หรูเฟยกะพริบตาถี่ ๆ และยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อทหารยืนรายงานเขาอยู่ตรงหน้า นางเริ่มถอยและหลบหน้าเขาอีกครั้ง หากว่าเขาคือท่านอ๋องที่ควบคุมหน้าเมืองม่านโจวจริง ๆ แล้ว อาจจะเคยพบกับบิดาของนางซึ่งเป็นแม่ทัพเหมือนกัน
“แม่นาง...”
“ขอประทานอภัย หม่อมฉันมิทราบว่าพระองค์คือท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นมาเถิด”
“มิกล้าเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยมิอาจ…มองพระพักตร์ที่สูงส่งของพระองค์ได้ หากไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
หรูเฟยรีบย่อถวายบังคมตามความเคยชินของบุตรีขุนนาง ยิ่งทำให้ “จ้าวเฟิงหมิง” รู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม อีกทั้งท่าทางเร่งรีบของพวกนางเมื่อทราบฐานะของเขายิ่งน่าสงสัย
“หยวนจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“เจ้าเคยเห็นพวกนางมาก่อนหรือไม่ นางเป็นบุตรีของขุนนางจวนใดหรือเปล่า แต่ข้าคิดว่าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน”
“หากเป็นพวกนางทั้งสามเมื่อครู่นี้ กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าไม่น่าจะใช่บุตรีขุนนางในม่านโจวนะ เพราะว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในเมือง พระองค์ล้วนเคยพบมาหมดแล้ว…”
ท่านอ๋องหันไปมององครักษ์ที่ตอบกลับพระองค์ด้วยท่าทางนิ่ง ๆ
“ไม่ใช่บุตรขุนนางงั้นหรือ แต่กิริยามารยาทและวิธีการพูดของนาง… ช่างน่าสนใจ”
“ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่ร้านฝากเงิน “เจิ้นตงจวิน” เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปสิ ในเมื่อหัวขโมยถูกจับแล้วข้าจะไปดูสักหน่อยว่ากิจการเป็นเช่นไรบ้าง สั่งให้จัดการที่หลือให้เรียบร้อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสั่งการและส่งคนร้ายไปที่ว่าการแล้ว ท่านอ๋องจึงเดินไปที่ร้านฝากเงินซึ่งพระองค์เป็นเจ้าของ แม้ฉากหน้าจะเป็นเพียงร้านฝากเงิน แต่ด้านบนชั้นสองคือหอเมฆาที่เต็มไปด้วยหน่วยฝึก “องครักษ์หอเมฆา” ของเขาเกือบทั้งหมด
“หลายวันมานี้มีเรื่องอะไรที่ผิดปกติหรือไม่”
“ทูลท่านอ๋อง เหตุการณ์รอบเมืองปกติดีพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เมื่อครู่นี้ข้าพึ่งจะจับตัวคนร้ายที่มาปล้นสตรีในเมืองได้ เหตุการณ์เช่นนี้เรียกปกติได้งั้นหรือ”
“ทูลท่านอ๋อง นั่นเป็นสิ่งที่หอเมฆาได้จัดการเอาไว้แล้ว คือว่า…”
“ตอนนี้พวกเจ้าถึงกับกล้าใช้สตรีที่ไร้ทางสู้ หลอกล่อคนร้ายให้มาติดกับเลยงั้นหรือ”
“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…”
“อะไร”
"ก่อนที่จะใช้แผนนี้ กระหม่อมเห็นว่าพวกมันติดตามสตรีกลุ่มนี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว อีกอย่างทรัพย์สินที่พวกนางนำมาฝาก ก็ไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ"
องครักษ์นำรายงานทรัพย์สินที่ไป๋หรูเฟยนำมาฝาก เมื่อตรวจดูก็รู้สึกแปลกพระทัย และหันไปมองผู้ดูแลร้านฝากเงิน
“ตั๋วเงินสามหมื่นเก้าพันตำลึง ยังไม่รวมเครื่องประดับและอัญมณี นี่คือเรื่องปกติในเมืองที่เจ้าว่างั้นหรือ”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดการณ์ไม่รอบคอบเอง เพียงแต่ว่าพึ่งจะเคยพบหน้าพวกนางในวันนี้ ยังไม่ทันได้ตรวจสอบก็เกิดเรื่องขึ้นมาก่อน ดังนั้น…”
“ไป๋หรูเฟย…ตั๋วเงินมากขนาดนี้นางคือใครกันแน่ หยวนจื่อ!”
“กระหม่อมจะรีบไปสอบสวนคนร้ายในคุกเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดต้องไปสอบสวนคนร้ายพวกนั้นด้วย”
“เช่นนั้น… พระองค์หมายจะให้กระหม่อมทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตรวจสอบสตรีผู้นี้ ภายในสามวันข้าต้องการรู้เรื่องของนางทั้งหมด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ห้าวันถัดมา
กิจการของหรูเฟยเริ่มต้นจากการปั้นหมั่นโถวขาย สิ่งนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองโดยเฉพาะเด็ก ๆ เพราะหมั่นโถวที่นางปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ และมีหลายสีให้เลือก ซึ่งถือเป็นของแปลกใหม่ที่พวกเขาไม่เคยเห็น จึงได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว
“นี่แม่นางเหตุใดหมั่นโถวของเจ้าจึงมีหลายสีเล่า”
“ท่านป้า หมั่นโถวของข้าไม่ใช่แค่แป้งที่นำมานึ่ง แต่มีส่วนผสมของผักและธัญพืชอื่นผสมและปั้นเป็นรูปต่าง ๆ อย่างเช่นสีม่วงข้านำมันสีม่วงบดผสมเข้าไปด้วยทำให้เกิดสี ส่วนสีเหลืองก็ใช้ฟักทอง สีส้มข้านำหัวผักกาดสีส้มนึ่งแล้วบดผสม เหมาะสำหรับเด็กที่กินผักยาก”
“เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก ลูกข้ากินผักยากกว่าใครเลย เช่นนั้นข้าเอาสามลูก”
“ข้าเอาห้า”
“ถอยไปหน่อยสิข้าก็จะซื้อไปให้ลูกชายข้า”
“นี่เถ้าแก่ไป๋ เมื่อวานนี้ข้าซื้อหมั่นโถวของเจ้าไปให้ลูกสาวข้ากิน นางบอกว่าชอบมาก วันนี้เลยมาซื้ออีก”
ไม่คิดว่ากิจการหมั่นโถวจะขายดีจนพวกนางทั้งสามคนทำไม่ทัน แม้ว่าจะมีทรัพย์สินมากแต่หรูเฟยก็ไม่คิดจะไปถอนมาให้ นางเหลือเงินเอาไว้ทำทุน ซื้อของเพียงสองพันตำลึงเท่านั้น
“คุณหนูท่านเข้าไปพักเถอะเจ้าค่ะ ข้ากับเป้าเซี่ยจะไปนวดแป้งข้างหลังร้านต่อเอง”
“เช่นนั้นก็ฝากด้วยนะ”
""เจ้าค่ะ""
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปแล้ว เสียงกระดิ่งหน้าร้านที่นางนำไปแขวนเอาไว้ก็ดังขึ้นเพื่อป้องกันโจร หรูเฟยทำเช่นนี้ก็เพื่อจะได้รู้เมื่อมีคนเดินเข้ามาในร้าน ซึ่งตอนนี้ของในร้านก็ขายหมดแล้ว
“ขอโทษด้วยเจ้าค่ะตอนนี้ร้าน… ปิดแล้ว”
จ้าวเฟิงหมิงเดินเข้ามา เขามองไปรอบ ๆ ร้านที่เคยเป็นโรงน้ำชาเล็ก ๆ ในตรอกนี้ แต่บัดนี้เหมือนร้านที่เตรียมจะจัดใหม่ แค่ยังไม่มีสินค้าเท่านั้น
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
‘เขามาที่นี่ได้เช่นไรกัน เหตุใดจึงรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ความคงจะไม่แตกหรอกกระมัง’
ไป๋หรูเฟยพร่ำคิดระแวงอยู่ในใจ เพราะนางมาที่เมืองม่านโจวด้วยตัวตนใหม่ ซึ่งไม่คิดว่าเมื่อก้าวเข้ามาไม่พ้นสองเดือน ก็จะได้พบกับเขาซึ่งเป็นถึงท่านอ๋องปกครองเมืองนี้ทันที
“นั่งก่อนสิ เหตุใดต้องตื่นเต้นเมื่อเห็นข้าเช่นนั้น จำได้ว่าหลายวันก่อนข้าเป็นคนที่ช่วยเจ้าเอาไว้มิใช่หรือ”
“เพคะ”
“นี่เจ้าเปิดร้านขายหมั่นโถวงั้นหรือ”
“กิจการเล็ก ๆ ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้นเพคะ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะหม่อมฉันทำตามกฎหมายทุกอย่าง”
“ข้ายังมิได้พูดสิ่งใด เหตุใดต้องทำตื่นตูมดุจลูกกวางหวาดเกาทัณฑ์เช่นนั้นด้วยเล่า”
“หม่อมฉันจะยกน้ำชามาให้เพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี”
ท่านอ๋องหันไปมองท่าทางคล่องแคล่วของนางก็เกิดนึกสงสัย คนของหอเมฆาใช้เวลาหลายวันเพื่อสืบเรื่องของนาง แต่กลับไม่มีใครทราบเลยว่านางคือผู้ใดมาจากไหน ทราบเพียงว่าเป็นสตรีที่เดินทางเข้าเมืองมาซื้อร้านต่อจากพ่อค้า ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของเดิมเขาตามเท่าใดก็ไม่พบตัว เห็นว่าย้ายไปจากเมืองม่านโจวแล้ว
‘แค่สตรีเพียงคนเดียว แต่หอเมฆาของข้ากลับสืบไม่พบ เดินทางมาพร้อมกับเงินก้อนมหาศาลที่สามารถซื้อร้านน้ำชาในตัวเมืองม่านโจวได้ นางเป็นใครกันแน่’
“ท่านอ๋องเพคะ”
“อ้อ… นี่คืออะไรน่ะ เจ้าพวกก้อนแป้งพวกนี้...”
“หมั่นโถวเพคะ!”
ไป๋หรูเฟยรู้สึกโกรธเล็กน้อย เมื่อท่านอ๋องตรัสว่าหมั่นโถวรูปกระต่ายและไก่ตัวอ้วนของนาง คือก้อนแป้งที่เขามองไม่ออก
“เจ้าบอกว่าเจ้าก้อนแป้งสี ๆ พวกนี้ คือหมั่นโถวงั้นหรือ มันกินได้จริงหรือ”
“เช่นนั้นก็อย่าเสวยเลยเพคะ ดื่มเพียงชาก็น่าจะเพียงพอแล้ว ขออภัยด้วยเพคะ”
“ไม่เป็นไรแค่เจ้าอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย ว่าพวกมันทำมาจากอะไร ตัวข้าเองก็มิใช่คนที่เลือกกินขนาดนั้น เพียงแค่นึกสงสัยว่าเหตุใดหมั่นโถวเหล่านี้จึงไม่ใช่สีขาวก็เท่านั้นเอง”
ท่านอ๋องนึกขำกับท่าทีที่โมโหของนางจนหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังต้องทนฝืนยืนอธิบายให้เขาฟัง ทั้งกลัวถูกลงโทษ และดูเหมือนว่าจะเริ่มไม่ชอบหน้าเขาแล้ว พระองค์เผลอมองใบหน้าที่อธิบายเรื่องหมั่นโถวหลากสีของนาง เมื่อมองอีกครั้ง เขาก็เริ่มจินตนาการได้ถึงกระต่ายและแม่ไก่ตามที่นางพูดแล้ว
“ที่แท้สีเหล่านี้ก็มาจากฟักทอง หัวผักกาดแล้วก็อะไรนะ”
“หัวมันม่วงเพคะ”
“อืม เช่นนี้เอง กระต่าย”
ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะรู้สึกเพลิดเพลิน กับท่าทางรำคาญแต่ก็ต้องฝืนอยู่คุยกับเขา เป็นความน่าสนใจจนนึกอยากแกล้ง เมื่อลองหยิบกระต่ายที่นางพูดมาเริ่มเสวย เพียงคำแรกที่ได้ลิ้มลอง เขาก็ลืมรสชาติหมั่นโถวที่เคยกินมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด
“อืม… อร่อยมากเลยนี่ มิน่าเล่าร้านเจ้าถึงได้ขายดีเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เปิดขายได้เพียงไม่กี่วัน”
“ขอบพระทัยเพคะ ดีใจที่พระองค์ชื่นชอบ”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยชอบหน้าข้านะ ไม่อยากต้อนรับข้างั้นหรือไป๋หรูเฟย”
นางพยายามเก็บคำถามทุกอย่างเอาไว้ในใจ แม้แต่ชื่อของนางเขาก็ทราบแล้ว แต่ในเมื่อท่านอ๋องตรัสถามขึ้นมานางจึงไม่รอช้าที่จะถามออกไปเพื่อให้หายคับข้องใจ
“ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่ มีธุระอันใดกับหม่อมฉันกันแน่หรือเพคะ”
ท่านอ๋องเพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มหลังจากได้ลิ้มลองหมั่นโถวรสชาติแปลกใหม่ไปจนหมดจาน พระองค์เพียงคลี่ยิ้มบาง ๆ และมิได้มีท่าทีตกใจกับคำถามนั้น“ทำไมเล่า เจ้าสงสัยในการมาเยือนของข้างั้นหรือ”“หม่อมฉัน… มิกล้าเพคะ”ยิ่งเห็นนางร้อนรนเขายิ่งนึกอยากจะแกล้งมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเช่นนี้กับสตรี เพราะส่วนมากสตรีที่เขาพบไม่เป็นบุตรีขุนนางชั้นสูง ก็จะเป็นเหล่าสตรีที่เอาแต่คุยเรื่องน่าเบื่อ แต่กับไป๋หรูเฟยผู้นี้ ท่าทางของนางแม้จะดูน่าสงสัยแต่ก็มิได้ดูรุนแรงจนเหมือนคนร้าย“คนร้ายที่ทำร้ายพวกเจ้า ถูกสั่งลงโทษให้เนรเทศไปทำงานหนักที่ชายแดน วันนั้นพวกเขาคว้าถุงเงินของสาวใช้เจ้าไปด้วย วันนี้ข้าจึงนำมาคืน”พระองค์วางถุงเงินสีขาวของจินถานเอาไว้บนโต๊ะ และลุกขึ้นยืนทันที“จะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”“รีบไล่ข้าปานนั้นเชียว นี่เจ้าเป็นเถ้าแก่นะ ไล่ลูกค้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง อีกอย่างวันนี้ที่ข้ามาก้เพื่อนำของมาคืนเจ้ามิใช่หรือ”แม้จะรู้สึกขอบคุณ แต่ไป๋หรูเฟยรู้สึกไม่ถูกชะตากับท่านอ๋องผู้นี้เอาเสียเลย นางโมโหจนอยากจะซัดเขาสักหมัด หากมิต้องเกรงอาญาคงทำไปนานแล้ว คนอะไรถึงได้ยั่วโมโหนางได้ตลอด“ทูลท่านอ๋อง อ
จวนแม่ทัพหลิง / เมืองซานตง / แคว้นฉิน“คุณหนู ฮูหยินบอกว่าให้ท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“หึ อนุเหวินให้ข้าแต่งตัว เพื่อที่จะไปดูน้องสาวแต่งงานกับอดีตคู่หมั้นของข้างั้นหรือ”“คุณหนู”“เอาเถอะ ในเมื่อนางอยากให้ข้าแต่ง ก็จะแต่งไปร่วมอวยพรให้พวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน”“ผ่าง!”ประตูหน้าห้องของคุณหนูใหญ่ “หลินหยุนซี” เปิดพร้อมกับสาวใช้สูงอายุอีกสองคนที่เดินเข้ามา แม้จะดูมีอำนาจจนสาวใช้ที่เหลือของนางกลัว แต่กลับมิได้ทำให้หลินหยุนซีรู้สึกกลัว นางหันมามองทั้งสองที่แม้จะกล้ากับสาวใช้ แต่ก็ไม่กล้ากับหยุนซี“คุณหนูใหญ่ พวกข้ามาช่วยท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“คนของข้ามีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนของอนุเหวินหรอก”รอยยิ้มของสาวใช้กระตุกขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางเอ่ยถึงผู้เป็นนายของทั้งสอง น้ำเสียงของพวกนางเริ่มแข็งขึ้น“คุณหนูใหญ่ บัดนี้ฮูหยินมิได้เป็นเพียงอนุแล้ว บัดนี้ท่านแม่ทัพยกให้นางดูแลจวน อีกทั้ง…”“อ๊ากกก!!!”หญิงสาวหันมา ปิ่นปักผมประดับมุกแทงลงไปที่หัวไหล่ของสาวใช้สูงอายุที่กำลังพูดอยู่ สายตาบ่งบอกถึงความโกรธและการไม่ยอมรับ สาวใช้อีกคนกรีดร้องและล้มตึงไปข้าง ๆ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น“เป็นแค่หญิงที่แย่งสามีชาว
เสียงกรีดร้องของคนในงานดังขึ้น เมื่อกระดาษสำหรับเผาส่งวิญญาณให้คนตายลอยลงมาพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่เปื้อนอยู่ ด้านบนเพดานมีหัวของสุนัขสีดำตกลงมาตรงหน้าเจ้าสาวจนเปื้อนผ้าคลุม เจ้าสาวกรีดร้องสุดเสียงพร้อมกับแขกเหรื่อที่รีบวิ่งหนีออกจากงาน เพราะเกรงว่าจะมีความอัปมงคลติดตัวกลับจวน“กรี๊ด!!!”“ยินดีด้วยนะ หลินเสี่ยวถง”“เร็วเข้า! รีบให้คนมาจัดการ”หยุนซีลุกและเดินออกจากห้องโถงไปในทันที ท่ามกลางความวุ่นวายที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ไม่นานนางก็กลับไปยังเรือนพักของตัวเอง และเริ่มดึงของที่เก็บไว้ออกมา สองสาวใช้มายืนตรงหน้าพร้อมกัน“คุณหนู ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"“ไม่มีคนอยู่แถวนี้แล้วใช่หรือไม่”“ทุกคนมุ่งไปที่ห้องโถงหมดเลยเจ้าค่ะ รถม้าก็มาจอดรออยู่ประตูหลังแล้ว รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว”""เจ้าค่ะ""หลินหยุนซีเดินออกมาจากเรือน และตรงไปยังประตูหลังซึ่งมีรถม้าที่นางจ้างมารอรับอยู่แล้ว สาวใช้ของนางรีบเก็บของที่เหลือขึ้นรถเพื่อรอนาง หยุนซีหันไปมองจวนสกุลหลินเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่เกิดมาจนโตถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยก้าวออกนอกเมืองซานตงเลยสักครั้ง“จบสิ้นกันเสียที จา
ท่านอ๋องเพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มหลังจากได้ลิ้มลองหมั่นโถวรสชาติแปลกใหม่ไปจนหมดจาน พระองค์เพียงคลี่ยิ้มบาง ๆ และมิได้มีท่าทีตกใจกับคำถามนั้น“ทำไมเล่า เจ้าสงสัยในการมาเยือนของข้างั้นหรือ”“หม่อมฉัน… มิกล้าเพคะ”ยิ่งเห็นนางร้อนรนเขายิ่งนึกอยากจะแกล้งมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเช่นนี้กับสตรี เพราะส่วนมากสตรีที่เขาพบไม่เป็นบุตรีขุนนางชั้นสูง ก็จะเป็นเหล่าสตรีที่เอาแต่คุยเรื่องน่าเบื่อ แต่กับไป๋หรูเฟยผู้นี้ ท่าทางของนางแม้จะดูน่าสงสัยแต่ก็มิได้ดูรุนแรงจนเหมือนคนร้าย“คนร้ายที่ทำร้ายพวกเจ้า ถูกสั่งลงโทษให้เนรเทศไปทำงานหนักที่ชายแดน วันนั้นพวกเขาคว้าถุงเงินของสาวใช้เจ้าไปด้วย วันนี้ข้าจึงนำมาคืน”พระองค์วางถุงเงินสีขาวของจินถานเอาไว้บนโต๊ะ และลุกขึ้นยืนทันที“จะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”“รีบไล่ข้าปานนั้นเชียว นี่เจ้าเป็นเถ้าแก่นะ ไล่ลูกค้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง อีกอย่างวันนี้ที่ข้ามาก้เพื่อนำของมาคืนเจ้ามิใช่หรือ”แม้จะรู้สึกขอบคุณ แต่ไป๋หรูเฟยรู้สึกไม่ถูกชะตากับท่านอ๋องผู้นี้เอาเสียเลย นางโมโหจนอยากจะซัดเขาสักหมัด หากมิต้องเกรงอาญาคงทำไปนานแล้ว คนอะไรถึงได้ยั่วโมโหนางได้ตลอด“ทูลท่านอ๋อง อ
หรูเฟยกะพริบตาถี่ ๆ และยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อทหารยืนรายงานเขาอยู่ตรงหน้า นางเริ่มถอยและหลบหน้าเขาอีกครั้ง หากว่าเขาคือท่านอ๋องที่ควบคุมหน้าเมืองม่านโจวจริง ๆ แล้ว อาจจะเคยพบกับบิดาของนางซึ่งเป็นแม่ทัพเหมือนกัน“แม่นาง...”“ขอประทานอภัย หม่อมฉันมิทราบว่าพระองค์คือท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมากพิธี เงยหน้าขึ้นมาเถิด”“มิกล้าเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนต่ำต้อยมิอาจ…มองพระพักตร์ที่สูงส่งของพระองค์ได้ หากไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”หรูเฟยรีบย่อถวายบังคมตามความเคยชินของบุตรีขุนนาง ยิ่งทำให้ “จ้าวเฟิงหมิง” รู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม อีกทั้งท่าทางเร่งรีบของพวกนางเมื่อทราบฐานะของเขายิ่งน่าสงสัย“หยวนจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“เจ้าเคยเห็นพวกนางมาก่อนหรือไม่ นางเป็นบุตรีของขุนนางจวนใดหรือเปล่า แต่ข้าคิดว่าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน”“หากเป็นพวกนางทั้งสามเมื่อครู่นี้ กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าไม่น่าจะใช่บุตรีขุนนางในม่านโจวนะ เพราะว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในเมือง พระองค์ล้วนเคยพบมาหมดแล้ว…”ท่านอ๋องหันไปมององครักษ์ที่ตอบกลับพระองค์ด้วยท่าทางนิ่ง ๆ “ไม่ใช่บุตรขุนนางงั้นหรือ แต่กิริยามารยาทและว
เสียงกรีดร้องของคนในงานดังขึ้น เมื่อกระดาษสำหรับเผาส่งวิญญาณให้คนตายลอยลงมาพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่เปื้อนอยู่ ด้านบนเพดานมีหัวของสุนัขสีดำตกลงมาตรงหน้าเจ้าสาวจนเปื้อนผ้าคลุม เจ้าสาวกรีดร้องสุดเสียงพร้อมกับแขกเหรื่อที่รีบวิ่งหนีออกจากงาน เพราะเกรงว่าจะมีความอัปมงคลติดตัวกลับจวน“กรี๊ด!!!”“ยินดีด้วยนะ หลินเสี่ยวถง”“เร็วเข้า! รีบให้คนมาจัดการ”หยุนซีลุกและเดินออกจากห้องโถงไปในทันที ท่ามกลางความวุ่นวายที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ไม่นานนางก็กลับไปยังเรือนพักของตัวเอง และเริ่มดึงของที่เก็บไว้ออกมา สองสาวใช้มายืนตรงหน้าพร้อมกัน“คุณหนู ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"“ไม่มีคนอยู่แถวนี้แล้วใช่หรือไม่”“ทุกคนมุ่งไปที่ห้องโถงหมดเลยเจ้าค่ะ รถม้าก็มาจอดรออยู่ประตูหลังแล้ว รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว”""เจ้าค่ะ""หลินหยุนซีเดินออกมาจากเรือน และตรงไปยังประตูหลังซึ่งมีรถม้าที่นางจ้างมารอรับอยู่แล้ว สาวใช้ของนางรีบเก็บของที่เหลือขึ้นรถเพื่อรอนาง หยุนซีหันไปมองจวนสกุลหลินเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่เกิดมาจนโตถึงตอนนี้ นางยังไม่เคยก้าวออกนอกเมืองซานตงเลยสักครั้ง“จบสิ้นกันเสียที จา
จวนแม่ทัพหลิง / เมืองซานตง / แคว้นฉิน“คุณหนู ฮูหยินบอกว่าให้ท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“หึ อนุเหวินให้ข้าแต่งตัว เพื่อที่จะไปดูน้องสาวแต่งงานกับอดีตคู่หมั้นของข้างั้นหรือ”“คุณหนู”“เอาเถอะ ในเมื่อนางอยากให้ข้าแต่ง ก็จะแต่งไปร่วมอวยพรให้พวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน”“ผ่าง!”ประตูหน้าห้องของคุณหนูใหญ่ “หลินหยุนซี” เปิดพร้อมกับสาวใช้สูงอายุอีกสองคนที่เดินเข้ามา แม้จะดูมีอำนาจจนสาวใช้ที่เหลือของนางกลัว แต่กลับมิได้ทำให้หลินหยุนซีรู้สึกกลัว นางหันมามองทั้งสองที่แม้จะกล้ากับสาวใช้ แต่ก็ไม่กล้ากับหยุนซี“คุณหนูใหญ่ พวกข้ามาช่วยท่านแต่งตัวเจ้าค่ะ”“คนของข้ามีมากมาย ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนของอนุเหวินหรอก”รอยยิ้มของสาวใช้กระตุกขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางเอ่ยถึงผู้เป็นนายของทั้งสอง น้ำเสียงของพวกนางเริ่มแข็งขึ้น“คุณหนูใหญ่ บัดนี้ฮูหยินมิได้เป็นเพียงอนุแล้ว บัดนี้ท่านแม่ทัพยกให้นางดูแลจวน อีกทั้ง…”“อ๊ากกก!!!”หญิงสาวหันมา ปิ่นปักผมประดับมุกแทงลงไปที่หัวไหล่ของสาวใช้สูงอายุที่กำลังพูดอยู่ สายตาบ่งบอกถึงความโกรธและการไม่ยอมรับ สาวใช้อีกคนกรีดร้องและล้มตึงไปข้าง ๆ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น“เป็นแค่หญิงที่แย่งสามีชาว