“เฉินจือ ที่ฉันบอกว่าจะรักษาคุณ ฉันจะรักษาคุณให้หายให้ได้” ฉู่เหมียนหันไปมองหมอที่อยู่ข้างนอกและร้องเรียก “ผู้อำนวยการฉู่คะ เฉินจือได้รับบาดเจ็บค่ะ”“ขอบคุณนะหมอฉู่ ถึงแม้ฉันจะตายก็ไม่เป็นไรหรอก” น้ำเสียงของเฉินจือนั้นช่างเบาและอ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกัน ฉู่เหมียนเองรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมากใครบ้างไม่อยากเป็นผู้หญิงที่สวยและสง่างาม แต่ชีวิตกลับผลักให้เธอต้องกลายมาเป็นผู้หญิงบ้าน ๆ คนหนึ่ง ส่วนทางด้านเมิ่งวั่งได้ถูกตำรวจจับตัวไปเป็นทึ่เรียบร้อยแต่หัวใจของฉู่เหมียนกลับรู้สึกหนักอึ้ง ไม่สามารถวางใจได้เลยเธอเคยบอกว่าเฉินจือนั้นอ่อนแอ และเธอเองก็เกลียดคนอ่อนแอแบบนี้ แต่เมื่อตอนเมิ่งวั่งวิ่งเข้ามาจะจู่โจมเธอ เฉินจือผู้หญิงบ้าน ๆ ที่อ่อนแอ กลับมายืนขวางหน้าเธอไว้เมื่อเห็นเฉินจือถูกหมอพาตัวไป ฉู่เหมียนก็รู้สึกใจหาย“ฉู่เหมียน เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงของชูหลานดังขึ้นในหูฉู่เหมียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอดูเหม่อลอยชูหลานขมวดคิ้วและช่วยฉู่เหมียนให้ลุกขึ้น “ตกใจใช่ไหมล่ะ?”“ไม่เป็นไรแล้วนะ ตำรวจจับคนบ้าไปแล้ว ฉู่เหมียน เดี๋ยวฉันพาเธอไปพักเอง”เมื่อฉู่เหมียนเดินไปหนึ่งก้าว ขาของเธ
ฉู่เหมียนเงยหน้าขึ้น มือข้างหนึ่งกำลังประคองที่ไหล่ของเธอแท้จริงแล้วคือหลินไห่เม่ยและจ้าวซิ่วหยา ทั้งสองคนรีบเร่งและในดวงตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความกังวล“เหมียนเหมียน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พอพวกย่าเห็นข่าวก็รีบมาทันที!” หลินไห่เม่ยถามด้วยสีหน้าวิตกกังวล เธอกุมมือของฉู่เหมียนและมองสำรวจร่างกายเธอทั้งตัวฉู่เหมียนมองดูพวกเธอ และเมื่อนึกถึงครอบครัวที่มาถึงเป็นคนแรก เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเฉินจือมากจริง ๆ “คุณย่า หนูไม่เป็นอะไรค่ะ” ฉู่เหมียนกางแขนเหมือนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างร่าเริง“ย่าเห็นข่าวว่าหนูโดนจับตัวไว้ ตกใจแทบแย่!” หลินไห่เม่ยแตะหัวของฉู่เหมียนเบา ๆ “หนูนี่จริง ๆ เลย!”เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร โจวซิ่วหยาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คุณย่า แม่คะ หนูทำให้เป็นห่วงเลย ขอโทษด้วยนะคะ” ฉู่เหมียนเอ่ยขอโทษอย่างน่าสงสารทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา “ยังมาทำตัวน่าสงสารอีก!”“ก็หนูรู้ว่าคุณย่าและแม่ทั้งรักทั้งตามใจหนูไงคะ” ฉู่เหมียนโอบกอดหลินไห่เม่ยด้วยความอบอุ่นหลินไห่เม่ยลูบหัวฉู่เหมียนด้วยความเอ็นดู เธอเอ็นดูฉู่เหมียนจากใจจริงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉู่เหมียนจะไม่ใช่
ฉู่เหมียนรู้สึกถึงความสุขล้นอกอีกครั้งเธอพิงทึ่หัวเตียง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างหาก… เธอจะมีความสุขมากขึ้นอีก…ในช่วงเย็นเดิมทีฉู่เหมียนตั้งใจจะกลับบ้าน แต่หลินเฮิงชุยกลับมาเยี่ยมเธอและยืนกรานให้เธอตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน และพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกสองวันทางด้านเฉินจือได้พ้นขีดอันตรายแล้ว โชคดีที่ไม่มีอะไรน่าห่วงการอยู่คนเดียวในห้องผู้ป่วยทำให้ฉู่เหมียนนั้นรู้สึกเบื่อ แม้ว่าเธอจะสบายดี แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนเธอกลายเป็นเหมือนสมบัติชาติที่ต้องถูกเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดติ๊ง ข้อความจากโจวซิ่วหยาดังขึ้นมาในโทรศัพท์: ‘เหมียนเหมียน เกี๊ยวใกล้จะถึงแล้วนะลูก!’เมื่อนึกถึงเกี๊ยวฝีมือคุณแม่ ฉู่เหมียนรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้น่าเบื่อเท่าไหร่นักฉู่เหมียนทำการล้างผลไม้เรียบร้อย และชงชารอไว้สองแก้ว เพื่อรอต้อนรับหลินไห่เม่ยและโจวซิ่วหยาก๊อก ก๊อก มีเสียงเคาะประตูจากห้องผู้ป่วยฉู่เหมียนรีบเอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาได้เลยค่ะ!”เธอหันมาพร้อมรอยยิ้ม แต่เมื่อเห็นคนที่เข้ามาก็ถึงกับต้องชะงักกู้ว่างเชิน?เขาถือกล่องอาหารไว้ในมือ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายขณะเดินเข้ามาในห้องพักผู้
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่จ้องมองเธอฉู่เหมียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ถูกเขาจ้องมอง เธอจึงก้มหน้ากินเกี๊ยวไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเขายังคงมองเธออยู่“มองฉันแล้วมันอิ่มหรือไง? กินของตัวเองไปสิ หยุดมองฉันได้แล้ว!” ฉู่เหมียนรีบคีบเกี๊ยวใส่ถ้วยของเขาเขาก้มลงมองเกี๊ยวในถ้วย แล้วส่ายหัวเล็กน้อยทันใดนั้นเหมือนฉู่เหมียนจะนึกอะไรออก จึงคีบเกี๊ยวที่เธอให้เขาออกจากถ้วยของเขา “?” กู้ว่างเชินรู้สึกงุนงงกับการกระทำของเธอเธอกำลังทำอะไรน่ะ? ฝึกใช้ตะเกียบหรือไง?“ฉันลืมไป ว่านายไม่ชอบให้คนอื่นคีบให้” ฉู่เหมียนพูดขณะยัดเกี๊ยวเข้าปาก“…” กู้ว่างเชินถึงกับพูดไม่ออกเขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจ“ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นเธอเชื่อฟังแบบนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ก็เพราะเมื่อก่อนฉันเป็นภรรยานายไงล่ะ ภรรยาก็ต้องมีสิทธิ์ทำตามใจตัวเอง คิดว่าตัวเองคงจะต่างจากคนอื่นในใจนาย…” ฉู่เหมียนตอบอย่างจริงจังกู้ว่างเชินมองเธอ และเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกตำหนิ“ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หลังหย่าก็กลายเป็นคนแปลกหน้า คน
ฉู่เหมียนถึงกับชะงักเขายืนกอดอกมองดูเธอ แววตาจับจ้องสีหน้าตกตะลึงของเธอ “ไม่ได้หรือไง?”“รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ” เธอเอ่ยเสียงเบา “ตรงไหนที่ไม่เหมาะ?” กู้ว่างเชินยิ้มมุมปาก“เราสองคนอยู่กันลำพังไม่เหมาะ” เธอพูดด้วยหน้าจริงจัง“ไม่เหมาะ?” เขาหรี่ตาลง เดินเข้ามาใกล้เตียงของเธอใจของเธอรู้สึกไม่ค่อยดี เธอขยับตัวถอยขึ้นไปบนเตียง กู้ว่างเชินก้มตัวลง วางมือทั้งสองข้างขนาบอยู่ข้างหูเธอ “วันนั้นบนรถ เธอไม่ได้พูดแบบนี้นี่”“?” เธอครุ่นคิด วันนั้นบนรถ?วันไหนกัน?เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าเธอจะลืมอะไรไป?“วันนั้นเธอเมาอยู่ที่บาร์ ในระหว่างทางกลับ เธอทำท่าทีอย่างนั้นกับฉัน นี่คุณฉู่ คุณลืมแล้วเหรอ?” กู้ว่างเชินหรี่ตาลงเล็กน้อย แฝงด้วยแววตายั่วยวนเธอถึงกับชะงัก วันนั้นที่บาร์…ให้เวลาสองสามวินาทีให้เธอได้คิดทบทวนสักหน่อย!เธอจำได้ว่าไปดื่มกับเสิ่นเหราที่บาร์ แล้วเจอต้วนจิ่นเหนียนจากนั้น… ก็ดูเหมือนจะเจอกู้ว่างเชินแล้วหลังจากนั้นล่ะ?“เธอทั้งจับทั้งจูบฉัน ดูเหมือนว่าจะลืมไปแล้วจริง ๆ …”แต่เขาไม่สามารถลืมได้ แล้วชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันลืมด้วยเพราะเธอดันคิดว่าเขาเป็นผู้ชายข
กู้ว่างเชินเปิดแสงจากโทรศัพท์ ก่อนจะเห็นฉู่เหมียนบีบตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขา“ฉู่เหมียน?” กู้ว่างเชินอดไม่ได้ที่จะเรียกเธอเธอเงียบพื้นที่บนโซฟามีขนาดเล็ก หลังของกู้ว่างเชินถูกดันชิดพนักพิงหลังโซฟา ฉู่เหมียนพลิกตัว กู้ว่างเชินรีบคว้ามือเธอทันที แล้วดึงเธอกลับเข้ามาหาตัวเองพื้นที่เล็กนิดเดียว เธอขยับนิดหน่อยก็จะตกลงไปแล้วเธอกำลังละเมออยู่งั้นเหรอ?…เช้าตรู่ฝนที่ตกหนักหยุดลงแล้ว และอากาศในเมืองอวิ๋นก็สดชื่นพยาบาลเข้ามาเจาะเลือดก็เห็นคนสองคนนอนกอดกันอยู่บนโซฟาพยาบาลเหลือบมองและไม่กล้ารบกวนพวกเขา จึงไปที่ห้องผู้ป่วยอื่นก่อนเสียงปิดประตูดังคลิ้ก ฉู่เหมียนขมวดคิ้วและค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่ดึงดูดสายตาเธอคือใบหน้าที่หล่อเหลาของกู้ว่างเชิน ฉู่เหมียนตกใจ และกำลังจะกลิ้งตกโซฟาจนกระทั่งเอวของเธอถูกกระชับและดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขาเขาลืมตาขึ้น ขนตาหนาของเขาขยับเล็กน้อย “กี่โมงแล้ว?”เสียงของเขาแหบแห้ง ฟังดูงัวเงียจากการตื่นนอนฉู่เหมียนตกตะลึง ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?กู้ว่างเชินจ้องไปที่ใบหน้าที่สวยงามและละเอียดอ่อนของฉู่เหมียน ลำคอของเขาขยับ จากนั้นก็รู้สึกตื่นขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้น ขานตอบเบา ๆ และผูกเนกไทต่อ ราวกับว่าไม่ได้สนใจอะไรต้องบอกว่าผู้ชายคนนี้หล่อมากเกินไปจริง ๆ แม้จะเป็นตอนที่งัวเงียหลังจากเพิ่งตื่นนอนก็ตามเขาเม้มริมฝีปากแล้วหยิบเสื้อสูทที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ฉู่เหมียนมองดูปลายนิ้วเรียวบางของเขาที่กำลังติดกระดุมเสื้อทีละอันชิลู่เจียวช่างโชคดีจริง ๆ“ไปก่อนนะ” เขากล่าวฉู่เหมียนยืนอยู่ตรงนั้น มองดูแผ่นหลังของเขาที่จากไป พลางถอนหายใจในใจเมื่อเดินไปถึงประตู จู ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าและหันกลับมามองฉู่เหมียนฉู่เหมียนก็มองเขาเช่นกัน หื้ม?ทันใดนั้นเขาก็ยกมุมปากขึ้น เลิกคิ้ว แล้วพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ “เอวของคุณฉู่นั้นนุ่มมากจริง ๆ”ฉู่เหมียน “...”ให้ตายเถอะ!เมื่อนึกถึงตัวเองที่เผลอหลับแล้วเข้าไปในอ้อมแขนของเขาเมื่อกลางดึก ฉู่เหมียนก็รู้สึกอาย เธอมันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆแค่เสียงฟ้าร้อง ฝนตกเองไม่ใช่เหรอ จะกลัวอะไร?น่าอายที่สุด!แล้วเมื่อคืนนี้เขาพูดถึงคืนที่เขาเมา...มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาเมากัน? เธอลืมอะไรไปกันแน่?ทำไมกู้ว่างเชินถึงได้ดูกัดฟันเมื่อพูดถึงเรื่องในคืนนั้น?เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉู่เหมียนก็รู้สึกหงุดหงิดอ
“ผู้อำนวยการชู ให้ฉันออกจากโรงพยาบาลเถอะนะคะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ!”ชูหลานมาเยี่ยมฉู่เหมียน ฉู่เหมียนจับแขนของเธอและอ้อนวอนขอร้องให้ตัวเองออกจากโรงพยาบาลอย่างน่าสงสารชูหลานดูผลตรวจของฉู่เหมียนและพูดอย่างเกียจคร้าน “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้เธอออกจากโรงพยาบาล แต่ผอ.หลินต่างหากที่ไม่ให้เธออก ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้!”“เฮ้อ!” ฉู่เหมียนนั่งลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด และมองชูหลานพลางเบ้ปาก “ฉันอยากกลับไปทำงานแล้ว ฉันรักงานของฉันมาก ผู้อำนวยการชู คุณเข้าใจฉันไหมคะ?”ชูหลานหัวเราะต้องตามเธอเข้าห้องผ่าตัดทุกวัน ยุ่งมากทั้งกลางวันและกลางคืน แถมยังถูกเธอวิพากษ์วิจารณ์อีก ฉู่เหมียนจะรักงานของเธอได้ยังไง?“เอาล่ะ ฉันจะไปคุยกับผอ.ให้” ชูหลานลูบหัวฉู่เหมียนเบา ๆฉู่เหมียนทำตัวเป็นเด็กดีทันที“ฉันขอไปเยี่ยมเฉินจือได้ไหมคะ?” ฉู่เหมียนถามชูหลานชูหลานพยักหน้า “ได้สิ”ฉู่เหมียนเปลี่ยนรองเท้าทันทีและเดินตามชูหลานไปเยี่ยมเฉินจือเฉินจือยังไม่พ้นขีดอันตราย และยังอยู่ในห้องไอซียูถึงแม้ว่าเมิ่งวั่งจะแทงเธอเข้าที่ท้อง แต่ก็แทงลึกมาก สิ่งสำคัญคือเขายังดึงมีดออกหลังจากแทงเข้าไปแล้ว!ฉู่เหมียนมองเฉิ
ฉู่เหมียนไปที่ฐาน M ในทันที เธอต้องการรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องลู่เจียวเธอทนไม่ได้กับความอับอาย แม้แต่นิดเดียวก็ทนไม่ได้!โม่อี้กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล เขาตรวจสอบทุกมุมแล้ว แต่ก็หาคนที่เข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการไม่พบ“ดูกล้องวงจรปิดตรงหน้าต่างซิ” ฉู่เหมียนสั่งโม่อี้เสียงเย็นโม่อี้หันไป ก็เห็นฉู่เหมียนยืนอยู่ข้างหลังเขา “หัวหน้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”“เมื่อกี้” ฉู่เหมียนพูดเสียงแข็ง ชัดเจนว่ากำลังโกรธ คำสองคำนั้นเหมือนเค้นผ่านไรฟันออกมาโม่อี้กำลังตรวจสอบอย่างตั้งใจมาก จนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอมาโม่อี้ร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง รีบเปลี่ยนภาพกล้องวงจรปิดไม่ลืมเหลือบมองฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังดูตรงหน้าต่าง… เดี๋ยวนะ“หน้าต่างโรงพยาบาลเหรอ?” โม่อี้เหยียดยิ้ม ดูเหมือนจะไม่เชื่อ “หัวหน้า นั่นมันชั้นที่สามสิบกว่านะ คนคนนั้นจะเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อแจ้งเบาะแสเรื่องลู่เจียวเหรอ? บ้าไปแล้ว!”แล้วก็ไม่มีที่ให้เข้าไปด้วยนี่นา?“นอกหน้าต่างห้องทำงานของหลินเฉิงชุยมีระเบียง พอจะเข้าไปได้” ฉู่เหมียนคลายความสงสัยของเขาโม่อี้รีบตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห
“ฉันไม่ได้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับน้องสาวคุณ เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ฉู่เหมียนไม่อยากติดต่อกับคนตระกูลลู่“คุณฉู่ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ลู่อี้อธิบายฉู่เหมียนเงียบไปสามวินาที ก่อนจะเดินไปที่รถ “คุยกันตรงนี้แหละ”ลู่อี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้“ฉู่เหมียน ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่บัตรใบนี้มีมูลค่าสองล้าน” ลู่อี้ยื่นบัตรเครดิตมาให้ฉู่เหมียนตกใจเมื่อเห็นบัตรเครดิตใบนี้เขาหมายความว่ายังไง?“ขอให้คุณใจดีกับน้องสาวผมด้วย” เขาจ้องฉู่เหมียน นัยยะคือ เรื่องนี้เป็นฝีมือคุณ รับเงินสองล้านนี้ไป แล้วจบเรื่องไปซะฉู่เหมียนหัวเราะเขาคิดจะใช้เงินฟาดหัวเธอ นี่ไม่ใช่การดูถูกเธอหรอกเหรอ?“คิดว่าเงินแค่สองล้านจะเปลี่ยนทัศนคติของฉันที่มีต่อน้องสาวคุณได้เหรอ?” ฉู่เหมียนหยิบบัตรเครดิตขึ้น พลางจ้องมองลู่อี้อย่างเยาะเย้ย “ฉันจ่ายให้คุณสองล้าน หวังว่าคุณจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก เป็นคุณจะรู้สึกยังไง?”“ฉู่เหมียน คุณไม่ยุติธรรมเลย! กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ!” ลู่อี้ขมวดคิ้ว คิดว่าฉู่เหมียนไม่เข้าใจเหตุผล“ฝ่ายที่ไม่ยุติธรรมคือตระกูลลู่ของคุณต่างหาก!” ฉู่เหมียนโยนบัตรเครดิตใส่ลู่อี้พวกเขาทั้งคร
ชูหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เธอพูดว่า “ไม่มีเลย ตอนนั้นเลิกงานพอดี ฉันเลยเอาเอกสารมาให้ผู้อำนวยการ”ฉู่เหมียนเงียบไปสองสามนาที เธอมองวิดีโอในโทรศัพท์ สักพักก็คิดอะไรไม่ออก “ค่ะ”ถ้าไม่ใช่ชูหลานที่เอาเข้ามา งั้นจดหมายร้องเรียนที่ไม่ระบุชื่อนี่บินเข้ามาเองงั้นเหรอ?ไม่ไกลนัก หม่าจือหยางเดินเข้ามา เขามีสมุดประวัติการรักษาสองเล่มในมือ พูดพลางเดินเข้ามา “คุณหมอชู พรุ่งนี้ผมขอลาพักร้อนนะครับ”ชูหลานเหลือบมองหม่าจือหยาง หม่าจือหยางยื่นใบลาพักร้อนให้ชูหลาน“ค่ะ” ชูหลานตอบรับหม่าจือหยางมองฉู่เหมียน แล้วเลิกคิ้ว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปฉู่เหมียนสังเกตเห็นใบลาพักร้อนในมือของชูหลาน นั่นเป็นลายมือของหม่าจือหยางแน่นอน“ลายมือรองผู้อำนวยการหม่า สวยดีนะคะ” ฉู่เหมียนพูด“ค่ะ ลายมือรองผู้อำนวยการหม่าอ่านง่ายดี หนักแน่นด้วย” ชูหลานเก็บใบลาพักร้อนไว้ฉู่เหมียนเหลือบมองอีกสองสามครั้ง แล้วก็ไปทำงานต่อแผนกฉุกเฉิน ฉู่เหมียนไปส่งเอกสาร กำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงคนเรียก “คุณหมอฉู่ มารับคนไข้เหรอคะ?”ฉู่เหมียนงง อะไรนะ?“มีคนไข้ของแผนกคุณอยู่ที่นี่พอดี อย่าลืมไปรับนะคะ” พยาบาลสาวเตือนฉู่เหมี
ฉู่เหมียน “…” ก็เธอไม่ใช่เหรอ?“ตำแหน่งของใครมีความขัดแย้งกับลู่เจียวมากที่สุด?”ฉู่เหมียน “…”แผนกศัลยกรรมหัวใจมีหมอสองคน ถ้าตำแหน่งเดียวกัน ก็คงเป็นฉันสินะฉู่เหมียน “คุณหมอหลิน อย่าเอาแต่วิเคราะห์เลยค่ะ” ขืนยังวิเคราะห์ต่อไป เดี๋ยวจะถูกตัดสินว่ามีความผิดเอาเสียเองทุกอย่างชี้ไปที่เธอ ยากจะแก้ตัวจริง ๆฉู่เหมียนเท้ามือลงบนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ขนาดวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันยังนอนไม่หลับเลย”“งั้น… คุณพักร้อนสักสองสามวันไหมครับ?” หลินเฮิงชุยถามความเห็นของฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังฉู่เหมียนตกใจ ทำไมล่ะ? ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับตัวเองมีความผิดน่ะสิ!เธอไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไม่เพียงแต่จะไม่พักร้อน แต่ยังจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างองอาจทุกวันอีกด้วยจดหมายแจ้งเบาะแสฉบับนี้ “จริง ๆ แล้ว คุณไม่ได้เป็นคนเขียนใช่ไหม?”หลินเฮิงชุยเองก็เริ่มสงสัยแล้วฉู่เหมียน “…” ฉู่เหมียนเริ่มปวดหัว“ฉันไปดูที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดดีกว่า” ฉู่เหมียนยิ้มขณะที่กำลังพูด ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะ เป็นพนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องนี้“ผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดออกแล้วเหรอครับ?” หลินเฮิงชุยสวมแว่น รู้สึกว่ามีหว
ขณะที่ฉู่เหมียนกำลังคิดไม่ตกว่าจะพูดอย่างไร เสียงแตกของแจกันที่ตกพื้นในห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้น“กรี๊ดดด!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังแว่วแทรกเข้ามาในหูกู้ว่างเชินรีบเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปทันที พบว่าผลไม้ถูกโยนมาตกอยู่ที่เท้าของเขากู้ว่างเชินเดินเข้าไปข้างใน ลู่เจียวกำลังนั่งอยู่บนเตียง ผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนจะใกล้ถึงขีดสุดของความอดทนเมื่อลู่เจียวเห็นกู้ว่างเชิน เธอก็ร้องไห้จนพูดไม่ออก จบแล้ว จบสิ้นแล้วจริง ๆกู้ว่างเชินไม่ยอมรับตัวตนของเธอ ตอนนี้อาชีพที่เธอภาคภูมิใจที่สุดก็หายวับไปแล้ว!เธอจะทำอย่างไรดี?กู้ว่างเชินขมวดคิ้ว ลู่เจียวดูโทรมลงทุกวัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องมีปัญหาแน่ กู้ว่างเชินเก็บของที่ตกอยู่บนพื้น ลู่เจียวก็โยนลงไปอีกกู้ว่างเชินไม่พูดอะไร แค่คอย ๆ เก็บขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งลู่เจียวเหนื่อยที่จะโยน เธอหยุดโยนแล้วเอาแต่ร้องไห้กู้ว่างเชินรู้สึกอึดอัดใจ เดินเข้าไปลูบหัวลู่เจียวเพื่อปลอบโยน เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่เจียวก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมเธอลุกขึ้นคุกเข่าแล้วโอบกอดกู้ว่างเชินไว้ ดูเหมือนว่ามีเพียงกู้ว่างเชินเท่
ฉู่เหมียนตกใจ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงกับต้องฉีดยา!“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณกู้กำลังรออยู่หน้าห้อง เป็นห่วงเจียวเจียวมาก” ซางหานถอนหายใจพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าฉู่เหมียนแพ้แบบไม่ยุติธรรม!ทุกอย่างของฉู่เหมียนดีกว่าลู่เจียว แต่กลับแพ้ในเรื่องของกู้ว่างเชินฉู่เหมียนกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น “ฉันจะไปดูหน่อย”“อย่าไปเลยค่ะ ถ้าเจียวเจียวตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเธอจะด่าคุณยังไงบ้าง พยาบาลบอกว่าตอนที่เธอกำลังใจเสีย เธอพูดว่า...” พูดมาถึงตรงนี้ ซางหานก็เงียบไปฉู่เหมียนไม่เข้าใจ พูดว่าอะไรล่ะ?ซางหานเกาหัว ดูเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อฉู่เหมียนยิ้ม “พูดมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”คำพูดที่ออกมาจากปากของลู่เจียวเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวกับเธอ…ฉู่เหมียน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่“ลู่เจียวบอกว่า เธอจะฆ่าคุณซะ...” ซางหานพูดฉู่เหมียนเม้มปาก เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย“เพราะงั้นคุณหมอฉู่ ตอนนี้คุณต้องระวังตัวตอนอยู่ในโรงพยาบาลนะคะ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าคุณเป็นคนแอบเขียนจดหมายร้องเรียน” ซางหานเตือนฉู่เหมียนฉู่เหมียนพยักหน้า ลูบหัวซางหาน “ได้ พี่รู้แล้ว ไปทำงานเถอะ!”“
ร่างกายของฉู่เหมียนเบี่ยงหลบทัน ทำให้มือของหลิ่วอิงพลาดเป้าหลิ่วอิงขมวดคิ้ว “แกยังกล้าหลบอีกเหรอ?”“พ่อแม่ฉันยังไม่เคยกล้าตีฉันเลยสักครั้ง คุณเป็นใครกันถึงมาทำแบบนี้?” ฉู่เหมียนถามหลิ่วอิงอย่างท้าทายหลิ่วอิงอึ้งไปชั่วขณะ เธอจ้องฉู่เหมียนด้วยความโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา“ถ้าฉันมีลูกสาวอย่างแก ฉันจะ...” หลิ่วอิงชี้ไปที่ฉู่เหมียน ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธฉู่เหมียนยิ้ม “โชคดีที่ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณ และคุณก็ไม่มีลูกอย่างฉัน”พูดตามตรง ถ้าเธอมีแม่แบบหลิ่วอิง เธอก็อยากจะกระโดดตึกตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!“นี่แก! นังตัวแสบ!” หลิ่วอิงโมโหจนสติแตกลู่อี้ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าฉู่เหมียนกับแม่ของเขาไม่เพียงแต่หน้าตาคล้ายกันแต่กระทั่งนิสัยที่ดื้อรั้นก้าวร้าวก็เหมือนกันอย่างน่าประหลาดลู่อี้กลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็เห็นฉู่เหมียนเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาหลิ่วอิงที่โกรธจนหน้ามืดก็หันหลังกลับมุ่งหน้าสู่ห้องประชุมทันที เห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนจะเจรจาเข้าใจกันเป็นอย่างดีลู่อี้อดไม่ได้ที่จะดึงแขนหลิ่วอิงไว้ แล้วถามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “แม่ครับ แม่ไม่คิดว่า เ
ปัญหาอยู่ที่ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ นี่มันทำลายอนาคตของลู่เจียวชัด ๆ“งั้นบอกมาสิ ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นใคร?” หลิ่วอิงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สำหรับแม่คนหนึ่ง อนาคตของลูกสาวถูกทำลาย มันเจ็บปวดกว่าการตายเสียอีก เธอรู้สึกผิดที่ปกป้องลู่เจียวไม่ได้ รู้สึกว่าในเมื่อลู่เจียวทุกข์ เธอก็ทุกข์เหมือนกัน…“ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวคุณเมาแล้วพูดอะไรออกมาบ้าง สรุปแล้ว…” ฉู่เหมียนเดินไปหาหลินเฮิงชุย เธอยกจดหมายไม่เปิดเผยตัวตนขึ้นมาดู “คุณหมอคะ ฉันมาเพื่อชี้แจงว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนเขียน”“ถ้าคุณหมอจะสอบสวน ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่” ฉู่เหมียนไม่กลัว เธอไม่ได้เขียน ก็คือไม่ใช่เธอเขียน เธอเกลียดลู่เจียวมาก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยคิดจะทำร้ายลู่เจียว ใช่ว่าเธอไม่สู้คน เพราะเธอสู้ได้มากกว่าใคร แต่เพราะลู่เจียวเป็นคนที่กู้ว่างเชินรัก เธอจึงอดทนมาตลอด แต่ถ้าตระกูลลู่มาใส่ร้ายเธอ ฉู่เหมียนจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป“ได้ครับ ฉู่เหมียน ผมเข้าใจแล้ว” หลินเฮิงชุยตอบกลับอย่างจริงจังหลิ่วอิงยังคงไม่พอใจ “คุณหมอคะ ลูกสาวฉันถูกพักงานใช่ไหม? ฉันต้องการให้เธอโดนพักงานด้วย!”เมื่อได้ยินคำพูดนั้
ห้องประชุมโรงพยาบาล ตรงข้ามคุณหมอหลินเฮิงชุ่ยนั่งกันอยู่สามคน คือพ่อและหลิ่วอิง และลู่อี้ที่มาร่วมประชุมสายเห็นได้ชัดว่าเรื่องของลู่เจียวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลลู่ ถึงกับทำให้ทั้งสามคนต้องมาโรงพยาบาลกันพร้อมหน้าหลินเฮิงชุยพลิกดูประวัติการศึกษาของลู่เจียวแล้วมองทั้งสามคนอย่างมีนัยยะสำคัญ“คุณลู่… ประวัติการศึกษาของลูกสาวคุณ…” หลินเฮิงชุยพูดขึ้นมาหลิ่วอิงรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ประวัติการศึกษาของลูกสาวฉันถูกต้อง ไม่มีการปลอมแปลงแม้แต่น้อย!”“ใช่ครับ แต่ตอนนี้มีคนแจ้งว่าคุณลู่เจียวได้เข้าเรียนคณะแพทย์โดยการแย่งโควตาของคนอื่น” หลินเฮิงชุยพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน การแย่งโควตาเรียนถือเป็นเรื่องใหญ่ เทียบได้กับคดีอาชญากรรม“ใครเป็นคนแจ้ง?” ลู่อวี้เหิงหน้าตาเปลี่ยนไปทันที “นี่มันใส่ร้ายลูกสาวผมชัด ๆ!”หลินเฮิงชุยรีบพูดขึ้นมา “คุณลู่ครับ อย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานอยู่”“บอกมาสิว่าใครแจ้ง!” หลิ่วอิงโมโห เธอตบโต๊ะดังปัง “ลูกสาวฉันยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย ใครมันมาใส่ร้ายลูกสาวฉันแบบนี้!”หลินเฮิงชุยตอบ “เป็นการแจ้งเบาะแสแบบไม่เปิดเผยตัวตนครับ”“แ