เหมาะกับภากร…หล่อนเป็นแค่คนชั้นกลาง ไม่ร่ำรวย ไม่มีอะไรดีเด่นพอจะอวดได้ว่าวิเศษ ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง เมื่อตอนรู้ว่าภากรมีใจให้กับภคินีนั้น เธอเกือบจะช็อก แต่เธอก็เป็นแม่ที่ฉลาดพอจะไม่หักหาญเอาแต่ใจตัวเองด้วยการบอกให้เขาเลิกรัก
เธอเย็นชาใส่ภคินี และทำให้ภากรได้เห็นหลายหนแล้วว่าหากเขาเลือกภคินี เขากับเธอย่อมจะบาดหมางกันรุนแรง
การจะส่งเขาไปเรียนต่อที่อเมริกาก็เป็นการพรากจากกันที่นุ่มนวลที่สุด
เธอรู้ว่าภคินีจะไม่มีเงินตามไปเรียนต่อแน่นอน และภากรก็ย่อมจะไม่กล้าเอาเงินของเขาเป็นค่าเดินทางและค่ากินอยู่ของภคินีอีกด้วย
เมื่อรถแล่นผ่านที่เกิดเหตุไปอีกหน ภคินีก็ห่อตัวลงหากหล่อนสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์หายตัวได้ หล่อนคงจะทำแล้วอย่างแน่นอน แต่เมื่อหล่อนทำไม่ได้หล่อนเลยรีบปิดตาแน่นไม่ยอมรับรู้ในสภาพที่เกิดขึ้น
แต่คุณนายไม่รู้ เธอมองไปเบื้องหน้าฝนหยุดไปแล้ว…แต่ท้องฟ้าก็ยังดูหยาดเย็นฉ่ำอยู่ด้วยละอองไอน้ำจนดูเหมือนฟ้าเป็นสีขาวสลัว ๆ
“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะพูดกับเธอ…เรื่องที่เกิดขึ้นเธอต้องไม่พูดมากไป ไม่บอกว่าภากรขับรถชนคนตาย”
ในความมืดของเบาะหลังรถยนต์คันนี้ เธอไม่ได้เห็นว่าภคินีลืมตาขึ้นเบิกโพลงมองมายังเธอ
“ฉันจะจ่ายเงินให้เธอก้อนหนึ่งเป็นค่าปิดปาก…เป็นเรื่องที่รู้กันระหว่างเธอกับฉัน… ขอให้จำเอาไว้อย่างหนึ่งว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย… คืนนี้ผ่านไปอย่างปกติเหมือนทุก ๆ คืน”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงแผ่ว ๆ
“แม้แต่ภากร เธอก็จะไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับเขา…ไม่บอกกับเขาเรื่องที่ฉันให้เงินเธอ”
“ค่ะ”
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท