เสียงกรีดร้องของคนในงานดังขึ้น เมื่อกระดาษสำหรับเผาส่งวิญญาณให้คนตายลอยลงมาพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่เปื้อนอยู่ ด้านบนเพดานมีหัวของสุนัขสีดำตกลงมาตรงหน้าเจ้าสาวจนเปื้อนผ้าคลุม เจ้าสาวกรีดร้องสุดเสียงพร้อมกับแขกเหรื่อที่รีบวิ่งหนีออกจากงาน เพราะเกรงว่าจะมีความอัปมงคลติดตัวกลับจวน
“กรี๊ด!!!”
“ยินดีด้วยนะ หลินเสี่ยวถง”
“เร็วเข้า! รีบให้คนมาจัดการ”
หยุนซีลุกและเดินออกจากห้องโถงไปในทันที ท่ามกลางความวุ่นวายที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ไม่นานนางก็กลับไปยังเรือนพักของตัวเอง และเริ่มดึงของที่เก็บไว้ออกมา สองสาวใช้มายืนตรงหน้าพร้อมกัน
“คุณหนู ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"
“ไม่มีคนอยู่แถวนี้แล้วใช่หรือไม่”
“ทุกคนมุ่งไปที่ห้องโถงหมดเลยเจ้าค่ะ รถม้าก็มาจอดรออยู่ประตูหลังแล้ว รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว”
""เจ้าค่ะ""
หลินหยุนซีเดินออกมาจากเรือน และตรงไปยังประตูหลังซึ่งมีรถม้าที่นางจ้างมารอรับอยู่แล้ว สาวใช้ของนางรีบเก็บของที่เหลือขึ้นรถเพื่อรอนาง หยุนซีหันไปมองจวนสกุลหลินเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่เกิดมาจนโตถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยก้าวออกนอกเมืองซานตงเลยสักครั้ง
“จบสิ้นกันเสียที จากนี้ไปข้าจะทิ้งชื่อ “หลินหยุนซี” ไว้ข้างหลัง ไม่หวนกลับมาอีกต่อไป”
เสียงอึกทึกในห้องโถงใหญ่ยังคงดังขึ้นมาต่อเนื่อง ตอนนี้ไม่มีผู้ใดทันสังเกตว่า คุณหนูใหญ่จะแอบหนีออกจากจวนไปแล้ว เพราะกำลังวุ่นวายกับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่ด้านหน้า
“เร็วเข้า! โอ๊ย…เหตุใดจึงปวดท้องเช่นนี้นะ แย่แล้ว โอ๊ย!”
“ท่านแม่…พวกท่านเป็นอะไรกัน”
ทั่วทั้งจวนในตอนนี้เหมือนจะท้องเสียขึ้นมาพร้อมกัน จนหลงลืมเรื่องพิธีแต่งงานกันจนหมด เป้าเซี่ยและจินถานแอบนำผงสลอดมาเคลือบเอาไว้ที่ถ้วยชาของอนุเหวินและคนของนาง เว้นไว้ก็แต่ท่านแม่ทัพ
“ฮูหยิน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ระ เรียกหมอ…เรียกหมอให้ข้า…ไม่ทันแล้ว”
ข่าวว่าจวนแม่ทัพต้อนรับแขกที่มางานแต่งด้วยเลือดสุนัข และมีกระดาษไหว้ศพปลิวว่อนทั่วงาน เป็นที่เลื่องลือในซานตงหลังจากนั้นอีกนาน แต่ผู้ที่วางแผนทำเรื่องนี้ขึ้นมา กลับไม่ได้รอดูผลงานของตัวเอง
“ข้าฝากท่านจ่ายเงินให้สำนักอี้หลุนด้วย พวกเขาจัดการได้อย่างดีเยี่ยมไร้คนสงสัย”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณหนูหลินขอรับ คนของสำนักอี้หลุนจะไปส่งคุณหนูตามคำสั่งพร้อมกับองครักษ์”
“ขอบคุณมาก ไว้พบกันใหม่”
“ไว้พบกันใหม่”
สามวันถัดมา / เมืองม่านโจว / แคว้นเฉิน
“คุณหนูหลิน ถึงแล้วขอรับ”
“ขอบคุณท่านมาก”
เมื่อนหยุนซีเดินลงมาจากรถม้า ก็เห็นร้านค้าขนาดเล็กที่นางให้คนของสำนักอี้หลุนจัดการซื้อเอาไว้ให้
“เมืองม่านโจว ข้ามาแล้ว…”
เมื่อเดินเข้าไปในร้าน นางก็พบกับเจ้าของร้านเดิมที่รอส่งมอบโฉนดร้านค้าให้กับนาง
“แม่นางคือ…”
“ท่านก็คือเถ้าแก่เถาสินะ ข้าน้อย "ไป๋หรูเฟย" นี่คือสัญญาซื้อขายที่ข้าลงนามเอาไว้"
“อ้อ ข้าน้อยขอตรวจสอบสักครู่”
“เชิญ”
นางเลือกมาที่เมืองม่านโจวเพื่อทำการค้า แม้จะเกิดจากครอบครัวขุนนางที่เป็นแม่ทัพ แต่หยุนซีก็ร่ำเรียนวิชาอื่น ๆ มาจากอาจารย์ที่หลากหลายตั้งแต่เด็ก
“ไม่ทราบว่าแม่นางไป๋จะเปิดร้านนี้เพื่อทำการค้าใดหรือขอรับ”
“ที่นี่คนพลุกพล่าน เป็นแหล่งชุมชนเหมาะสำหรับทำร้านขายขนม”
“หา ร้านขนมงั้นหรือ แต่ว่าตรอกมู่เซินก็มีร้านใหญ่อยู่ หากท่านจะเปิด เอ่อ….”
“ข้าไม่ได้จะเปิดแค่ร้านขนมยังทำอย่างอื่นด้วย ท่านบอกว่าที่นี่เคยเป็นโรงน้ำชาและร้านอาหารมิใช่หรือ แม้ว่าจะเล็กแต่ก็อบอุ่น เช่นนั้นข้าก็จะทำอาหารขายด้วย”
“คุณหนูอย่าว่าข้าสอดรู้เลย แต่ทำหลายอย่างเช่นนี้ ท่านคนเดียวจะทำได้หรือ”
“ก็ต้องลองดูกันสักหน่อย ขอบคุณเถ้าแก่มาก”
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ขอให้คุณหนูโชคดี”
เมื่อเถ้าแก่เดินออกไปแล้วหยุนซีก็เดินมาพร้อมกับโฉนดที่ดินยกขึ้นมาให้กับสาวใช้ดู
“จากนี้ไปข้าจะทำการค้าที่เมืองม่านโจว ร้านของเราจะค่อยเป็นค่อยไป อีกอย่างพวกเจ้าอย่าลืมว่าข้าชื่อ “ไป๋หรูเฟย” จากนี้เรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปพร้อมกัน”
พวกนางทั้งสามคนเริ่มจัดเก็บกวาดร้าน ส่วนหรูเฟยนั้นเริ่มจัดแจงเรื่องที่พัก พวกนางตัดสินใจจะพักที่ร้านนี้ไปก่อน หรูเฟยเห็นว่าพวกนางล้วนมีแต่สตรี จึงตัดสินใจที่จะเดินสำรวจเมืองหลวง ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนเมื่อร้านเริ่มเป็นรูปเป็นร่างพอจะเริ่มทำการค้าได้ จุงตัดสินใจนำทรัพย์สินและเงินบางส่วนไปฝากเอาไว้ที่โรงรับฝากเงิน
หนึ่งเดือนถัดมา
“เห็นว่าโรงรับฝากเงินนี้ เป็นของท่านอ๋องที่ปกครองเมืองม่านโจวเจ้าค่ะ ไว้ใจได้”
“อืม เช่นนั้นก็ดี เลือกฝากที่นี่แหละ”
เมื่อนางฝากทรัพย์สินและเงินทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินกลับมาที่ร้าน หรูเฟยเห็นว่าในม่านโจวแตกต่างกับที่ซานตงมากจริง ๆ เหล่าบรรดาคุณหนู บุตรสาวขุนนางสูงศักดิ์ในเมืองต่างก็ออกมานอกจวน ถือเป็นเรื่องปกติ บางคนมาพร้อมกับสาวใช้ บางคนก็จะสวมหมวกปิดบังใบหน้า
“ที่นี่คึกคักกว่าซานตงจริง ๆ ด้วย ว้าวเจ้าดูนั่นสิ ยอดไปเลย”
“เดินระวังหน่อยนะ ถึงแม้จะคึกคักแต่บางอย่างก็ควรจะต้องระวัง”
""เจ้าค่ะ""
ไป๋หรูเฟยเอ่ยเตือนสองสาวใช้ ที่กำลังตื่นเต้นกับความแปลกใหม่ของตลาดในเมืองจนลืมระมัดระวังตัว นาเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินตามหลังมาก็เริ่มกังวลใจ ไม่นานเมื่อทั้งสามเดินไปที่ท้ายตลาด พวกมันก็ลงมือทันทีแต่หรูเฟยที่มีวรยุทธ์ไหวตัวทัน จึงได้หันไปจัดการพวกเขา
“กรี๊ด!! มีคนร้าย!”
เสียงคนรอบข้างดังขึ้น คนร้ายเห็นว่าทำอะไรนางไม่ได้จึงได้รีบหันไปจัดการสาวใช้ของนางแทน มันจับจินถานสาวใช้ของนางเป็นตัวประกัน
“หยุด! อย่าเข้ามานะไม่งั้นนางตาย เจ้ากล้าหรือ!”
“คุณหนูอย่าไปสนใจพวกมัน รีบหนีไป”
“จินถาน!”
พวกมันยกมีดขึ้นมาขู่และจ่อไปที่คอของจินถาน หรูเฟยคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางกำหมัดแน่นเพราะไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ไม่นานกลุ่มยอดฝีมือที่ลงมือรวดเร็ว แม้แต่หรูเฟยก็มองไม่ทัน
พวกเขาดีดเพียงหินก้อนเล็ก ๆ มากะเทาะแค่ด้านหลังคนร้ายก็นิ่งไปทันที จินถานหลุดออกมาก็รีบวิ่งมาหานาง
“จินถาน! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าปลอดภัยดีเจ้าค่ะคุณหนู ไม่บาดเจ็บ”
“ดีแล้ว”
“จับตัวพวกมันไปให้หมด ส่งให้ทางการจัดการ”
“รับทราบ”
ไป๋หรูเฟยหันไปมองบุรุษหนุ่ม ในชุดลำลองหรูหราที่ปักด้วยเลื่อมสีทอง แม้ว่าจะยังไม่ทราบแต่เพียงการแต่งกายก็บ่งบอกถึงฐานะของเขา ว่าต้องมิใช่เพียงแค่คุณชายธรรมดา
อีกทั้งใบหน้าที่คมคาย จมูกเป็นสัน คิ้วเข้มดุจหมึกและสายตาประดุจพยัคฆ์ที่หันมามองพวกนาง ทำให้หรูเฟยต้องรีบก้าวออกมาทันที
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ หากมิได้ท่านพวกเราคงไม่รอด”
เขาหันมามองใบหน้าที่หมดจด ดวงตากลมโตจมูกเชิดอย่างถือดีเล็กน้อย ริมฝีปากเล็กสีชมพูอิ่มแม้จะมิได้แต่งเติมด้วยเครื่องประทินโฉมเหมือนกับสตรีทั่วไปในเมือง เรียกได้ว่าสะดุดตาตั้งแต่ที่เห็นเลยก็ว่าได้
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว ในเมืองม่านโจวทุกที่ล้วนมีแต่อันตรายโดยเฉพาะกับสตรีอ่อนแอ ข้าแนะนำให้พวกเจ้าระวังตัวเอาไว้ให้มากจะดีกว่า”
คำว่า “สตรีอ่อนแอ” ทำเอาไป๋หรูเฟยเชิดหน้าไม่พอใจใส่เขาทันที
“คุณชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าประมาทเกินไปจริง ๆ วันนี้ขอบคุณท่านมาก ขอตัวก่อน”
ไม่นานทหารของทางการก็วิ่งมาโอบล้อมเขา หรูเฟยเริ่มตกใจเพราะจำนวนทหารองครักษ์ที่วิ่งมานั้นดูไม่เหมือนกับทหารทั่วไป
“ทูลท่านอ๋อง คนร้ายถูกส่งตัวไปศาลาว่าการแล้ว เป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ที่หนีการจับกุมเมื่อหลายวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องงั้นหรือ…”
หรูเฟยกะพริบตาถี่ ๆ และยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อทหารยืนรายงานเขาอยู่ตรงหน้า นางเริ่มถอยและหลบหน้าเขาอีกครั้ง หากว่าเขาคือท่านอ๋องที่ควบคุมหน้าเมืองม่านโจวจริง ๆ แล้ว อาจจะเคยพบกับบิดาของนางซึ่งเป็นแม่ทัพเหมือนกัน“แม่นาง...”“ขอประทานอภัย หม่อมฉันมิทราบว่าพระองค์คือท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นมาเถิด”“มิกล้าเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยมิอาจ…มองพระพักตร์ที่สูงส่งของพระองค์ได้ หากไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”หรูเฟยรีบย่อถวายบังคมตามความเคยชินของบุตรีขุนนาง ยิ่งทำให้ “จ้าวเฟิงหมิง” รู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม อีกทั้งท่าทางเร่งรีบของพวกนางเมื่อทราบฐานะของเขายิ่งน่าสงสัย“หยวนจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“เจ้าเคยเห็นพวกนางมาก่อนหรือไม่ นางเป็นบุตรีของขุนนางจวนใดหรือเปล่า แต่ข้าคิดว่าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน”“หากเป็นพวกนางทั้งสามเมื่อครู่นี้ กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าไม่น่าจะใช่บุตรีขุนนางในม่านโจวนะ เพราะว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในเมือง พระองค์ล้วนเคยพบมาหมดแล้ว…”ท่านอ๋องหันไปมององครักษ์ที่ตอบกลับพระองค์ด้วยท่าทางนิ่ง ๆ “ไม่ใช่บุตรขุนนางงั้นหรือ แต่กิริยามารยาทและว
ท่านอ๋องเพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มหลังจากได้ลิ้มลองหมั่นโถวรสชาติแปลกใหม่ไปจนหมดจาน พระองค์เพียงคลี่ยิ้มบาง ๆ และมิได้มีท่าทีตกใจกับคำถามนั้น“ทำไมเล่า เจ้าสงสัยในการมาเยือนของข้างั้นหรือ”“หม่อมฉัน… มิกล้าเพคะ”ยิ่งเห็นนางร้อนรนเขายิ่งนึกอยากจะแกล้งมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเช่นนี้กับสตรี เพราะส่วนมากสตรีที่เขาพบไม่เป็นบุตรีขุนนางชั้นสูง ก็จะเป็นเหล่าสตรีที่เอาแต่คุยเรื่องน่าเบื่อ แต่กับไป๋หรูเฟยผู้นี้ ท่าทางของนางแม้จะดูน่าสงสัยแต่ก็มิได้ดูรุนแรงจนเหมือนคนร้าย“คนร้ายที่ทำร้ายพวกเจ้า ถูกสั่งลงโทษให้เนรเทศไปทำงานหนักที่ชายแดน วันนั้นพวกเขาคว้าถุงเงินของสาวใช้เจ้าไปด้วย วันนี้ข้าจึงนำมาคืน”พระองค์วางถุงเงินสีขาวของจินถานเอาไว้บนโต๊ะ และลุกขึ้นยืนทันที“จะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”“รีบไล่ข้าปานนั้นเชียว นี่เจ้าเป็นเถ้าแก่นะ ไล่ลูกค้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง อีกอย่างวันนี้ที่ข้ามาก้เพื่อนำของมาคืนเจ้ามิใช่หรือ”แม้จะรู้สึกขอบคุณ แต่ไป๋หรูเฟยรู้สึกไม่ถูกชะตากับท่านอ๋องผู้นี้เอาเสียเลย นางโมโหจนอยากจะซัดเขาสักหมัด หากมิต้องเกรงอาญาคงทำไปนานแล้ว คนอะไรถึงได้ยั่วโมโหนางได้ตลอด“ทูลท่านอ๋อง อ
จวนแม่ทัพหลิง / เมืองซานตง / แคว้นฉิน“คุณหนู ฮูหยินบอกว่าให้ท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“หึ อนุเหวินให้ข้าแต่งตัว เพื่อที่จะไปดูน้องสาวแต่งงานกับอดีตคู่หมั้นของข้างั้นหรือ”“คุณหนู”“เอาเถอะ ในเมื่อนางอยากให้ข้าแต่ง ก็จะแต่งไปร่วมอวยพรให้พวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน”“ผ่าง!”ประตูหน้าห้องของคุณหนูใหญ่ “หลินหยุนซี” เปิดพร้อมกับสาวใช้สูงอายุอีกสองคนที่เดินเข้ามา แม้จะดูมีอำนาจจนสาวใช้ที่เหลือของนางกลัว แต่กลับมิได้ทำให้หลินหยุนซีรู้สึกกลัว นางหันมามองทั้งสองที่แม้จะกล้ากับสาวใช้ แต่ก็ไม่กล้ากับหยุนซี“คุณหนูใหญ่ พวกข้ามาช่วยท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“คนของข้ามีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนของอนุเหวินหรอก”รอยยิ้มของสาวใช้กระตุกขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางเอ่ยถึงผู้เป็นนายของทั้งสอง น้ำเสียงของพวกนางเริ่มแข็งขึ้น“คุณหนูใหญ่ บัดนี้ฮูหยินมิได้เป็นเพียงอนุแล้ว บัดนี้ท่านแม่ทัพยกให้นางดูแลจวน อีกทั้ง…”“อ๊ากกก!!!”หญิงสาวหันมา ปิ่นปักผมประดับมุกแทงลงไปที่หัวไหล่ของสาวใช้สูงอายุที่กำลังพูดอยู่ สายตาบ่งบอกถึงความโกรธและการไม่ยอมรับ สาวใช้อีกคนกรีดร้องและล้มตึงไปข้าง ๆ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น“เป็นแค่หญิงที่แย่งสามีชาว
ท่านอ๋องเพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มหลังจากได้ลิ้มลองหมั่นโถวรสชาติแปลกใหม่ไปจนหมดจาน พระองค์เพียงคลี่ยิ้มบาง ๆ และมิได้มีท่าทีตกใจกับคำถามนั้น“ทำไมเล่า เจ้าสงสัยในการมาเยือนของข้างั้นหรือ”“หม่อมฉัน… มิกล้าเพคะ”ยิ่งเห็นนางร้อนรนเขายิ่งนึกอยากจะแกล้งมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเช่นนี้กับสตรี เพราะส่วนมากสตรีที่เขาพบไม่เป็นบุตรีขุนนางชั้นสูง ก็จะเป็นเหล่าสตรีที่เอาแต่คุยเรื่องน่าเบื่อ แต่กับไป๋หรูเฟยผู้นี้ ท่าทางของนางแม้จะดูน่าสงสัยแต่ก็มิได้ดูรุนแรงจนเหมือนคนร้าย“คนร้ายที่ทำร้ายพวกเจ้า ถูกสั่งลงโทษให้เนรเทศไปทำงานหนักที่ชายแดน วันนั้นพวกเขาคว้าถุงเงินของสาวใช้เจ้าไปด้วย วันนี้ข้าจึงนำมาคืน”พระองค์วางถุงเงินสีขาวของจินถานเอาไว้บนโต๊ะ และลุกขึ้นยืนทันที“จะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”“รีบไล่ข้าปานนั้นเชียว นี่เจ้าเป็นเถ้าแก่นะ ไล่ลูกค้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง อีกอย่างวันนี้ที่ข้ามาก้เพื่อนำของมาคืนเจ้ามิใช่หรือ”แม้จะรู้สึกขอบคุณ แต่ไป๋หรูเฟยรู้สึกไม่ถูกชะตากับท่านอ๋องผู้นี้เอาเสียเลย นางโมโหจนอยากจะซัดเขาสักหมัด หากมิต้องเกรงอาญาคงทำไปนานแล้ว คนอะไรถึงได้ยั่วโมโหนางได้ตลอด“ทูลท่านอ๋อง อ
หรูเฟยกะพริบตาถี่ ๆ และยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อทหารยืนรายงานเขาอยู่ตรงหน้า นางเริ่มถอยและหลบหน้าเขาอีกครั้ง หากว่าเขาคือท่านอ๋องที่ควบคุมหน้าเมืองม่านโจวจริง ๆ แล้ว อาจจะเคยพบกับบิดาของนางซึ่งเป็นแม่ทัพเหมือนกัน“แม่นาง...”“ขอประทานอภัย หม่อมฉันมิทราบว่าพระองค์คือท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นมาเถิด”“มิกล้าเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยมิอาจ…มองพระพักตร์ที่สูงส่งของพระองค์ได้ หากไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”หรูเฟยรีบย่อถวายบังคมตามความเคยชินของบุตรีขุนนาง ยิ่งทำให้ “จ้าวเฟิงหมิง” รู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม อีกทั้งท่าทางเร่งรีบของพวกนางเมื่อทราบฐานะของเขายิ่งน่าสงสัย“หยวนจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“เจ้าเคยเห็นพวกนางมาก่อนหรือไม่ นางเป็นบุตรีของขุนนางจวนใดหรือเปล่า แต่ข้าคิดว่าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน”“หากเป็นพวกนางทั้งสามเมื่อครู่นี้ กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าไม่น่าจะใช่บุตรีขุนนางในม่านโจวนะ เพราะว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในเมือง พระองค์ล้วนเคยพบมาหมดแล้ว…”ท่านอ๋องหันไปมององครักษ์ที่ตอบกลับพระองค์ด้วยท่าทางนิ่ง ๆ “ไม่ใช่บุตรขุนนางงั้นหรือ แต่กิริยามารยาทและว
เสียงกรีดร้องของคนในงานดังขึ้น เมื่อกระดาษสำหรับเผาส่งวิญญาณให้คนตายลอยลงมาพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่เปื้อนอยู่ ด้านบนเพดานมีหัวของสุนัขสีดำตกลงมาตรงหน้าเจ้าสาวจนเปื้อนผ้าคลุม เจ้าสาวกรีดร้องสุดเสียงพร้อมกับแขกเหรื่อที่รีบวิ่งหนีออกจากงาน เพราะเกรงว่าจะมีความอัปมงคลติดตัวกลับจวน“กรี๊ด!!!”“ยินดีด้วยนะ หลินเสี่ยวถง”“เร็วเข้า! รีบให้คนมาจัดการ”หยุนซีลุกและเดินออกจากห้องโถงไปในทันที ท่ามกลางความวุ่นวายที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ไม่นานนางก็กลับไปยังเรือนพักของตัวเอง และเริ่มดึงของที่เก็บไว้ออกมา สองสาวใช้มายืนตรงหน้าพร้อมกัน“คุณหนู ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"“ไม่มีคนอยู่แถวนี้แล้วใช่หรือไม่”“ทุกคนมุ่งไปที่ห้องโถงหมดเลยเจ้าค่ะ รถม้าก็มาจอดรออยู่ประตูหลังแล้ว รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว”""เจ้าค่ะ""หลินหยุนซีเดินออกมาจากเรือน และตรงไปยังประตูหลังซึ่งมีรถม้าที่นางจ้างมารอรับอยู่แล้ว สาวใช้ของนางรีบเก็บของที่เหลือขึ้นรถเพื่อรอนาง หยุนซีหันไปมองจวนสกุลหลินเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่เกิดมาจนโตถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยก้าวออกนอกเมืองซานตงเลยสักครั้ง“จบสิ้นกันเสียที จา
จวนแม่ทัพหลิง / เมืองซานตง / แคว้นฉิน“คุณหนู ฮูหยินบอกว่าให้ท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“หึ อนุเหวินให้ข้าแต่งตัว เพื่อที่จะไปดูน้องสาวแต่งงานกับอดีตคู่หมั้นของข้างั้นหรือ”“คุณหนู”“เอาเถอะ ในเมื่อนางอยากให้ข้าแต่ง ก็จะแต่งไปร่วมอวยพรให้พวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน”“ผ่าง!”ประตูหน้าห้องของคุณหนูใหญ่ “หลินหยุนซี” เปิดพร้อมกับสาวใช้สูงอายุอีกสองคนที่เดินเข้ามา แม้จะดูมีอำนาจจนสาวใช้ที่เหลือของนางกลัว แต่กลับมิได้ทำให้หลินหยุนซีรู้สึกกลัว นางหันมามองทั้งสองที่แม้จะกล้ากับสาวใช้ แต่ก็ไม่กล้ากับหยุนซี“คุณหนูใหญ่ พวกข้ามาช่วยท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“คนของข้ามีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนของอนุเหวินหรอก”รอยยิ้มของสาวใช้กระตุกขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางเอ่ยถึงผู้เป็นนายของทั้งสอง น้ำเสียงของพวกนางเริ่มแข็งขึ้น“คุณหนูใหญ่ บัดนี้ฮูหยินมิได้เป็นเพียงอนุแล้ว บัดนี้ท่านแม่ทัพยกให้นางดูแลจวน อีกทั้ง…”“อ๊ากกก!!!”หญิงสาวหันมา ปิ่นปักผมประดับมุกแทงลงไปที่หัวไหล่ของสาวใช้สูงอายุที่กำลังพูดอยู่ สายตาบ่งบอกถึงความโกรธและการไม่ยอมรับ สาวใช้อีกคนกรีดร้องและล้มตึงไปข้าง ๆ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น“เป็นแค่หญิงที่แย่งสามีชาว