หล่อนอายเขาเรื่องแตะเนื้อแตะตัวหล่อนไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ชิดตัวเองมาก่อนยกเว้นนอกจากน้องชาย
“ไม่ต้องค่ะรบกวนคุณนั่งพักก่อนเถอะอรพอไหว”
“เอแต่คุณเจ็บอยู่นะยังทำหน้านิ่วอย่างนี้อีกผมรู้ว่าคุณเจ็บ ทนอีกหน่อยผมอาจมีส่วนช่วยคลายอาการเจ็บของคุณให้ดีขึ้น”
เขาแย้งและเถียงจนศรีบังอรไม่รู้ที่จะพูดอะไรในเมื่อเขาดื้ออย่างนี้เลยปล่อยให้หยิบยานวดคลายกล้ามเนื้อที่หมอให้มานวดคลึงเบาๆนุ่มนวลที่บริเวณข้อเท้าซึ่งเจ็บอาการปวดหนึบๆเกิดและรุนแรงขึ้น
“พอแล้วค่ะภุมมินทร์อรรู้สึกเจ็บ”
“ถ้ามันไม่เจ็บก็ไม่หายนะสิสักพักก็ค่อยยังชั่วล่ะต้องหมั่นนวดบ่อยเส้นจะได้คลายยืด”
ภุมมินทร์ปฏิบัติให้แก่หล่อนอย่างไม่นึกรังเกียจสักนิดชั่วครู่เขาจึงละตัวออกจากข้อเท้าของหล่อนเมื่อนวดจนเขาเห็นว่าพอสมควรแล้วแต่เขาก็ยังไม่กลับบ้านยังเดินวนเวียนอยู่แถวระเบียงที่มีเถาดอกไม้หลากสีพาดพันทั้งมะลิวัลย์กุหลาบมอญ
“คุณพักอยู่กับน้องชายของคุณไม่ใช่หรือป่านนี้ทำไมเขายังไม่กลับมาอีกผมไม่กล้าทิ้งคุณไว้คนเดียวหรอกอร”
เขาบอกหล่อน และพูดต่อไปว่า “ให้ผมอยู่ก่อนเถอะนะ จนถึงเวลาที่น้องชายคุณกลับมา ถึงค่อยกลับ เพราะคุณอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ผมจะได้บอกเขาไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณที่ทำงานเขาจะช่วยดูแลคุณมากกว่านี้นะอร”
ภุมมินทร์พูดต่อ ค่อนข้างยาว หล่อนแสนซาบซึ้งในน้ำใจเขายิ่งนัก
“ขอบคุณค่ะแต่ว่าอรพอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วคิดว่าถ้ามินทร์ มีธุระอะไรสำคัญก็กลับไปก่อนเถอะค่ะบ้านหลังนี้อรอยู่มาจนชินแล้วคนแถวนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้นไม่เคยมีใครทำอันตรายมาก่อนค่ะ” หล่อนเอ่ยยืนยันกับเขาเสียงแข็งเขามีความรู้สึกว่าหล่อนไล่เขา
“อย่าไล่ผมเลยแม้ว่าผมจะเชื่อที่คุณพูดแต่อาการเจ็บข้อเท้าของคุณทำให้ผมไม่กล้าไว้ใจไม่สามารถทิ้งคุณได้ไว้ให้เห็นหน้าน้องชายของคุณเมื่อไหร่ผมค่อยกลับเอง”
“งั้นก็ตามใจคุณค่ะมินทร์”หล่อนตอบเมื่อเขายังดื้อ
“วันนี้น้องชายของอรไปสมัครงานค่ะได้งานเป็นครูสอนภาษาที่นานาชาติแถวมีนถ้าเป็นปกติเขาคงกลับมาแล้วหรือไม่ตอนนี้อาจกำลังเดินทางมาค่ะ”
ภุมมินทร์จึงได้รับรู้เรื่องราวในครอบครัวของหล่อนเขานึกบูชาหล่อนจริงๆที่หล่อนเป็นผู้เสียสละอดทนหล่อนเป็นที่พึ่งของน้องได้ เขาแสวงหาผู้หญิงอย่างนี้มานานแล้วเก่งด้วยตัวเองอดทนขยันทำงาน โดยไม่ปริปากบ่น
อีกอย่างนั้นเพราะศรีบังอรเป็นคนสวยคนหนึ่ง สวยอย่างลึกซึ้งและอ่อนหวานตามแบบฉบับกุลสตรีไทยซึ่งเขาปรารถนาเขาคิดว่า เขาเพิ่งค้นพบและเจอะเจอแต่หล่อนก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เขาเด่นชัดนัก เขารู้แต่เพียงว่าหล่อนวางตัวดีมากเท่านั้นทั้งกิริยามารยาทอุปนิสัยสมเป็นแม่บ้านแม่เรือนมีความอ่อนหวานเหมือนคนสมัยเก่า
ที่หาในยุคสมัยนี้ไม่มีอีกแล้วผู้หญิงที่เก่งทั้งการบริหารงานและงานบ้านงานครัวเขาเคยคิดว่าถ้าเขามีภรรยาเขาก็ปรารถนาผู้หญิงแบบนี้ ให้มาเป็นแม่ของลูก
และเป็นผู้หญิงที่เคียงข้างเขาตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เหมาะที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาภุมมินทร์ไม่ชอบผู้หญิงที่ฉาบฉวยฟุ้งเฟ้อ มักง่าย ใช้จ่ายข้าวของฟุ่มเฟือย
อยากจะให้ศรีบังอรรู้จักตัวตนของเขารู้ถึงความต้องการอย่างแท้จริงของเขาที่มีต่อหล่อนเขาคิดว่าหล่อนจะยืนเคียงบ่าฝ่าฟันอุปสรรคไปกับเขาอย่างตลอดรอดฝั่งแน่เขารู้จักหล่อนมานานแล้ว
เขาคิดว่าจะสานสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าเรื่อยไปจนกว่าหล่อนจะยอมรับเขาในใจ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ภุมมินทร์ปรารถนาในตอนนี้ จึงมองหล่อนแฝงไปด้วยรอยยิ้มซึ่งมีความเสน่หาอาทรอยู่ตลอดเวลาจริงจังจริงใจอย่างเปี่ยมล้น
ในขณะนี้จนว่าศรีบังอรเกิดความรู้สึกสะท้านใจ เบือนหน้าไปทางด้านอื่นภุมมินทร์ดีกับหล่อนมากเกินไปดีกับหล่อนมากเกินไปเสียแล้ว
หล่อนรู้ตัวจึงไม่อยากจะให้ความหวังแก่ตัวเอง ซึ่งจะเป็นเรื่องเครียดและโรคคิดมากตามมา ถึงแม้หล่อนจะมีใจรักเขาอยู่บ้างก็ตาม ศรีบังอรได้พยายามคิดไปว่า มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก
หล่อนพยายามคิดอย่างคนเจียมใจเจียมตน อย่างนี้ตลอดเวลา คงมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ฐานะทัดเทียมกันกับภุมมินทร์มากมาย มากกว่าหล่อนด้วยซ้ำหล่อนไม่น่าคิดให้ปวดหัวเลย
วันนี้เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงรู้สึกแปลกใจถึงกับขมวดคิ้วกับรถยนต์คันแปลกที่ไม่เคยพบเห็นอาจจะเป็นเพื่อนพี่สาวใครก็ไม่รู้อยู่กับพี่สาว แปลกใจมองเห็นเป็นผู้ชายเห็นภาพเขายืนอยู่ริมระเบียงก่อนเดินเข้าไปในบ้านกัลย์ณพก้มหน้าถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นเสร็จแล้ว รีบเข้าไปหาพี่สาวข้างในทันที ต้องตกใจอุทานออกมาเห็นพี่สาวนอนอยู่บนโซฟาด้วยอาการเจ็บข้อเท้าคงทรมานมาก
“พี่อรนั่นขาเป็นอะไรไปครับ”
“คุณอรพี่สาวคุณลื่นหกล้มในที่ทำงานครับเอ้อผมเป็นเพื่อนกับเธอเลยช่วยพามาส่งที่โรงพยาบาลแล้วก็ที่บ้านนี่”
ภุมมินทร์ตอบแทนคนเจ็บ ทำให้กัลย์ยกมือขอบคุณยิ้มออกมาให้กับชายแปลกหน้าที่เขาเองยังไม่รู้จักชื่อ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือพี่สาวของผมจนกระทั่งเป็นธุระมาส่งถึงบ้านนี่ด้วย”
“ไม่เป็นไรครับผมกับคุณอร รู้จักกันมานานแล้วทำงานอยู่ที่เดียวกัน” กัลย์ณพจึงรู้ข้อมูลประวัติเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนพี่สาวในที่ทำงานแต่ว่าเขาไม่รู้จักชื่อเพราะพี่สาวไม่เคยเอ่ยบอก
“งั้นผมขอกลับก่อนนะครับคุณอรน้องชายคุณมาถึงแล้วผมรอให้เขามาถึงก่อน ไม่กล้าปล่อยคุณไว้ คนเดียว”
เขาพูดให้หล่อนฟังและดูเหมือนจะดังไปถึงกัลย์ณพเขาซาบซึ้งใจนักผู้ชายคนนี้เป็นคนดีเหมือนกัน
กัลย์เห็นอาการของพี่สาวแล้วเขารู้สึกสงสารจึงสืบความเท้าความเรื่องที่เพิ่งผ่านมาทราบว่าคุณภุมมินทร์ เพื่อนพี่สาวเป็นคนนำมาส่งถึงที่บ้านพัก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีจริง ในบ้านของเขาแทบจะไม่มีผู้ชายแปลกหน้าคนอื่นๆเข้ามาในบ้านหลังนี้เลย นอกจากเขาที่เป็นน้องชายของพี่ศรีบังอรแท้
เรือนไม้ครึ่งปูนทาด้วยสีขาวและสีน้ำเงินหลังคากระเบื้องสีน้ำตาลหน้าบ้านประกอบด้วยไม้เถาพาดพันเลื้อยระไปตามโครงเหล็กดัด ดอกสีม่วงสีเหลืองแดงหากแต่ตรงกลางแบ่งเป็นถนนให้รถแล่นเข้ามาภายในโรงรถอยู่ชิดขวาติดกับกำแพงรั้วเพราะครอบครัวนี้เป็นครอบครัวชั้นกลางเมื่อหลังจากเสร็จสิ้นงานศพของมารดาแล้ว ทั้งสองไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนในละแวกนี้นอกจากลุงที่อยู่แถวธัญบุรีแต่ก็ขาดการติดต่อมานานหลายปี ศรีบังอรนั้นก็เพิ่งกลับมาจาก ที่ทำงาน และหล่อนรู้สึกเหนื่อย แม้ว่าน้องชายที่เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายซึ่งกำลังจะจบการศึกษาสมดังที่เขาปรารถนาจะเพิ่งกลับมาถึงเช่นกัน “แหม กลับเสียค่ำเชียวนะกัลย์ ”“เอ้อ มีธุระเรื่องเรียน ครับพี่อร”เด็กหนุ่มที่ตอบนั้นเขารีบก้มหน้าเพื่อจัดการถอดดึงสายรองเท้าผ้าใบแล้วนำไปวางบนชั้นตามเดิม “เอ้อแล้วนี่กัลย์หิวมั๊ยพี่จะเข้าไปในครัวทำกับข้าวให้ทาน” เมื่อฟังแล้วทำให้กัลย์นพส่ายหน้าพลางตบเข้าที่ท้องเบาๆ“เอ้อไม่ต้องครับกัลย์ อิ่มมาจากข้างนอกแล้ววันนี้ มีเพื่อนเลี้ยงนะครับ”กัลย์ณพรู้ว่าพี่สาวนั้นห่วงใยเขายิ่งนักเปรียบเสมือนมารดาบังเกิดเกล้าของเขาอีกคน แม้จะมีวัยห่
สำหรับพ่อรูปหล่อคนนี้แต่เขาไม่เคยมีเรื่องเพื่อนผู้หญิงมาแผ้วกวนใจศรีบังอรทำให้ศรีบังอรหนักใจเพราะน้องชายของหล่อนยังไม่มีเรื่องความรักเข้ามาปะปนในชีวิตนั่นเพราะศรีบังอรเลี้ยงน้องมากับมือจึงรู้ว่าอุปนิสัยของกัลย์ ณพเป็นอย่างไร และโชคดีที่เขาไม่ทำตัวให้เหนื่อยหน่ายใจเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่มักชอบออกนอกลู่นอกเสมอทำให้พ่อแม่ปวดหัวไม่จบสิ้นในแนวทางเสเพลรักเที่ยวเป็นอันธพาลไปโน่นแต่สำหรับกัลย์แล้วไม่มีเลยหล่อนถึงสบายใจอุ่นใจและสุขใจส่วนที่เป็นเค้าโครงดวงหน้าบนใบหน้าของกัลย์เขาได้รับส่วนนี้มาจากพ่อและแม่เพราะแม่เป็นคนตาสวยส่วนพ่อก็เป็นคนคิ้วเข้มและคิ้วดก ดังนั้นคิ้วของเขาจึงดกดำยิ่งนักสีดำสนิทเหมือนขนกาน้ำและพาดเฉียงขอบเหมือนกับปีกนก ในปัจจุบันนี้ เพราะศรีบังอรแก่ไปมาก ดังนั้นความสวยของเธอจึงดูลดหย่อนลงไปบ้างไม่เหมือนสมัยสาวๆที่หล่อนเป็นคนสวยน่าจับตาคนหนึ่งสวยผุดผาดและอ่อนหวานเนื่องจากตอนนี้เป็นสาวใหญ่ใกล้วันทึนทึกเข้าแล้วสำหรับกัลย์ที่จมูกโด่งเป็นสันตรง ตัวเขาช่างเอนเอียงไปทางแม่และพ่อ ส่วนศรีบังอรนั้นแม่บอกหล่อนว่าค่อนไปทางยายและอีกนานทีเดียวที่หล่อนเอ่ยเรียกอีกครั้งเป็นเชิงตำหนิดุเบาๆ
ดูเหมือนพี่สาวช่างพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงตัวเขาเลยแต่ก็ไม่อยากจะเถียงเพราะพี่สาวของเขาก็คิดแบบคนที่กำลังจะรู้ตัวเองว่าเริ่มแก่เข้าไปทุกทีเลยแทบไม่คิดเรื่องมีคู่ครองเสียที กัลย์นิ่งฟังพี่สาวพูดอย่างเดียวสิ่งที่พี่สาวแนะนำเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะควรด้วยทุกครั้งกัลย์ณพในฐานะน้องชายจะรับฟังด้วยดีและเห็นคล้อยตามด้วย ศรีบังอรพูดต่อไปอีก“เธอเรียนจบแล้วพี่ก็หมดห่วงเสียทีต่อไปมีงานทำมีเงินเก็บ ภาระของพี่จะได้เบาบางลงเรามีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นเองส่งเธอให้ไปได้ถึงฝั่งแค่นี้พี่ก็พอใจแล้วต่อไปสุดแท้แต่ชีวิตของเธอจะตัดสินใจพี่ขอเอาใจช่วยคิดว่าเธอน่าจะทำได้ทำให้พี่ได้ภาคภูมิใจสักครั้ง”เขาให้คำมั่นสัญญาแก่พี่สาวด้วยการรับปากหล่อน “ครับพี่อร”“เอาล่ะนี่ก็ดึกแล้วเธอควรไปนอนพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไม่ใช่หรือ พี่เองก็ต้องตื่นเช้า”“ไม่ครับพรุ่งนี้ผมตื่นสายก็ได้แค่แวะไปมหาวิทยาลัยสอบถามอาจารย์ไม่ได้ไปฝึกสอนเขาไม่ฝึกสอนทุกวันหรอกครับแล้วแต่อาจารย์จะนัดไปพรุ่งนี้ผมค่อนข้างว่างถ้าผมไม่ขลุกอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ขลุกอยู่ที่บ้านแทน” กัลย์ณพชี้แจงให้พี่สาวเข้าใจ“ตามใจเธอแต่ว่าพี่ข
หล่อนอายเขาเรื่องแตะเนื้อแตะตัวหล่อนไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ชิดตัวเองมาก่อนยกเว้นนอกจากน้องชาย“ไม่ต้องค่ะรบกวนคุณนั่งพักก่อนเถอะอรพอไหว”“เอแต่คุณเจ็บอยู่นะยังทำหน้านิ่วอย่างนี้อีกผมรู้ว่าคุณเจ็บ ทนอีกหน่อยผมอาจมีส่วนช่วยคลายอาการเจ็บของคุณให้ดีขึ้น” เขาแย้งและเถียงจนศรีบังอรไม่รู้ที่จะพูดอะไรในเมื่อเขาดื้ออย่างนี้เลยปล่อยให้หยิบยานวดคลายกล้ามเนื้อที่หมอให้มานวดคลึงเบาๆนุ่มนวลที่บริเวณข้อเท้าซึ่งเจ็บอาการปวดหนึบๆเกิดและรุนแรงขึ้น “พอแล้วค่ะภุมมินทร์อรรู้สึกเจ็บ” “ถ้ามันไม่เจ็บก็ไม่หายนะสิสักพักก็ค่อยยังชั่วล่ะต้องหมั่นนวดบ่อยเส้นจะได้คลายยืด”ภุมมินทร์ปฏิบัติให้แก่หล่อนอย่างไม่นึกรังเกียจสักนิดชั่วครู่เขาจึงละตัวออกจากข้อเท้าของหล่อนเมื่อนวดจนเขาเห็นว่าพอสมควรแล้วแต่เขาก็ยังไม่กลับบ้านยังเดินวนเวียนอยู่แถวระเบียงที่มีเถาดอกไม้หลากสีพาดพันทั้งมะลิวัลย์กุหลาบมอญ“คุณพักอยู่กับน้องชายของคุณไม่ใช่หรือป่านนี้ทำไมเขายังไม่กลับมาอีกผมไม่กล้าทิ้งคุณไว้คนเดียวหรอกอร”เขาบอกหล่อน และพูดต่อไปว่า “ให้ผมอยู่ก่อนเถอะนะ จนถึงเวลาที่น้องชายคุณกลับมา ถึงค่อยกลับ เพราะคุณอยู่ในสภาพที่ช่วยเ
ดูเหมือนพี่สาวช่างพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงตัวเขาเลยแต่ก็ไม่อยากจะเถียงเพราะพี่สาวของเขาก็คิดแบบคนที่กำลังจะรู้ตัวเองว่าเริ่มแก่เข้าไปทุกทีเลยแทบไม่คิดเรื่องมีคู่ครองเสียที กัลย์นิ่งฟังพี่สาวพูดอย่างเดียวสิ่งที่พี่สาวแนะนำเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะควรด้วยทุกครั้งกัลย์ณพในฐานะน้องชายจะรับฟังด้วยดีและเห็นคล้อยตามด้วย ศรีบังอรพูดต่อไปอีก“เธอเรียนจบแล้วพี่ก็หมดห่วงเสียทีต่อไปมีงานทำมีเงินเก็บ ภาระของพี่จะได้เบาบางลงเรามีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้นเองส่งเธอให้ไปได้ถึงฝั่งแค่นี้พี่ก็พอใจแล้วต่อไปสุดแท้แต่ชีวิตของเธอจะตัดสินใจพี่ขอเอาใจช่วยคิดว่าเธอน่าจะทำได้ทำให้พี่ได้ภาคภูมิใจสักครั้ง”เขาให้คำมั่นสัญญาแก่พี่สาวด้วยการรับปากหล่อน “ครับพี่อร”“เอาล่ะนี่ก็ดึกแล้วเธอควรไปนอนพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไม่ใช่หรือ พี่เองก็ต้องตื่นเช้า”“ไม่ครับพรุ่งนี้ผมตื่นสายก็ได้แค่แวะไปมหาวิทยาลัยสอบถามอาจารย์ไม่ได้ไปฝึกสอนเขาไม่ฝึกสอนทุกวันหรอกครับแล้วแต่อาจารย์จะนัดไปพรุ่งนี้ผมค่อนข้างว่างถ้าผมไม่ขลุกอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ขลุกอยู่ที่บ้านแทน” กัลย์ณพชี้แจงให้พี่สาวเข้าใจ“ตามใจเธอแต่ว่าพี่ข
สำหรับพ่อรูปหล่อคนนี้แต่เขาไม่เคยมีเรื่องเพื่อนผู้หญิงมาแผ้วกวนใจศรีบังอรทำให้ศรีบังอรหนักใจเพราะน้องชายของหล่อนยังไม่มีเรื่องความรักเข้ามาปะปนในชีวิตนั่นเพราะศรีบังอรเลี้ยงน้องมากับมือจึงรู้ว่าอุปนิสัยของกัลย์ ณพเป็นอย่างไร และโชคดีที่เขาไม่ทำตัวให้เหนื่อยหน่ายใจเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่มักชอบออกนอกลู่นอกเสมอทำให้พ่อแม่ปวดหัวไม่จบสิ้นในแนวทางเสเพลรักเที่ยวเป็นอันธพาลไปโน่นแต่สำหรับกัลย์แล้วไม่มีเลยหล่อนถึงสบายใจอุ่นใจและสุขใจส่วนที่เป็นเค้าโครงดวงหน้าบนใบหน้าของกัลย์เขาได้รับส่วนนี้มาจากพ่อและแม่เพราะแม่เป็นคนตาสวยส่วนพ่อก็เป็นคนคิ้วเข้มและคิ้วดก ดังนั้นคิ้วของเขาจึงดกดำยิ่งนักสีดำสนิทเหมือนขนกาน้ำและพาดเฉียงขอบเหมือนกับปีกนก ในปัจจุบันนี้ เพราะศรีบังอรแก่ไปมาก ดังนั้นความสวยของเธอจึงดูลดหย่อนลงไปบ้างไม่เหมือนสมัยสาวๆที่หล่อนเป็นคนสวยน่าจับตาคนหนึ่งสวยผุดผาดและอ่อนหวานเนื่องจากตอนนี้เป็นสาวใหญ่ใกล้วันทึนทึกเข้าแล้วสำหรับกัลย์ที่จมูกโด่งเป็นสันตรง ตัวเขาช่างเอนเอียงไปทางแม่และพ่อ ส่วนศรีบังอรนั้นแม่บอกหล่อนว่าค่อนไปทางยายและอีกนานทีเดียวที่หล่อนเอ่ยเรียกอีกครั้งเป็นเชิงตำหนิดุเบาๆ
เรือนไม้ครึ่งปูนทาด้วยสีขาวและสีน้ำเงินหลังคากระเบื้องสีน้ำตาลหน้าบ้านประกอบด้วยไม้เถาพาดพันเลื้อยระไปตามโครงเหล็กดัด ดอกสีม่วงสีเหลืองแดงหากแต่ตรงกลางแบ่งเป็นถนนให้รถแล่นเข้ามาภายในโรงรถอยู่ชิดขวาติดกับกำแพงรั้วเพราะครอบครัวนี้เป็นครอบครัวชั้นกลางเมื่อหลังจากเสร็จสิ้นงานศพของมารดาแล้ว ทั้งสองไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนในละแวกนี้นอกจากลุงที่อยู่แถวธัญบุรีแต่ก็ขาดการติดต่อมานานหลายปี ศรีบังอรนั้นก็เพิ่งกลับมาจาก ที่ทำงาน และหล่อนรู้สึกเหนื่อย แม้ว่าน้องชายที่เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายซึ่งกำลังจะจบการศึกษาสมดังที่เขาปรารถนาจะเพิ่งกลับมาถึงเช่นกัน “แหม กลับเสียค่ำเชียวนะกัลย์ ”“เอ้อ มีธุระเรื่องเรียน ครับพี่อร”เด็กหนุ่มที่ตอบนั้นเขารีบก้มหน้าเพื่อจัดการถอดดึงสายรองเท้าผ้าใบแล้วนำไปวางบนชั้นตามเดิม “เอ้อแล้วนี่กัลย์หิวมั๊ยพี่จะเข้าไปในครัวทำกับข้าวให้ทาน” เมื่อฟังแล้วทำให้กัลย์นพส่ายหน้าพลางตบเข้าที่ท้องเบาๆ“เอ้อไม่ต้องครับกัลย์ อิ่มมาจากข้างนอกแล้ววันนี้ มีเพื่อนเลี้ยงนะครับ”กัลย์ณพรู้ว่าพี่สาวนั้นห่วงใยเขายิ่งนักเปรียบเสมือนมารดาบังเกิดเกล้าของเขาอีกคน แม้จะมีวัยห่