ถูซินเยว่ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า "เขาไม่ใช่คนเลว ขอแม่นางจื่อจินได้โปรดช่วยด้วย"สามีของเธอเป็นคนจิตใจดี ไม่เคยทำเรื่องผิดศีลธรรมแล้วจะเป็นคนเลวได้อย่างไร? พ่อบ้านชุยปัดความผิดมาให้สามีของเธอทั้งหมด ชักจะเกินไปแล้ว!จื่อจินครุ่นคิดสักครู่ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธทันทีจากนั้นนางเอ่ยขึ้นว่า "ข้าเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายฮูหยินเฒ่า ไม่สามารถไปพูดจาอะไรต่อหน้านายท่านได้ หากท่านหมอเทวดาอยากช่วยสามีของท่านจริง งั้นท่านลองไปขอร้องฮูหยินเฒ่าดูดีไหม?""ไม่มีเวลาแล้ว ขอแม่นางนำทางด้วย" ถูซินเยว่รีบพยักหน้ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ในใจถูซินเยว่ก็ยิ่งไม่วางใจมากขึ้นเท่านั้น กลัวว่าในระหว่างนี้ซูจื่อหังจะถูกพวกเขาทรมานมากขึ้นเธอเดินตามหลังจื่อจินเข้าไปในจวนนายอําเภอ เดินผ่านโถงทางเดินยาวมาถึงด้านนอกเรือนเล็กหลังหนึ่งในเรือนเล็กหลังนี้เงียบสงบมาก ข้างนอกเรือนเต็มไปด้วยต้นไผ่สีม่วง มองไปราวกับเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์"ท่านหมอเทวดาโปรดรอข้างนอกสักครู่ ข้าจะเข้าไปแจ้งให้ฮูหยินเฒ่าทราบก่อน""รบกวนด้วยแล้ว" ถูซินเยว่พยักหน้าพอจื่อจินหายเข้าไปข้างใน หนิงอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า "ซินเยว่ เจ้านี่เก่งจั
"ซินเยว่" ซูจื่อหังรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปตรงหน้าถูซินเยว่ เมื่อเห็นสภาพที่เหน็ดเหนื่อยของเธอ ผมเผ้ายังยุ่งเหยิงเล็กน้อย หัวใจของเขาก็เจ็บจี๊ดราวกับถูกเข็มแทงทันที มันอึดอัดปวดใจเหลือเกิน"ท่านพี่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?" แม้ว่าตอนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจะไม่ได้เห็นฉากนองเลือดอะไร แต่ตอนนี้ถูซินเยว่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองสํารวจซูจื่อหังตั้งแต่หัวจรดเท้าไปสองรอบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีบาดแผลอะไรจริง ๆ เธอถึงค่อยวางใจลง"ผู้นี้คือ?" นายอำเภอที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของกระดานหมากรุกลูบเคราและเอ่ยปากถามขึ้นอย่างช้า ๆแม้ว่าจะถามออกไปแบบนี้ แต่ดูจากท่าทางที่ตึงเครียดของซูจื่อหังแล้ว เขาก็พอจะเดาออกคร่าว ๆและก็เป็นจริงตามคาด ซูจื่อหังจูงมือของถูซินเยว่เดินไปตรงหน้านายอำเภอแล้วพูดว่า "นี่คือภรรยาของข้าน้อยขอรับ""ที่แท้ก็เป็นแบบนี้" นายอำเภอลูบเคราพลางพยักหน้า ก่อนจะยิ้มพลางกล่าว่า "มิน่าล่ะ เมื่อครู่ข้ายังนึกงสัยอยู่เลยว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ร้อนใจอยากออกไปนัก ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เพราะแม่นางคนงามในบ้านนี่เอง!"ท่าทีที่เป็นมิตรของนายอำเภอทําให้ถูซินเยว่สับสนงุนงงก็อย่างว่า ฉากตรงหน้าเธอน
"เป็นไปได้อย่างไรกันเล่า" หนิงอวี้รีบโบกมือพลางอธิบาย "ก็พ่อบ้านชุยตอนที่บุกเข้าไปในสำนักบัณฑิตนั้นท่าทางโหดเหี้ยมอํามหิตอย่างกับอะไร ข้าก็นึกว่าเจ้าคงจะรอดกลับมายากแล้ว นึกไม่ถึงว่าซินเยว่จะสามารถพาเจ้าออกมาจากจวนนายอําเภอได้โดยไร้รอยขีดข่วนจริง ๆ "พูดไปหนิงอวี้ก็แอบยกนิ้วโป้งให้ถูซินเยว่ถูซินเยว่มองไปยังท้องฟ้าอย่างหมดคําพูด ถ้าพ่อบ้านชุยคิดจะลงมือกับซูจื่อหังจริง ๆ ก็ไม่มีทางรอจนเธอไปได้หรอก ครั้งนี้เป็นเพราะซูจื่อหังต่างหากที่ฉลาดเฉียบแหลมและสามารถปกป้องตัวเองไว้ได้ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเหตุนี้ ต่อให้ถูซินเยว่มีความสามารถมากแค่ไหนก็ตามก็ไร้ประโยชน์"ท่านพี่ซูไม่เป็นไรแล้ว วันนี้ต้องขอบใจพวกเจ้ามากเลย ตกอกตกใจกันไปหมด เดี๋ยวข้าเชิญพวกเจ้าไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงกัน" ทําการค้าขายกับโรงเตี๊ยมเทียนเซียงมาตั้งนานสองนาน แต่ถูซินเยว่ก็ยังไม่เคยได้ไปกินข้าวที่นั่นเลยสักครั้งได้ยินว่าฝีมือการทําอาหารของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงนั้นยอดเยี่ยมที่สุด พอดีเลยวันนี้จะไปลองชิมดูหน่อยหนิงอวี้โบกมือ "ข้าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้ายังต้องกลับไปเรียนหนังสือที่สำนักบัณฑิตอีก"ซูจื่อหังรั้งเขาไว้แล
"ท่านพี่?" ริมฝีปากถูกปิด ถูซินเยว่ลืมตาโพลงโดยไม่รู้ตัว มองดูชายหนุ่มเบื้องหน้า และยังไม่ทันที่นางจะตอบโต้ ฝ่ายชายก็ราวกับคนเสียสติ รุกล้ำเข้ามา บดขยี้แนวฟันของนางออกเดิมทีถูซินเยว่กำลังนอนสะลึมสะลืออยู่ เมื่อถูกกระตุ้นเช่นนี้ ตาก็สว่างในบัดดลนางกับซูจื่อหังแต่งงานมาครึ่งปีกว่าแล้ว แต่ครึ่งปีมานี้ ต่อให้ทั้งคู่นอนบนเตียงเดียวกัน ซูจื่อหังก็ทำตัวเรียบร้อยมาโดยตลอดเขาเป็นผู้ชายที่มีความอดทนสูงมาก และรู้จักให้เกียรติผู้อื่น หากว่าถูซินเยว่ไม่ยินยอม เขาจะไม่ใช้กำลังแข็งขืนเลยแต่วันนี้เป็นอะไรไป?บอกว่าจะจูบ...ก็จูบเลยหรือ?โรงเตี๊ยมไม่ใช่บ้านตัวเอง เตียงก็ไม่ใช่เตียงที่บ้าน ถูซินเยว่นอนไม่ชินมาแต่แรกอยู่แล้ว ริมฝีปากยังถูกซูจื่อหังบดขยี้ นางก็ยิ่งไม่ชินเป็นการใหญ่ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นัยน์ตาเบิกโพลง ปุบปับไม่รู้จะทำยังไงต่อดีซูจื่อหังเห็นนางไม่เอาจริงเอาจัง กลับคิดเกเรขบลิ้นของนางเบา ๆ ไปหนึ่งทีถูซินเยว่ก็ยิ่งเบิกตาโพลง นัยน์ตาเริ่มมีแววสับสน ประกายตาแฝงด้วยความหวาดหวั่นซูจื่อหังเห็นหน้าตานางเช่นนี้ ก็เกิดความรู้สึกนึกอยากข่มเหง เพียงแต่ธนูง้างแล้วจะไม่ยิงก็ไม่ได้ จึงยื่นม
ก่อนหน้านี้นางยังนึกข้องใจ ว่าเมื่อคืนหลับเป็นตายซะขนาดนั้น ได้ถูกซูจื่อหัง..แต่พอได้ยินซูจื่อหังพูดเช่นนี้ ถูซินเยว่จึงเพิ่งนึกได้ ดูท่าเพราะตนนอนหลับสนิท จึงไม่มีเรื่องใด ๆ เกิดขึ้นเป็นแน่ไม่รู้เพราะอะไร ถูซินเยว่กลับถอนหายใจโล่งอกเพราะอย่างไรเสีย ถ้าประสบการณ์ครั้งแรกเกิดจากตนไม่มีความรู้สึกใด ๆ และผ่านไปอย่างถูลู่ถูกัง นางคงจะขาดทุนเป็นอย่างมากแต่ชายหนุ่มผู้นี้ยังเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ทำเอาถูซินเยว่อดรู้สึกเคอะเขินไม่ได้นางก้มหน้าก้มตานึกถึงเรื่องนี้ จนเผลอบ้วนปากอยู่เสียตั้งนานซูจื่อหังอยู่ข้าง ๆ สุดจะทนดูไหว จึงยื่นมือไปเอาถ้วยน้ำจากมือนางออกไป วางบนโต๊ะข้าง ๆ พลางเลิกคิ้วกล่าวว่า "เจ้ากลัวอะไรกัน?"ถูซินเยว่ไอเล็กน้อย เกือบจะกระอักเลือด พลางเงยหน้าขึ้นมองซูจื่อหัง ทั้งคู่ต่างสบสายตากัน ฝ่ายชายไม่มีท่าทีจะหลบเลี่ยง ภายใต้แววตาเช่นนั้น ถูซินเยว่ก็ไม่อาจหลีกหนีเช่นกันนางได้แต่กล่าวว่าตะขิดตะขวงใจว่า "ข้าไม่ได้หวาดกลัว เพียงแต่..ปุุบปับไม่รู้จะทำยังไง.."เพียงแต่เรื่องทำนองนี้ นางไม่รู้จะพูดกับซูจื่อหังอย่างไรดี ที่สำคัญ เมื่อคืนพวกเขาเกือบจะ..จนตอนนี้นา
เห็นเถ้าแก่พูดจามั่นเหมาะเช่นนี้ ชั่วขณะนั้น ในใจถูซินเยว่ก็เริ่มจะคล้อยตามไปสามส่วนนางกับซูจื่อหังสบตากัน แล้วสายตาก็ไปอยู่ที่เถ้าแก่อีก ถามอย่างข้องใจว่า "เมื่อกี้ท่านบอกว่า เหลยชีเคยผ่านการมีสามีมาแล้วสองคน เป็นความจริงหรือ?""ถูกต้อง" เถ้าแก่พยักหน้าอย่างมั่นใจมีสามีสองคน?เคยผ่านการแต่งงานมาก่อนก็เหลือเชื่อแล้ว ยังมีสามีตั้งสองคนอีก? และได้ยินว่างานนี้ มีแม่สื่อมาแนะนำให้แก่ซูฟาเสียงด้วยแม่เฒ่าตระกูลซูเป็นหญิงที่ร้ายกาจมาตลอด แล้วแม่สื่อไม่กลัวจะถูกนางด่าว่าไม่ได้ผุดได้เกิดหรือยังไง?"ท่านพี่ เรื่องนี้ดูมีพิรุธ" ถูซินเยว่แอบกระซิบที่ข้างหูซูจื่อหังเบา ๆซูจื่อหังก็พยักหน้าเห็นด้วย ที่จริงเขาไม่สนใจเรื่องนี้เลย แต่ในเมื่อภรรยาสนใจ เขาก็ต้องตามนางไปด้วยทั้งคู่แอบคุยกันเบา ๆ เมื่อเถ้าแก่เห็นพวกเขาสนใจเรื่องของเหลยชีเช่นนี้ ก็ให้นึกอะไรได้บางอย่าง จู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า "ได้ข่าวว่าวันก่อนมีแม่สื่อไปเจรจาหาคู่ให้แก่เหลยชี อย่าบอกว่าเป็นบ้านของพวกท่านล่ะ?"พูดพลาง สายตาก็ไปจ้บจ้องที่ซูจื่อหังถูซินเยว่รีบเอามือมาโอบซูจื่อหังไว้ พร้อมหรี่ตาและกล่าวว่า "นี่คือสามีของข้า"เถ้าแก
คำพูดประโยคนี้ของซูจื่อหัง ราวกับจะพูดไปขบติ่งหูของนางไป ทำเอาถูซินเยว่เขินอายจนหน้าแดงถ้าอยู่ตามลำพังยังพอว่า แต่นี่ยังอยู่กลางถนนหนทาง ถ้าให้ใครมาเห็นเข้าจะน่าอับอายซักเพียงไหนถูซินเยว่คิดจะผลักตัวซูจื่อหังออกห่าง พลางก้มหน้าพูดอย่างกระดากว่า "ข้าหมดคำชมแล้ว ไม่มีคำพูดอื่นอีก"ซูจื่อหังเลิกคิ้วเล็กน้อย ถูซินเยว่ก็ยิ่งเขินไปใหญ่ ไม่รู้เพราะอะไร เขาคิดอยากรังแกนางเป็นที่สุด"ถ้าไม่ยอมพูด ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป"ชายหนุ่มกางแขนออก กั้นตัวนางประชิดกับกำแพงด้านหลังทรวงอกของซูจื่อหังแข็งแกร่งนัก ข้อนี้ถูซินเยว่ได้สัมผัสในเมื่อคืนนี้แล้ว เพราะไม่ว่านางจะผลักยังไง ก็ไม่อาจผลักไสเขาให้ออกห่างได้ใบหน้าของชายหนุ่มมาแนบชิด สองตาจ้องเขม็งมาที่ตน ลมหายใจอุ่นสัมผัสถูกใบหน้า หัวใจของถูซินเยว่เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาสมองนางกำลังใช้ความคิดอย่างวุ่นวาย รีบหาคำพูดออกมาเร็ว ๆ ซี่ ทันใดนั้นเอง ซอยด้านนอกก็มีคนสองคนเดินผ่าน เหลียวมองถูซินเยว่กับซูจื่อหังที่อยู่ข้างใน กำลังโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มเล็กน้อย"ดูสิ สองคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่?""อย่าไปดูเลยน่า คนเค้ากำลังจู๋จี๋ไม่เห็นหรือ?"แม้จ
"ตอนนี้คนอยู่ที่บ้านของย่าเจ้าไม่ยอมไปไหน เห็นว่าหัวแตก จะให้ย่าเจ้าชดใช้สิบตำลึง..." นางหยูถอนหายใจและโบกมือ เงินสิบตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยตั้งแต่ที่พวกเขาแยกบ้านกัน ก็ไม่เคยมีเงินเข้ากระเป๋าของแม่เฒ่าตระกูลซูอีกเลย ไม่เพียงเท่านี้ ซูฟาเสียงก็เป็นจอมผลาญเงิน ปีใหม่กลับมาที่บ้านก็คงล้วงเอาเงินที่บ้านไปแล้วอีกหลายตำลึงตอนนี้ให้แม่เฒ่าตระกูลซูจ่ายเงินสิบตำลึงเท่ากับเอาชีวิตนางเลยมิใช่รึ?นางหยูอยากรีบไปช่วย แต่เมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่แม่เฒ่าตระกูลซูและซูเฟิ่งอี๋ทำกับตนเอง ก็ชะงักฝีเท้า ลังเลที่จะเดินต่อ อีกอย่างนางพูดจาไม่เป็น และมีเรื่องกับคนอื่นไม่เป็น และเงินของที่บ้านก็อยู่ในมือของซินเยว่ต่อให้ตนเองไปก็ช่วยอะไรไม่ได้กลับเป็นถูซินเยว่ที่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า "เรื่องนี้ท่านย่าให้ท่านแม่มาหาข้าหรือ?""ไม่ใช่หรอก" นางหยูส่ายหน้าตอนนี้แม่ฒ่าตระกูลซูและซูเฟิ่งอี๋โดนแม่สื่อคนนั้นรั้งเอาไว้ที่ลานบ้าน จะมาขอความช่วยเหลือนางได้อย่างไร?นางหยูเพียงแต่ได้ยินว่าฝั่งโน้นมีเรื่องกันเอะอะเสียงดังจึงรู้สึกเป็นกังวล"ในเมื่อท่านย่าไม่ได้มาหาท่าน ท่านจะรีบไปทำไม? ถึงตอนนั้นไม่เพีย
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด