เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเพียงแค่ก้าวขาขึ้นบนรถม้าถูกพาออกจากเรือน ท้องฟ้าที่เคยโปร่งมีแสงอาทิตย์ส่องมารำไรกลับมืดครึ้มและฝนก็เทลงมา...
ระหว่างการเดินทาง เริ่มแรกก็ถูกโจรดักปล้น...แต่ก็ไม่ได้ทรัพย์สินอันใดไป เพราะเขามิมีติดตัวไปเลย...สักชิ้น อ๋อ...มีสิ เป็นอาภรณ์เก่าสองสามชุดไว้ผลัดเปลี่ยนระหว่างการเดินทางกับอาหารอีกเล็กน้อย
หลังพ้นจากโจรร้ายเขาเป็นไข้อย่างหนัก จนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้วซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้รับการรักษาจนหายอย่าง...น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก
อ๋อ...เขายังเจอกับสัตว์ร้ายด้วย ถูกมันทำร้ายจนเกือบจะกลายเป็นคนพิการด้วยซ้ำ
การเดินทางที่มันเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ นานา ชนิดที่ว่าสี่หนิงเหอก็สงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก มีกี่ชีวิตกันแน่ เหตุใดถึงยังคงรอดชีวิตไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นอยู่ได้ ตนเองโชคดีหรือว่าเคราะห์กรรมยังมิหมด จึงต้องไปพบเจอกับความตายที่โดดเดี่ยวและน่าสะพรึงกลัว
“อ๋อ...มาคุมตัวข้าไปขึ้นเขียงนั่นเอง” สี่หนิงเหอพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้มีข้าวของอันใดที่สำคัญที่จะลำบากท่านองครักษ์ต้องช่วยขน”
สี่หนิงเหอแอบเห็นท่านองครักษ์มองอย่างแปลกใจอยู่นะ จนเผลอหลุดปากออกไป “ข้าไม่ได้จะว่าหรอกนะ แต่ข้าว่านายของท่านน่ะ พลาดอย่างที่สุดที่มาขอให้ข้าไปเป็นอนุภรรยา” หรือว่าเขาจะเข้าใจอันใดผิดพลาดไป แม้จะเป็นเพียงแค่อนุภรรยาก็ควรที่จะมีพิธีการบ้างไม่ใช่หรือ แต่เท่าที่จำได้และเห็น...ไม่มีข้อใดบ่งบอกให้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองจะมีงานมงคลที่ไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นเลย
“เป็นไปมิได้ที่พวกท่านจะมิเคยได้ยินเรื่องของข้าที่เป็นบุตรที่บิดาเลี้ยงแบบ...ทิ้งขว้าง” สี่หนิงเหอเน้นย้ำไปพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้า... เป็นบุตรที่ถูกบิดาลืมเลือน” เขายังกล่าวออกไปโดยไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ อยู่เรือนตัวเองได้พบเจอบิดาก็เหมือนไม่ได้พบนั่นแหละ เพราะบิดาจำมิได้ด้วยซ้ำว่ามีเขาเป็นบุตรอีกคน ยังคิดว่าตัวเขานั้นเป็นบ่าวไพร่อยู่เลย
เมื่อไปถึงที่แห่งนั้น เขาก็ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะเป็นอนุภรรยาที่ไร้พิธีการรองรับมิหนำซ้ำยังถูกผลักไสให้ไปอยู่ท้ายเรือน เป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนจะถูกลากให้มารับเคราะห์ ถูกใส่ร้ายจนแม้กระทั่งตายก็ยังไม่อาจล่วงรู้ว่าผู้ใดสั่งให้ตายและไม่ได้ทวงความยุติธรรมให้กับตนเอง ที่ครั้งนี้...เขาจะไม่ยอมเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว!
สี่หนิงเหอลุกขึ้นเดินไปยังเตียงที่อาศัยนอนมาหลายสิบปี หยิบเอากล่องไม้ขนาดเล็กมาถือไว้และเดินนำบุรุษที่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครอง...ควบคุมตัวนะถูกแล้ว คงจะกลัวว่าเขาจะถูกสังหารเสียระหว่างการเดินทาง หรือไม่ก็กลัวว่าจะหากทางหลบหนีไประหว่างทางนั่นเอง
ฮึ! ถ้าเขาทำได้ เขาทำไปนานแล้ว ไม่รอให้ถึงวันนี้หรอกนะ
“ถ้าข้าจะยังพอมีพื้นที่ความจำในสมองอยู่บ้าง...พิธีมงคลตามกำหนดที่แจ้งมา ยังอีกเกือบจะเดือนไม่ใช่หรือท่าน หรือว่าข้าเข้าใจอันใดผิดไป” หากก็เหมือนกับว่าเขาถามก้อนหิน...ไร้คำตอบจากคนที่เดินตามมา สี่หนิงเหอก็เลยเลือกไม่สนใจ หันไปส่งยิ้มให้กับเหล่าบ่าวไพร่ที่ชะเง้อคอมองมาเขาด้วยสายตา...สมเพชเวทนา
แหม...สามีข้าช่างใจดีนักที่ส่งพวกท่านมาคอยดูแล...ควบคุมกันเยี่ยงนี้!
มาถึงห้องโถงที่ตอนนี้สี่หนิงเหอเห็นฮูหยินสี่อิงเหม่ยนั่งเป็นประธานและมีสี่ซูเจียวยืนทำหน้าง้ำหน้างออยู่ด้านหลังของนาง ใบหน้าที่ควรจะแย้มยิ้มเพราะตัวเขาจะต้องไปจากเรือนแห่งนี้กลับบึ้งตึง อีกทั้งในดวงตาของสี่ซูเจียวก็เต็มไปด้วยโทสะ
อา...นางโกรธเคืองเขาด้วยเรื่องอันใดกันเล่า สี่หนิงเหอคิดว่าว่าตอนนี้เขาไม่ได้กวนโทสะของนางแล้วนะและไม่ได้มาเสนอหน้าที่จะทำให้นางโกรธเคืองอันใดเลยด้วย
สี่หนิงเหอเลิกคิ้วมองไปยังเสี่ยวฝานที่ยืนแอบอยู่ที่ประตูของบ้าน
“คุณชายหนิงเหอมิลืมข้าวของอันใดอีกแล้วใช่ไหมขอรับ”
หือ...นั่นใครอีกล่ะ
แล้วสี่หนิงเหอก็สังเกตเห็น นอกจากฮูหยินอิงเหม่ยกับสี่ซูเจียวแล้วก็ยังมีบุรุษอีกสี่คนอยู่ในห้องนี้ด้วย...ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมใส่อาภรณ์สีดำมิดชิดและมีหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้า จะยกเว้นก็เพียงแค่บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งที่คงจะเป็นหัวหน้า แม้เขาจะสวมอาภรณ์สีดำแต่หน้ากากที่ปกปิดใบหน้ากลับเป็นสีเงินซึ่งมีลวดลายแปลกตา ที่เมื่อได้สบสายตาด้วย...สี่หนิงเหอก็รู้สึกว่ากายของเขาสั่นสะท้านหนาวยะเยือก รู้สึกเหมือนกับว่ารายรอบกายมันมืดมัวหม่น อึดอัดจนหายใจติดขัดขึ้นมาทันทีทันใด
บุรุษผู้นี้ช่าง...น่ากลัว! ยิ่งนัก
“ก็ไม่...แล้วนะ” สี่หนิงเหอรวบรวมความกล้าตอบกลับไปเสียงค่อนข้างจะสั่นไหว ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นรู้ว่าเขากลัว นัยน์ตาคมเข้มถึงได้จุดประกายคล้ายจะพึงพอใจและชอบใจ
ฮึ! อดีตเขาเคยปล่อยให้ความกลัวครอบงำจนปล่อยให้ชีวิตต้องพบกับจุดจบมาแล้ว หากครานี้...แม้เขาจะกลัวสักเพียงใด ก็จะตั้งหน้าสู้ มิยอมแพ้อีกแน่นอน
“แม้ว่าข้าสมควรจะมีทรัพย์สินติดกายไป แต่การเดินทางที่ยาวไกล โจรผู้ร้ายชุกชุม ข้าเลยคิดว่า...ไม่ควรพาข้าวของอันใดติดกายไปด้วยจะดีกว่า” เผื่อว่าอยู่ที่นั่นแล้วมันเกิดเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง เขาจะได้หนีอย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องห่วงข้าวของนอกกายอย่างไรเล่า
“ข้าวของในส่วนของเจ้า ข้าให้คนจัดเตรียมให้แล้ว”
หือ...ข้ามองฮูหยินสี่อิงเหม่ยอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยังคิดว่าฟังผิดไปด้วยซ้ำ แต่พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงของสี่ซูเจียวแล้วก็เข้าใจ
“ขอบคุณขอรับฮูหยิน”
สี่หนิงเหอรีบโค้งคำนับเป็นการของคุณสี่ฮูหยินในความเมตตาปรานีที่นางมอบให้ ดูเหมือนว่านางอยากจะพูดอะไรกับเขาอยู่นะ แต่...ไม่ล่ะ เขาไม่อยากฟังท่านเอ่ยทวงบุญคุณที่จดจำไม่ได้ว่าท่านมี
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ออกเดินทางกันได้แล้วใช่ไหม” อา...เขาลืมไปว่ายังไม่ได้ถามเสี่ยวฝานเลยนี่นา ข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ครบถ้วนหรือไม่ หากมิครบจะได้แอบหาซื้อระหว่างการเดินทาง...ถ้าทำได้อะนะ
“เจ้าจะกล่าวสิ่งใดกับสี่ฮูหยินก่อนเดินทางหรือไม่”
สี่หนิงเหอฉีกยิ้มจนปากกว้าง หากนัยน์ตากลับเฉยชาขณะทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น “ข้าน้อยสี่หนิงเหอ ขอขอบพระคุณฮูหยินและคุณหนูใหญ่ที่ให้การดูแลมาตลอดหลายปี ข้ามิมีอันใดจะตอบแทนท่านทั้งสอง คงทำได้เพียงแค่...” เขารีบโขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้ง “คำนับท่านเป็นการขอบคุณที่ช่วยอบรบมเลี้ยงดูให้การศึกษาเป็นอย่างดีขอรับ”
เขาเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเหลือบมองไปแล้วเห็นใบหน้าสี่ฮูหยินเกือบจะเป็นสีเขียวสีเหลืองด้วยโมโหที่เขาตัดทางของนาง ก็แหม...จะเหตุผลอันใดก็ตามที่ทำให้สี่หนิงเหอผู้นี้ต้องไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้น เขามิสนใจและคิดหาคำตอบได้ แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลก็ตกอยู่ที่ตระกูลสี่ ตัวนางและบุตรของนางนี่น่า ซึ่งเขา...มิยอมหรอก ส่งไปตายครั้งหนึ่งแล้วยังจะคิดหาผลประโยชน์จากเขาอีกนะเหรอ อันนี้ยอมมิได้นะ อยากได้ก็จงหาทางเอาเองเถอะ!หือ...ทำไมเขาถึงคิดว่า...ได้ยินเสียงหัวเราะรู้เท่าทันจากบุรุษผู้นั้น...ที่มีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่นะ สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นมอง อยากจะถาม ท่านชื่อเรียงเสียงใดแล้วหัวเราะอันใด แต่...ไม่ล่ะ เขาขี้เกียจรู้และอยากรีบเดินทางออกจากที่นี่ด้วย บอกตามตรงว่าเขาตื่นเต้นจะแย่แล้ว อยากรีบออกไปจากเรือนนี้ อยากเร่งทำสินค้า อยากเร่งทำมาค้าขายให้เร็วที่สุด“ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว”อา...ใช่ สี่หนิงเหอแอบอมยิ้ม ด้วยเขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ นั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่อะไร ที่เขาสังเกต เพราะถ้าหากระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้น เขาจะได้เข้าหาคนที่ควรจะต้อ
“เอาไว้เราไปเริ่มต้นใหม่กันที่นั่นแล้วกัน” สี่หนิงเหอบอกกับเสี่ยวฝานที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนเขาต้องรีบยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน“ไม่ขี้แยสิ เป็นน้องชายข้า ต้องเข้มแข็ง เข้าใจไหม”“ขอครับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานพยักหน้ารับ ในดวงตาเหมือนกับนกน้อยที่หลงทางแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกับสุนัขที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของ“เจ้ามี...” หากสี่หนิงเหอยังพูดไม่ทันจะจบ หนึ่งในองครักษ์ก็นำกระบอกน้ำยื่นมาให้ เขาเลิกคิ้วขึ้นมอง“ข้าลืมไปว่าเดินทางมาไกล พวกเจ้าคงจะหิวและกระหาย นี่เป็นน้ำดื่ม ส่วนอาหาร...เจ้าจะไปทานไก่ย่างปลาย่างร่วมกับพวกข้าก็ได้นะ หรืออยากจะไปทำธุระส่วนตัวก็บอก”“ข้านึกว่าพวกท่านจะไม่รับรู้ว่ามีพวกข้าสองคนมาด้วยเสียอีก”สี่หนิงเหอหลุดปากประชดออกไป เพราะคนเหล่านี้เดินทางโดยไม่คิดสนใจคนร่วมทางเช่นเขากับเสี่ยวฝานเลยว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่คิดจะถามสักคำว่าเขาสองคนหิวหรือเปล่า เดินทางตั้งแต่ก่อนสายจวบจนพลบค่ำถึงได้หยุดพัก...ในป่าที่มันช่างเงียบและวังเวง นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครองเขาไปเข้าพิธีมงคลละก็...สี่หนิงเหออดที่จะคิดมิได้ว่า คนเหล่านี้มารับไปฆ่าทิ้งกลางป่าเสียด้วยซ้ำ“
“ลูกธนูกำลังจะฝังเข้าไปอยู่ในกายแล้ว ท่านคิดว่าข้าควรกลัวหรือไม่” สี่หนิงเหอถามอย่างเกรี้ยวกราด เสียดาย...เขามันพวกไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีสมองคิด มาตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะสายไปสักหน่อยที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เป็นไร มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดสายเกินการปรับตัวเรียนรู้ ให้เขารอดพ้นจากการร้ายคราวนี้เถอะ อะไรหรือสิ่งใดที่ควรจะต้องทำและที่เขาทำได้ เขาจะทำมันให้ทุกอย่างเลย“แต่เจ้าก็ยังปากดี”“หวังว่าคงจะไม่มีดีเพียงแค่ปาก”มันเหมือนกับเขาโดนตบปาก เพราะตอนนี้ตัวเขามิได้มีดีอันใดเลยจริง ๆ สี่หนิงเหอก็เลยได้แต่เจ็บใจ “ถึงข้าจะปากเสีย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใจดำเหมือนพวกท่าน คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ บอกว่ามาเป็นองครักษ์ปกป้องคุ้มครองข้า แต่ความจริงแล้วพวกท่านใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อพวกนั้นต่างหากเล่า”ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากใครบางคน ก็ทำให้สี่หนิงเหอยิ่งเจ็บใจและมีโทสะมากขึ้น คอยดูนะ เขาจะต้องเอาคืนคนพวกนี้ให้จงได้!“แล้วถ้าหากพวกข้าทำอย่างที่ท่านกล่าวมาจริง...ท่านจะทำอันใดพวกข้าหรือหนิงเกอ”“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องนายพวกเจ้า”เจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้าหลุดเส
“ข้าขออภัยด้วยที่คำถามของข้าทำให้ท่านองครักษ์รู้สึกไม่ดี” สี่หนิงเหอมองสบกับดวงตาคู่นั้น หวังว่ามันจะมีประกายที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่าอย่างน่าใจหายอา...ช่างเป็นคนที่โชคดีเสี่ยนี่กระไร สี่หนิงเหอเหยียดยิ้มให้กับโชคชะตาของตนเองที่ไม่เคยทำให้พานพบกับสิ่งที่ดีเลย“พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางไกลอีก เห็นทีข้าคงจะต้องขอตัวนอนพักผ่อน” เมื่อเห็นว่าคุยไปเขาก็มิได้รับรู้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ก็เลยเดินไปทรุดกายลงนอนใกล้กับเสี่ยวฝาน โดยรับรู้ว่ายังมีสายตาของซานเกอมองตามมาอยู่ แต่สี่หนิงเหอเลือกที่จะไม่สนใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาคิดมีเพียงแค่สิ่งเดียว...สินค้ารสเลิศล้ำที่ไม่ว่าผู้ได้ลิ้มรสแล้วจะมิอาจลืมได้ลง จะต้องเล่าขานไปไกลนับลี้ ต้องขวนขวายมาเพื่อจะได้ลิ้มรสและชื่อที่มันผุดขึ้นมา...ภูเขาตระห่านลำธารน้ำไหลเบื้องหน้ามีเหมันต์เคียงคู่…วาโยแผ่วพลิ้วพัดพากิ่งไผ่ไหวเอน เอื้อมมือคว้าวสันต์โปรยปราย...สี่หนิงเหอไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่ตนเองนอนยังไม่ทันจะหลับดีนั้น มีบางคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นคนใจดำและเย็นชา ไม่คิดจะสนใจความรู้สึกของคนอื่นนั้น มองมายังตัวเขานัยน์ตาแวววาว ก่อนจะเดินมา
เขาเนี่ยนะ...ท่านคิดอันใดของท่านขอรับซานเกอ สี่หนิงเหอส่ายศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดเสียแล้วซานเกอ ข้าจะได้หาทางหลบหลีกการต่อยตีแย่งชิงจากพวกนางต่างหากเล่า ท่านมิรู้หรืออย่างไรกัน จะมีเรื่องกับคนมึนเมาหรือกับอันธพาลก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องและทำให้สตรีโกรธ เพราะนางสามารถทำทุกทางเพื่อให้ท่านรู้ว่าผิด จนสำนึกได้ก็เกือบจะสายเกินไปนะขอรับ”อย่างเช่นแม่นางสี่ซูเจียวนั่นไง นางแค้นฝั่งหุ่นมาก ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กไง เพียงแค่สะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มใส่นาง จนนางล้มหน้าไปกระแทกกับขอบโต๊ะ ทำให้นางเลือดไหลนิดเดียวเอง หลังจากนั้นนางก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้เขาบาดเจ็บจนเลือดออกเช่นกัน“อีกอย่างนะซานเกอ...ข้าขอบอกให้ท่านวางใจได้เลย ข้ามิปรารถนาจะเป็นอนุท่านอ๋องแม้แต่น้อย แต่เพราะมิหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกิดขึ้นได้และข้าก็มิอาจทำให้คนที่เรือนข้าเดือดร้อนด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือไม่ควรพาตัวเองไปทำให้ท่านอ๋องโปรดปรานที่คงจะเป็นไปได้ยาก อาจจะกลายเป็นพาตนเองไปพบเจอกับความยุ่งยากและเดือนร้อนเสียมากกว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ เมื่อถึงที่นั้นแล้ว ข้าขอเพียงแค่มีอาหารรสเลิศให้ทาน มีเตียงอุ่น ๆ ให้นอนหลับสบาย ข้าขอเพียง
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หรือที่ผ่านมาเขาจะปล่อยปละละเลยสี่หนิงเหอมากจนเกินไป“ก็แค่ถูกตีที่ศีรษะ...ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย”คราแรกเขาเข้าใจว่าคนที่ลงมือจะเป็นคุณชายรอง หากเมื่อหวนคิดให้ดี...ฝีมือเช่นคุณชายรอง เรื่องที่จะทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้คงจะเป็นไปมิได้แน่นอน อีกทั้ง...แม้จะโกรธเกลียดกันเพียงใด แต่คุณชายรองก็มิคิดทำร้ายสี่หนิงเหอให้ถึงแก่ความตายเป็นแน่หากมองว่าเป็นการกระทำของบ่าวไพร่คนอื่น ก็มิน่าจะเป็นไปได้ ด้วยว่าน้ำหนักมือที่ฟาดลงมานั้นมัน...พอดีเกินไป เหมือนกับต้องการจะให้สี่หนิงเหอคล้ายกับเจอเรื่องที่มิคาดคิด ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น หากมันก็เกิดขึ้น เขาก็เลยจบเห่...ลงตรงนั้น แต่คงจะผิดแผนไปหน่อย เพราะสี่หนิงเหอดัน...ได้รับพรจากสวรรค์ รอดชีวิตมาป่วนพวกเขาแทนอย่างไรเล่า และเมื่อรู้ว่าผู้ใดทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่คิดแค้นเคือง แต่จะให้มิเอาคืนบ้าง มันย่อมเป็นไปมิได้ จึงต้องหาวิธีเพื่อจัดการ...เอาคืน!สี่หนิงเหอเบี่ยงศีรษะหนีมือที่ยื่นมาหมายจะจับศีรษะ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกซานเกอ ข้าเป็นหัวแข็งนะ ให้ตีอีกหลายสิบครั้งก็มิเป็นอันใดหรอก”ร
“ข้าว่า...อย่างเจ้าคงมิยอม” สี่หนิงเหอใช้ชีวิตอยู่ในเรือนแห่งนั้นเยี่ยงไรกันแน่ คนเหล่านั้นมิดูดำดูดีเลยหรืออย่างไรกันสี่หนิงเหอหัวเราะเริงร่า “ใช่แล้วซานเกอ ท่านเก่งจังเลยที่ล่วงรู้ ในเมื่อพวกเขามินำมาให้ข้าทาน...ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไปทานเองที่โรงครัวมันเสียเลย หากก็ทำบ่อยมิได้นะขอรับ มิเช่นนั้นจะถูกคุณหนูใหญ่ซูเจียวกับคุณชายรองจับได้และลงโทษเอา นี่ข้าบอกท่านเป็นคนแรกเลยนะซานเกอ ข้าเคยสับเปลี่ยนเมนูอาหารให้สองคนนั้นด้วย ข้าจำได้ว่าวันนั้นคุณหนูใหญ่และคุณชายรองปวดท้องหนักกันหลายรอบเลยขอรับ”เป็นเพราะตัวเขาเผอิญโชคดีไปเจอกับใครบางคนเข้า เขาผู้นั้นให้เจว๋หมิงจื่อ[1] พร้อมกับบอกกล่าวแก่เขาว่า...คุณชายรองถ่ายหนักมิค่อยได้มิใช่หรือไร ท่านก็เอาสิ่งนี้ให้ทานสิ“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกจับได้หรือไร”“บอกท่านตามตรงนะขอรับ...ตอนทำข้ามีแต่ความโมโห จนพอทำลงไปแล้วเสร็จนั่นแหละ กลัวจนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องนอน...ซานเกอ ท่านรับปากข้าสักเรื่องได้หรือไม่”“ถ้าไม่ยากลำบากมากเกินไปกว่าผู้น้อยอย่างข้าจะสามารถทำให้ท่านได้นะขอรับ”“แหม...ไม่ยากหรอกซานเกอ ข้าเพียงแค่ขอให้ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นเองขอรับ” ส่วนเ
สี่หนิงเหอคิดว่าตนเองตาไม่ฝาด เมื่อได้ยินที่เขาพูด ทุกคนต่างก็ส่ายศีรษะด้วย...คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นไปได้เยี่ยงนี้“อยู่ท่ามกลางกองเพลิง คมหอกคมดาบจะยื่นมาบั่นคอเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ หากเจ้ากลับเห็นแก่ท้องมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง พวกข้าละ...เชื่อเจ้าเลยหนิงเหอ”“ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเจอคนเช่นนี้เหมือนกันขอรับต้าเกอ”“ข้ามิได้จะก่อกวนทำให้พวกท่านมีโทสะนะขอรับ แต่พวกท่านจะต้องมิลืมว่า เมื่อคืนเกิดอันใดขึ้นบ้าง ข้าก็ทานไม่อิ่ม” เป็นความผิดของพวกท่านนั่นแหละที่มิยอมให้เขาได้ทานปลากับไก่ด้วย “เมื่อเช้าพวกท่านก็มิให้ข้าทานด้วยเช่นกัน ถ้าข้าจะหิวก็มิใช่เรื่องแปลกนะขอรับ”“ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดที่นำอาหารติดตัวมาน้อยเหลือเกิน “เจ้าอย่าถือโทษโกรธตัวเองอีกเลยเสี่ยวฝาน มิใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ เท่าที่เจ้าได้มานั่นก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมว่าพวกนั้นย่อมมิต้องให้ข้าจากมาอย่างสงบและเป็นสุข สิ่งใดที่ทำให้ข้าเดือดร้อนได้ พวกเขาล้วนทำได้ทั้งสิ้น” มิอยากจะคิดแค้นเคือง แต่บางครั้งสี่หนิงเหอก็อยากที่จะทำให้คนพวกนั้นรู้เสียบ้าง การทำร้ายคนอื่นไม่ว่าด้วยเหตุผลและวิธีการควรจะไ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.