“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”
ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ
“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”
ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง
“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”
ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว
“ไปเต้นรำกันดีกว่า”
หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากที่สุด เป็นคู่ที่ถูกนินทามากที่สุดว่าจะลงเอยกันหรือไม่
“ภากรกับภคินีนี่จะแต่งงานกันไหม”
เสียงเปรย ๆ ถาม แต่ดวงตายังไม่ยอมมองคลาดไปจากสองร่างที่ออกไปซบกันนิ่งอยู่กลางเวที กับเพลงที่จังหวะไม่ได้ชวนให้ซบกัน
“ดูซิ ทำยังกะว่าอยู่กันสองคนเท่านั้นเอง”
“ก็สองคนมาแต่ไหน ๆ แล้ว นายกรมันเอาใจยายนีเหมือนเอาใจแม่”
กับความอ่อนโยนของภากร มีหลายคนมองไปว่าเขาอ่อนแอเกินไปแต่เขาไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอ เพียงแต่ได้รับการอบรมมาแบบนั้น ให้ปรารถนาพและอ่อนโยนกับเพศหญิงที่อ่อนโยนกว่า สำหรับคนที่ไม่เคยมองอย่างลึกซึ้งก็จะมองเป็นว่าเขาอ่อนแอเกินไปจนยอมให้ภคินีครอบงำเขาได้
แต่ภากรรู้ว่าเพราะเขารักภคินี เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น เชื่อมั่นว่ามันเป็นความรัก
แต่ภคินีซิยังสงวนท่าทีนัก เขาไม่เคยเข้าใจภคินีเลย แม้ในยามที่เขาได้กอดรัดหล่อนเอาไว้ในอ้อมแขนตัวเอง เคลื่อนตัวไปมาบนเวทีชั่วคราวนี้ เขาก็เหมือนได้กอดหญิงแปลกหน้าหล่อนซบอยู่ตรงหัวไหล่เขา
“กรไปนอกคราวนี้ กะไว้ว่าจะไปกี่ปี”
หล่อนมีคำถามที่ทำให้เขาดึงความคิดกลับมา
“ผมว่าจะไม่เกินสองปีนะ จะรีบไปรีบมา”
“นีจะตามไปบ้าง เบื่อจะต้องทำงาน”
แต่ภาษาอังกฤษของหล่อนไม่สู้ดีนัก ภคินีเรียนจบมาอย่างหวุดหวิด หล่อนเบื่อหน่ายการเรียนและเมื่อเข้าทำงานได้ตามการฝากของครอบครัว หล่อนก็บ่นอยู่เสมอว่าไม่อยากทำงาน เข้าไม่เคยเข้าใจว่าภคินีชอบสิ่งใดบ้าง
ดูเหมือนเจ้าตัวความเบื่อนั่น จะไม่เคยไปไกลห่างจากหล่อนเอาเสียเลย
“ขอเรียนภาษาก่อน”
“ตามไปเร็ว ๆ ก็ดีนะ”
เขากระซิบเบา ๆ ข้างหูหล่อน ใบหูขาวสะอาดที่หล่อนไม่เคยใส่ตุ้มหู ไม่มีรอยเจาะเปล่าเปลือยและเล็กกะทัดรัด เป็นจุดที่เขาชอบที่จะเคล้าเคลียเล่นเสมอ
“บางทีเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
หล่อนเงยหน้าขึ้นยิ้ม ดวงตาแพรวพราว
“คุณแม่กรรู้เข้า คงจะขึ้นเครื่องไปฉีกอกเอาน่ะซิ”
ชื่อเสียงของคุณนายแสงเดือนนั้น ภคินีรู้มาเป็นอย่างดี
“ไม่อยากจะเจอ ธันกลัว”
“นี่ผมก็รับปากไว้กับแม่ว่าจะรีบกลับบ้าน กี่ทุ่มแล้วนี่”
เขามองดูเวลา แล้วก็บอกภคินี
“กลับบ้านก่อนดีกว่า” ฟ้าข้างบนดูขาวอย่างประหลาด “เหมือนฝนจะตก ลมแรงด้วย”
พูดยังไม่ทันขาดคำดีนัก ฝนเม็ดเล็ก ๆ หยาดเย็นก็หล่นมากระทบแขนที่พ้นจากเสื้อปกปิด
“ผมไม่ชอบขับรถตอนฝนตก”
“นีขับให้ก็ได้”
หล่อนบอก ยอมเดินตามเขากลับมาที่โต๊ะ และเมื่อภคินีคว้าแก้วเหล้าขึ้นดื่มต่อ เขาอยากจะห้ามแต่เขาช้าไปอีกตามเคย ภคินีดื่มจนหมดแก้ว แล้วถือแก้วเดินไปยังบาร์เล็ก ๆ มุมสนาม หล่อนดื่มจัดเหลือเกิน หลายหนที่ภากรอยากจะเชื่อว่าภคินีติดเหล้าแต่ก็ไม่ปักใจมากนัก เพราะยามดี ๆ ที่หล่อนไม่ดื่มก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง เขาเดินตามไปแตะบ่าหล่อนเบา ๆ
“อีกแก้วแล้วกลับนะ”
บ้านของภคินีอยู่ชานเมืองในสวนแถวฝั่งธน เขาจะต้องไปส่งหล่อนก่อนตามประสาสุภาพบุรุษแล้วค่อยตีรถกลับมาย่านลาดพร้าว ที่พำนักของเขาเอง เขาไม่ชอบถนนสายเปลี่ยวแถวนั้นสักเท่าใด แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้ภคินีได้นั่งแท็กซี่กลับเอง เพราะยิ่งจะทำให้ความห่วงใยของเขาเพิ่มขึ้นอีกเป็นล้นพ้นอย่างแน่นอน
จะฝากหล่อนไปกับเพื่อนคนอื่น เขาก็รู้สึกว่าเขาทำหน้าที่ของตัวเองไม่ครบถ้วน
ฝนหนาเม็ดมากขึ้นเมื่อเขาลากภคินีจากบาร์นั่นได้สำเร็จ หล่อนใกล้จะเมากับน้ำเสียงที่เพี้ยน ๆ และเสียงหัวเราะที่ร่วนเกินไป เขาบอกลาเพื่อน ๆ รีบพาหล่อนมาขึ้นรถ
“ให้นีขับ” หล่อนบอก ผลักเขาออกไปห่างหลังจากไขกุญแจแล้ว “อยากขับรถ”
“ผมขับเองดีกว่า”
“น่าขอขับหน่อย หรือว่าหวงรถใหม่”
หล่อนทำเสียงกระแนะกระแหนเขาเสียอีก
“แม่เพิ่งเปลี่ยนรถให้นี่ หวงนักซิ ถ้าหวงก็ไม่นั่งดีกว่า”
หล่อนสะบัดเสียงเข้าใส่เขา และนั่นทำให้ภากรต้องยินยอมแม้จะหวาด ๆ อยู่กับฝีมือการขับรถของภคินี หล่อนขับรถเร็ว และชอบการ ‘ซิ่ง’ เป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่หล่อนอยู่หลังพวงมาลัยดูเหมือนภคินีจะไม่นึกถึงอนาคตที่ยังหลงเหลืออยู่นอกจากความั่นในอารมณ์เพียงประการเดียวเท่านั้น
“ก็ได้”
พอเขาตกปากอนุญาต หล่อนก็ยิ้มได้หวานแฉล้มดุจดังเดิม และจูบแก้มเขาอย่างเอาใจอีกทีหนึ่ง ก่อนจะกระวีกระวาดไปนั่งหลังพวงมาลัย ปล่อยให้ภากรขึ้นนั่งอีกด้านด้วยท่าทีเซ็ง ๆ
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน“มีอุบัติเหตุครับแม่”ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”“มันมากกว่านั้น”เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”เธอปฏิเสธ นึก
“เทียน…”เสียงของหล่อนกรีดแหลม…แล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ดวงตาของหล่อนยังลืมกว้าง และมือก็ไขว่คว้ายืนออกไปหล่อนไม่เห็นว่าห่างจากหล่อนไปไม่มากนัก รัฐยากระเด็นไปตกลงตรงนั้น…รัฐยายังรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้…แต่เขาขยับตัวอีกไม่ได้ รู้สึกมึนงง ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เหมือนจะมาจากที่อันไกลแสนไกล เขาจำได้ว่าเป็นเสียงแม่… แต่เขาขานรับไม่ได้… เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอของเขานี่เองและเขาก็เห็นใครคนหนึ่ง…ผู้หญิง…เห็นเป็นเงาพร่า ๆ เลือน ๆ จนมองหน้าไม่ถนัด เห็นผู้หญิงคนนั้นย่อตัวลงมามองเขาใกล้ ๆ และทำให้ได้เห็นอะไรบางอย่างวูบวาบเข้านัยน์ตาของเขารัฐยายกมือขึ้น แล้วก็คว้าจับเอาไว้ได้สร้อยข้อมือนั่นเอง ที่เป็นแวววับนั่น ในสำนึกที่ขาดวิ่นไป เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่เขาพยายามจะจดจำมันให้ได้ เพราะมันเป็นสร้อยเส้นที่แปลกตา เป็นแบบที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก มันมีลูกกระพรวนเล็ก ๆ เกือบจะรอบวงแล้วเขาก็กระตุกมืออย่างแรง เม็ดเล็ก ๆ ของกระพรวนนั่นเม็ดหนึ่งอยู่ในมือของเขาแล้วรัฐยาก็แน่นิ่งไปภคินีผวาลุกขึ้น สร้อยไม่ทันขาดแต่ก็ทำให้หล่อนตกใจสุดขีด… พอดีกับภากรตามเข้ามา เขาเห็นหล
“ฝนตกทุกวันเลย เบื๊อเบื่อ”น้ำเสียงใส ๆ อ่อน ๆ บ่นออกมาเมื่อออกจากร้านหมอ เปิดประตูกระจกก้าวออกสู่ทางเท้าด้านนอก ก็เห็นเม็ดฝนกำลังเปาะแปะอยู่ หนุ่มน้อยยื่นมือออกไปก่อนจะหดกลับมา“ไม่ได้เอาร่มมาด้วยซิฮะ”หันมาทางมารดาที่ยังดูสาวพริ้งสำหรับการจะมีลูกชายอายุสิบหก แม้วัยของปรารถนาจะเข้าไปสามสิบแปดแล้ว หล่อนก็ยังดูสาวอยู่มาก จนลูกชายวัยสิบหกเหมือนน้องชายมากกว่าจะเป็นลูก“เอาหนังสือบังไปก่อนจะได้ไหม”“ได้ฮะ แม่ซิฮะจะไม่สบาย ขายิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”เด็กหนุ่มมองมารดาอย่างห่วงใยที่สุด ปรารถนาเป็นโรคกระดูกเสื่อม มันมาไวเกินไปสำหรับอายุขนาดนี้ แต่หล่อนก็ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ หล่อนต้องระมัดระวังค่อนข้างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้“กลับแท็กซี่ดีไหมฮะ”เสียงใส ๆ ถามต่อ แต่ปรารถนาส่ายหน้าโดยเร็ว หล่อนต้องประหยัด แม่ม่ายอย่างหล่อนไม่มีเงินมากนักนอกจากเงินเดือนประจำจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อตัวและลูกชายสองชีวิตกับเงินเดือนสองหมื่น ปรารถนารู้ว่าเป็นภาระแสนสาหัสและเมื่อหันมองรอบตัวหล่อนพบว่ามีกันแค่สองชีวิตที่จะเกื้อกูลกันได้รัฐยาก็ยังเด็กเหลือเกินเพิ่งเรียนมอปลาย กำลังจะสอบเข้ามห
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท