“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”
น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา
“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”
หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก
“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”
“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”
เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”
เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชาย
สองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้
รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ อีกสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยที่ปรารถนารู้ว่าจะต้องใช้เงินอีกมากนัก
หล่อนจะต้องประหยัด กับการนั่งแท็กซี่มันแพงเกินไป หล่อนบอกลูกด้วยเสียงอันอ่อนโยน
“ยังหัวค่ำอยู่เลยนะลูก เดินไปขึ้นรถเมล์ก่อนดีกว่า”
ชวนกันเดินไปที่ป้ายรถยังคลาคล่ำไปด้วยคน แม้ฝนจะตกพรำ ๆ คนที่จนก็ยังไม่กลัวฝนเหมือนคำพูดประชดประชันที่ว่า ‘อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวอะไรกับฝน’ ปรารถนาแหงนหน้ามองฟ้าขาว ๆ เหมือนจะบอกว่าหล่อนก็ไม่กลัวฝนเหมือนกันไม่ว่าจะตกลงมาอีกมากแค่ไหนก็ตามทีเถิด แต่หล่อนห่วงลูก ไม่น่าลืมหยิบร่มติดมือมาด้วยเลย
รัฐยาตัวเล็กบอบบาง หล่อนกลัวลูกจะเป็นหวัด กางหนังสือพิมพ์ออกคลุมศีรษะให้ลูกแล้วยืนเบียด ๆ กันจนชิดได้ไออุ่นของลูก รัฐยาเป็นเหมือนสมบัติชิ้นเดียวที่หล่อนมี ปรารถนาเคยผิดพลาดมาในอดีต หล่อนท้องโดยไม่อาจจะให้พ่อของลูกรับผิดชอบกับหล่อนและลูกน้อยได้และหล่อนก็ไม่อาจจะบากหน้ากลับไปบ้านไปทนเสียงเยาะเย้ยไยไพ นอกจากอดทนตลอดมา
หล่อนเลี้ยงลูกมาจนได้สิบหกปีเต็ม อย่างยากลำบาก หลายหนที่เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาด หล่อนก็อิ่มเอิบที่ลูกชายเติบโตขึ้น น่ารักเหลือเกิน ไม่เคยพูดหรือทำให้แม่เจ็บช้ำใจสักนิด แม้ลูกจะไม่มีพ่อ ลูกก็ไม่เคยคาดคั้นถามว่าพ่อไปไหน…หลังจากที่หล่อนได้ตัดสินใจบอกกล่าวความจริง ดูเหมือนลูกจะเป็นของหล่อนมากยิ่งกว่าเดิม
“รถมาแล้วฮะ” รัฐยาหันมาบอก เขายังใส่ชุดนักเรียนอยู่ จัดแจงจูงมือแม่ออกไป “แม่ระวังนะฮะ”
เพราะหากก้าวพรวดพราดเร็วไป หลายหนที่ปรารถนาจะพับลงไปง่าย ๆ รัฐยาจับแม่เหมือนแม่เป็นสิ่งเปราะบาง พาแม่ก้าวขึ้นไปบนรถ โดยส่งแม่ขึ้นไปก่อนแล้วจึงตามขึ้นมา
“คนแน่นเชียว”
รัฐยาบ่น ไม่มีที่ให้แม่ได้นั่ง แต่ปรารถนาหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว…ยืนไม่เท่าไหร่หรอก”
หล่อนปลอบลูกชาย แต่ระยะทางก็ไม่ใกล้ หล่อนมาหาหมอไกลบ้านเพราะเขาเป็นหมอที่เก่ง เขาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐในตอนกลางวันและมาเปิดคลินิกตอนเย็น หล่อนไม่มีเวลาจะหยุดไปหาในเวลาราชการได้ เป็นความฟุ่มเฟือยอย่างเดียวที่ปรารถนามีให้กับตัวเอง…หล่อนรักษาตัวกับคลินิก ซึ่งไม่สามารถจะไปเบิกค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทได้
กว่าจะถึงป้ายที่จะลงมืดสนิท ฝนหล่นจากฟ้ามากขึ้นเหมือนฟ้าจะเปิดรั่วออก ปรารถนากับรัฐยาลงมาจากรถตัวสั่นไปด้วยกันทั้งคู่กับเม็ดฝนหนา ๆ นั้น ไม่มีที่ให้หลบฝน ป้ายรถไม่มีศาลาพัก และหากจะมีปรารถนาก็คงจะไม่กล้าพาลูกเข้าไปหลบ เพราะมันมืดจนดูน่ากลัว
“เข้าบ้านเลยดีกว่านะ”
หล่อนชวนลูกชาย รัฐยาจับมือแม่เอาไว้แน่น อีกมือถือถุงยาของแม่เอาไว้ ถนนสายนี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานนัก กว้างเหลือเกิน เวลาข้ามถนนทีไรรัฐยามักจะหวาดกลัวเงียบ ๆ แต่นี่มีแม่ด้วย ไฟถนนก็ไม่มี เม็ดฝนก็หนาไปหมด น้ำฝนเปียกหน้าและคอยจะเข้าตาอีกด้วย
เขามองดูจนไม่มีรถวิ่งมาแล้ว จึงตัดสินใจข้าม…
“ระวังนะฮะ แม่…ค่อย ๆ เดินก็ได้ ไม่ต้องรีบ ไม่มีรถ…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ รัฐยาก็ตัวชาดิก เขาเห็นสีเหลือง ๆ ดูมัว ๆ ตาชอบกล…เพราะเม็ดฝนที่หล่นจากฟ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตานั่นเอง
แสงนั่นมาจากไหนกัน…มาอย่างกะทันหัน รัฐยาแน่ใจว่าเป็นแสงจากหน้ารถยนต์ ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่แหวกเสียงฝน
เสียงที่เสียดแหลม เข้าไปในความรู้สึก เหมือนจะกรีดหัวใจของเขาออกไปเป็นชิ้น ๆ
และเขาก็ห่วงแม่…แม่อยู่ทางซ้ายมือของเขา ทางที่รถพุ่งเข้ามาหา
“ระวัง…แม่”
เขาได้แต่ส่งเสียงร้อง ขาสองข้างของรัฐยาแข็งแรงพอจะก้าวเร็วขึ้นจนเกือบจะเป็นวิ่ง…จังหวะนั้นเองที่หล่อนลืมว่าแม่ไม่ได้แข็งแรงเท่ากับหล่อน ขาของแม่ไม่ดีพอมือของหล่อนกระชากแม่ก็เสียหลัก…เข่าของปรารถนาเหมือนจะทรุดไปก่อน หล่อนล้มลง มือยังอยู่ในมือของรัฐยา แล้วหล่อนก็รู้สึกเหมือนถูกของหนัก ๆ กระแทกเข้าเต็มตัวจนลอยขึ้น มือพลัดหลุดจากมือของลูกชาย เหมือนตัวเองลอยขึ้นสู่ความว่างเปล่า ก่อนจะกระแทกลงบนอะไรบางอย่างที่แข็งจนจุก ขยับอีกไม่ได้
ปากเท่านั้นก็ยังส่งเสียงได้
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท