สี่หนิงเหอคิดว่าตนเองตาไม่ฝาด เมื่อได้ยินที่เขาพูด ทุกคนต่างก็ส่ายศีรษะด้วย...คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นไปได้เยี่ยงนี้
“อยู่ท่ามกลางกองเพลิง คมหอกคมดาบจะยื่นมาบั่นคอเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ หากเจ้ากลับเห็นแก่ท้องมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง พวกข้าละ...เชื่อเจ้าเลยหนิงเหอ”
“ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเจอคนเช่นนี้เหมือนกันขอรับต้าเกอ”
“ข้ามิได้จะก่อกวนทำให้พวกท่านมีโทสะนะขอรับ แต่พวกท่านจะต้องมิลืมว่า เมื่อคืนเกิดอันใดขึ้นบ้าง ข้าก็ทานไม่อิ่ม” เป็นความผิดของพวกท่านนั่นแหละที่มิยอมให้เขาได้ทานปลากับไก่ด้วย “เมื่อเช้าพวกท่านก็มิให้ข้าทานด้วยเช่นกัน ถ้าข้าจะหิวก็มิใช่เรื่องแปลกนะขอรับ”
“ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดที่นำอาหารติดตัวมาน้อยเหลือเกิน
“เจ้าอย่าถือโทษโกรธตัวเองอีกเลยเสี่ยวฝาน มิใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ เท่าที่เจ้าได้มานั่นก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมว่าพวกนั้นย่อมมิต้องให้ข้าจากมาอย่างสงบและเป็นสุข สิ่งใดที่ทำให้ข้าเดือดร้อนได้ พวกเขาล้วนทำได้ทั้งสิ้น” มิอยากจะคิดแค้นเคือง แต่บางครั้งสี่หนิงเหอก็อยากที่จะทำให้คนพวกนั้นรู้เสียบ้าง การทำร้ายคนอื่นไม่ว่าด้วยเหตุผลและวิธีการควรจะได้รับความเดือดร้อนเฉกเช่นเดียวกัน
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกกล่าวตั้งแต่ก่อนเดินทางล่ะหนิงเหอ”
“ข้าก็อยากจะบอกกล่าวท่านอยู่นะซานเกอ แต่เป็นพวกท่านที่มิให้โอกาสข้ากล่าวอันใดเลยนะขอรับ” พอบอกว่าจะไป...ก็รวดเร็วเสียจนเขาจะเอ่ยปากก็มิทัน
“ถึงข้าปรารถนาให้เจ้าอิ่มท้องก่อนเดินทางต่อไป หากก็ทำมิได้ ข้าคงจะต้องขอให้เจ้าอดทนไปก่อนนะหนิงเหอ...ถือว่าข้าติดค้างเจ้าครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยคืนละกัน”
เช่นนั้นหรือขอรับซานเกอ “ท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็จะขอรับไว้ขอรับซานเกอ ว่าแต่...ข้อขอท่านได้ทุกเรื่องหรือไม่ขอรับ”
“ไม่!”
สี่หนิงเหออ้าปากค้าง ก็...
“เรื่องฝึกวรยุทธ์คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ จะให้เจ้าฝึกได้หรือไม่ เป็นท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้น”
“แต่นี้มันชีวิตของข้านะ ข้ามิมีสิทธิ์ตัดสินใจเองบ้างเลยหรือไง” สี่หนิงเหอได้แต่บ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิดใจ
“เจ้าอยากเรียนวรยุทธ์” แล้วคนที่ไต่ถามก็กวาดมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะส่ายศีรษะ “ข้าให้สองชั่วยาม”
“ข้าให้ชั่วยามเดียว แล้วท่านล่ะซานเกอ ให้เวลาเด็กน่าสนใจคนนี้สักเท่าไหร่”
“ข้าให้...ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป”
“พวกท่าน...” ช่างมั่นใจกันเสียเหลือเกินว่าเขาทำไม่ได้ คอยดูเถอะ ถ้าท่านอ๋องยินยอมให้เรียนวรยุทธ์เมื่อไหร่ เขาจะตบหน้าพวกท่านด้วยการทำมันให้ออกมาดี ข้าจะเป็นบุรุษที่มีฝีมือเก่งฉกาจหาตัวจับยากให้ได้!
“เราหยุดที่นี่นานไม่ได้” ที่หยุดอยู่นี้ก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว เส้นทางที่นี่ทอดยาวหากคดเคี้ยว ต้นไม้ก็ขึ้นรกครึ้มจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า สายตา...มิอาจมองเห็นได้ในหลายจุด จะใช้หูแว่วฟังเสียงก็ถูกรบกวนได้ง่าย หากโดนลอบโจมตีเข้าจริง...สมรภูมินี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ตกเป็นเบี้ยในกระดาน ต่อให้เก่งกล้าแค่ไหน หากก็เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย
“อีกสองลี้จะถึงจุดพัก เป็นทางแยก”
คนที่หายไป...ย้อนกลับมา ในคำพูดนั้น...และตาที่พวกเขามองกัน มันเหมือนพวกเขารู้กันว่าอะไรเป็นอะไร มีเพียงแค่ตัวเขาที่ยังโง่งม ตามพวกเขาไม่ทัน เฮ้อ! ช่างน่าเบื่อเสียจริง เมื่อไหร่ตัวเขาจะฉลาดกว่านี้นะ
“ตอนนี้ข้าหิวมาก...จนแทบจะกินม้าได้ทั้งตัวแล้วนะขอรับ” สี่หนิงเหอมิได้เอ่ยความเท็จแต่อย่างใดเลยนะ หิวจนตอนนี้ไส้กิ่วแล้ว ถึงจะไม่ได้รับอาหารชุดใหญ่ เขาก็ขอเป็นอะไรสักเล็กน้อยให้พอมีอะไรตกลงในท้องก่อนได้ไหมล่ะขอรับ
“ท่านน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง...จะทำอะไรก็ตาม ควรให้ท้องอิ่มไว้ก่อน”
“อันตรายเกินไป”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านพอมีอะไรให้ข้า...” สี่หนิงเหอเอ่ยยังไม่ทันจะจบซานเกอก็กระทุ้งเท้าบังคับให้ม้าเร่งออกเดินทางไปอีกครั้ง ซึ่งเขาได้แต่กลอกตาเพราะต้องทนหิวจนท้องกิ่วไปอีกน่าจะเป็นชั่วยาม เอาเป็นว่า...พวกท่านให้ได้ดื่มกินเมื่อไหร่ อย่ามาโทษว่าสี่หนิงเหอผู้นี้ตะกละก็แล้วกัน!
ซานเกอเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นว่าสี่หนิงเกอมองมา ในดวงตาคู่นั้นที่มองมายังเขาครุ่นคิดคล้ายจ้องจับผิด แต่เมื่อนึกได้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามองมิเห็นใบหน้าของตนเอง ก็เลยไต่ถามออกไป
“เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมหรือหนิงเหอ ตัวข้ามีอันใดผิดปกติไปหรืออย่างไร” ซานเกอยกสองแขนขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก มองสี่หนิงเหออย่างให้รู้ว่ามองและต้องการคำตอบ
“เอ่อ...”
สี่หนิงเหอเมินหลบสายตาของเขา...อีกทั้งใบหน้านั้นก็แดงปลั่ง มันทำให้ซานเกออดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อเขาก้มลงมองตัวเองที่ตอนนี้เปลือยอกกำยำที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการสู้รบก็ทำให้รู้ว่าสี่หนิงเหอนอกจากจะเขินอายแล้วยังจะเต็มไปด้วยความอิจฉาในรูปกายของเขาด้วย
“ว่าอย่างไรเล่า เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นทำไม” ซานเกอมองเข้าไปในดวงตาของคนที่เมื่อแรกเห็น ใจเขาถึงกับกระตุก แสงจากด้านนอกส่องมาทาบบนกายเล็กบาง ใบหน้าที่ควรจะสดใสเปล่งปลั่งสมวัยกับดวงตาที่มันควรจะเปล่งประกายด้วยความสุขกลับดูแห้งแล้ง...มันเหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ได้รับการดูแลและเอาใจใส่ ไม่มีใครรดน้ำให้
รอยยิ้ม...เพียงแค่ปากหากมิใช่ในดวงตาที่มันช่างไร้ความรู้สึกสิ้นดี มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ อยากรู้ว่าเหตุใดสี่หนิงเหอถึงได้เป็นเช่นนี้
ซานเกอยอมรับ...เมื่อแรกที่ได้รับรู้ ท่านอ๋องจะต้องแต่งบุรุษเป็นอนุภรรยา แม้จะรู้ว่าท่านอ๋องมีเหตุผลที่มิอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ หากเขาก็ยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแต่เขา หากเราพี่น้องทุกคนล้วนยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน อยากจะกลั่นแกล้งให้สี่หนิงเหอรับรู้ว่า ไม่มีใครปรารถนาได้เขามาเป็นนายอีกคน การเดินทางครั้งนี้ เราจึงคิดเพียงแค่ว่า ทำเวลาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจว่าจะมีอันใดเกิดขึ้นกับผู้ที่พวกเรามิต้อนรับ หน้าที่ของพวกเราคือพาสี่หนิงเหอไปส่งถึงมือท่านอ๋อง...ในสภาพเช่นไรก็แล้วแต่ดวงชะตาของคนผู้นี้
หากเมื่อการเดินทางเริ่มต้น...ซานเกอก็เริ่มต้นเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้จะมีถ้อยวาจาก่อกวนที่ชวนให้อยากจะบั่นคอทิ้ง หากเมื่อมันดังมาจากปากของคนที่ชอบทำหน้าเหลอหลา คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น ขณะอีกข้างกลับตกลงมา มีดวงตาคู่เรียวเปล่งประกายร่วมด้วย มันทำให้เขานึกถึงเจ้ากระต่ายที่ฟันแหลมกำลังแทะหงหลัวโป[1]เน่า
พวกเราเริ่มรับรู้แล้วว่า สี่หนิงเหอมีอะไรบางอย่างที่แม้จะแปลก ๆ หากก็มีความน่าสนใจ...การเดินทางที่ถ้าเป็นผู้อื่น ย่อมต้องบ่นและเรียกร้องหาความสะดวกสบายให้กับตัวเอง หากเขากลับเอ่ยถึงเรื่องของการได้ทานอาหารรสเลิศ โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองนั้นกำลังถูกปองร้ายอยู่
[1] แครอท
ใบหน้าที่เหมือนจะบอกว่า อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะ เขาไม่คิดจะใส่ใจกับมันหรอกกับแววตาคู่นั้นที่มันหม่นหมองไร้ความกระจ่างสดใสอย่างที่เห็นในคราแรกได้เปลี่ยนไป สี่หนิงเหอกล้าที่จะโต้ตอบกับพวกเราโดยไม่หวาดกลัวว่าจะทำให้เรามีโทสะจนถูกทำร้ายเข้าหนักสุดที่ทำให้เขาตกตะลึง ก็เรื่องที่สี่หนิงเหอทนหิวไม่ไหว ร้องขออาหารระหว่างที่ม้ากำลังวิ่งอยู่นั่นแหละ ช่างเป็นบุรุษที่แปลกเสียจริง ที่ซานเกอคิดว่าสี่หนิงเหอน่าจะต้องมีดีในตัวมิใช่น้อย ที่เขาจะรอดู!“ข้าพอเข้าใจแล้วล่ะ ตัวเจ้านั้นแม้ปรารถนาอยากจะมีรูปกายกำยำล่ำสัน มีกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง มีร่องรอยของบาดแผลที่มาจากการทำศึก หากตัวเจ้านั้นกลับ...ผอมแห้งยิ่งเด็กขอทานข้างถนนเสียอีก เจ้าจึงรู้สึกริษยาข้าใช่หรือไม่”“ใครว่ากันเล่า ข้าเพียงแค่สงสัยทำไมท่านถึงยังมิอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อยเสียที ข้ารอท่านนานแล้วนะ...ข้าหิวแล้ว”“ถ้าข้าจะจำมิผิด เจ้าเพิ่งจะทานเซาปิ่งไส้เนื้อ ถังหูลู่กับเสี่ยวหลงเปาไปมิใช่หรือหนิงเหอ”“แค่นั้นมันจะพออะไร ท้องข้ายังสามารถบรรจุอาหารรสเลิศได้อีกเยอะแยะเลยล่ะ”สี่หนิงเหอยังคงอวดอ้างความสามารถในการทานอาหาร แล้วยังจะส่งยิ้ม
“ข้ามิรู้ว่าความรู้ของเจ้ามีมากน้อยเพียงใด แต่ในยุทธภพกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้วรยุทธ์ด้วยทางลัดนั้นมีอยู่สองทางด้วยกัน หนึ่งก็คือค้นหาน้ำเต้าหยกพันปีที่ภายในจะมียาอยู่เม็ดหนึ่ง มันจะช่วยหล่อหลอมพลังที่บริสุทธิ์จากสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายเปลี่ยนเป็นพลังปราณ เปิดทะลวงจุดในร่างกาย มิว่าใครก็ตามที่ได้รับยานี้ จะเป็นหนึ่งในยุทธภพที่มิอาจสิ้นกายภายใต้คมหอกคมดาบ แม้กระทั่งพิษร้ายที่มิมียารักษาก็มิอาจทำอันใดได้”สายตาที่เปี่ยมด้วยความหวัง ใบหน้าที่เคยรื่นเริงกลับหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว ที่ซานเกอก็อยากจะบอกกับสี่หนิงเหอว่าเขามิได้กล่าวเท็จให้เจ้าใจเสียหรอกเลย แต่ยาที่มีสรรพคุณเลิศเช่นนี้...บนพื้นแผ่นดินนี้คงมิอาจจะค้นพบได้เลย เพราะว่ามันคงมิมีอยู่จริง มันคงเป็นยาที่เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์เท่านั้นที่มีได้“แต่ข้าว่า อีกวิธีนี่...เจ้าน่าจะทำได้อยู่นะ”“วิธีใดหรือขอรับซานเกอ”มาแล้ว...ใบหน้ากระจ่างสดใสด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่แวววาวดังหยกเนื้อดี มันเหมือนกับมีพลังพิฆาต ที่ทำให้ผู้ใดได้พานพบหากจิตใจไม่แข็งแกร่งมั่นคงเพียงพอ ย่อมจะถูกสี่หนิงเหอชักจูงให้ตกปากรับคำทำในสิ่งที่ต้องการโดยง่าย“แนบกายถ่ายปราณ”“แน
“บ้า! บ้าไปแล้ว ใครมันจะกล้าทำเช่นนั้นกันเล่า ข้าไม่ได้หนังหนาเช่นพวกท่านนะ”สี่หนิงเหอบ่นพึมพำ แม้จะบอกว่ามิสนใจคำชี้แนะของซานเกอ หากเขากลับมิอาจปัดไล่วาจาที่ได้ยินนั้นออกไปจากศีรษะได้เลย มันยังคงยั่วยวนยั่วยุให้เขานั้นคิดหาหนทางทำให้ท่านอ๋องใจอ่อน ยินยอมแบ่งปันพลังปราณที่ตัวเองมีมาให้ ต้องยอมรับความจริงว่า ด้วยวัยของเขาและร่างกายที่มิได้แข็งแกร่งแข็งแรงอันใดเลย การฝึกวรยุทธ์นั้นทำได้ยากแล้ว ที่เขาต้องการทำเช่นนี้ เพราะอยากปกป้องตัวเองรวมถึงเสี่ยวฝานด้วยเท่านั้น...ทำไมคนของท่านแม่ทัพถึงมิได้เข้าใจความต้องการของเขาเลย!สี่หนิงเหอเดินตะบึงตะบอนเตะลมด้วยความโมโหจนเผลอเลี้ยวผิดทาง จากที่จะไปหาเสี่ยวฝาน เขากลับเดินมาเจอหนึ่งในองครักษ์ที่มาคุ้มครองข้า ผู้ที่เมื่อแรกเจอสี่หนิงเหอก็มิได้สนใจอันใด หากตอนนี้...เห็นรูปกายภายนอกของคนผู้นี้แล้วมันก่อเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาบอกมิถูก...มันเหมือนกับเหินห่างที่ทำให้ปวดร้าวใจยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็เหมือนกับความคุ้นเคยที่ทำให้อยู่ ๆ น้ำตามันก็เอ่อล้นคลอหน่วยตาขึ้นมา ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นี้จะเร่งรีบไปที่ไหนสักแห่ง ทำให้มิได้สน
นั่น...มุมนั้นมีเหล่าเด็กน้อยใหญ่รุมล้อมกันอยู่มากมาย ต่างพยายามที่จะเอ่ยบอกกับหญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าอิ่มเอิบและยิ้มแย้มแจ่มใสว่าตนเองต้องการสิ่งใด ส่วนหนึ่งบุรุษวัยกลางคนก้มหน้าก้มตาทำตามคำบอกกล่าวด้วยใบหน้าที่เฉยเมย หากก็ดูใจดีที่มันทำให้สี่หนิงเหออดที่จะยิ้มไม่ได้“สนใจ”“เปล่าขอรับ” สี่หนิงเหอรีบปฏิเสธไปโดยเร็วไว ขณะเดินไปอย่างช้า ๆ เพื่อจะได้มองร้านรวงที่หลากหลาย ละลานตาจนเลือกมิถูกเลยว่าจะไปร้านไหนก่อนดี ก่อนสายตาของข้าจะหยุดเมื่อพบกับร้านหนึ่งที่น่าสนใจ“ถ้าข้าจะจำมิผิด...”“ร่างกายมันเรียกร้องขอรับ” สี่หนิงเหอรีบกล่าวก่อนที่ซานเกอจะกล่าวหาว่าเขานั้นกินจุ“ท่านติดค้างข้าอยู่หนึ่งอย่างด้วยนะขอรับ” สี่หนิงเหอมิรอให้ซานเกอได้กล่าวสิ่งใดต่อ เท้าก็เร่งรีบเดินไปยังร้านค้าที่หมายตาเอาไว้ ทว่า...เขาโดนบุรุษผู้หนึ่งกระแทกเอาอย่างแรงจนรู้สึกมึนงง ยังดีที่ซานเกอว่องไวเลยรีบเข้ามาช่วยมิให้เขานั้นล้มลงจนบาดเจ็บ“เป็นอย่างไรบ้างหนิงเหอ” ซานเกอไต่ถามพลางตวัดสายตาเกรี้ยวกราดมองไปยังบุรุษร่างเล็กในอาภรณ์ที่มิได้ใหม่มากนักหากก็มิเก่าจนเกินไป ใบหน้าเขาเปื้อนคราบดำขะมุกขะมอมมีอาการลุกลี้ลุกลนอย่า
บางเรื่อง...เรากำหนดมันมิได้ เขาคงมิผิดที่เผลอใจที่เกิดความรู้สึกดีกับซานเกอเข้า หากสี่หนิงเหอก็รู้ว่า...สิ่งใดควรมิควร เพียงแค่เวลานี้ที่เขาจะได้ทำตามความต้องการของตัวเอง ขอเพียงแค่...เวลานี้เท่านั้น!“ถ้าเช่นนั้น...เจ้าจะขัดข้องหรือไม่ถ้าหากว่าเรายังจะอยู่ที่นี่กันอีกสักระยะหนึ่ง”“ไม่ขอรับ” สี่หนิงเหอตอบกลับไป “ข้ารู้ว่านอกจากท่านมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้ ท่านน่าจะรอให้คนอื่น ๆ มาสมทบด้วย”“นอกจากเจ้าจะเป็นคนที่มีไหวพริบดีแล้ว ยังเข้าใจอะไรได้ง่ายด้วย ข้าได้บอกกล่าวกับทุกคนไว้แล้วว่าเราจะกลับกันช่วงใด หากมิกลับตามกำหนด ก็ให้คิดเสียว่ามีเรื่องไม่ดีเกินขึ้น ให้รีบออกติดตามหาโดยด่วน”“ถ้าเช่นนั้นเราไปดูอันนั้นกันดีกว่าขอรับ” ร้อนรนไป ก็ทำอันใดมิได้ สู้ท่องเที่ยวให้สนุกและมีความสุขจะดีกว่า สี่หนิงเหอรีบจับแขนซานเกอแล้วพาเดินไปยังร้านที่ขาย...พู่ห้อยสะเอว“เชิญชมก่อนได้เลยขอรับคุณชาย ท่านสนใจชิ้นไหนไต่ถามได้นะขอรับ เดี๋ยวข้าขายให้ท่านในราคาพิเศษเลย”เจ้าของร้านน่าจะวัยเดียวกับบิดาเขากล่าวพลางส่งยื่นพู่หยกแกะสลักหลากหลายลวดลายมาให้ มันก็สวยดีนะ...ไม่ว่าจะเป็นลายตัวอักษรมงคลอย่างตัว ฟู่[1] หรื
“อ๋อ...เจ้าคงคิดว่าเจ้าพวกนั้นจะมาช่วยเจ้าได้ทันท่วงทีเช่นนั้นหรือไร ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงประเมินความสามารถของพวกข้าน้อยไปเสียแล้ว” แล้วคนกล่าวก็หัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้ามันช่างน่าขันเสียจริงสี่หลวนซาน”“เพราะข้ารู้ชื่อ...เสีย! ของพวกเจ้าเหล่าสามขุนพลผู้ทรยศแห่งวังประจิมดีอย่างไรเล่า เพียงใครมีเงินจ้าง สวี่ชงซ่าน...ราชาแห่งมีดบินผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วแคว้น เพราะลุ่มหลงในอิสตรีจนกล้าทำร้ายอาจารย์ของตัวเอง เพียงฟังวาจาของกิ่งเหมยที่ชูออกนอกกำแพง[1]ก็รับทำทุกอย่าง เป็นบุรุษที่มิควรคบหาผูกมิตรด้วย”โธ่! ซานเกอท่ากล่าวเช่นนี้มิได้นะขอรับ ไปท้าทายเขาทำไม เกิดเขาก็ทนไม่ไหวแล้วสั่งให้พลเกาทัณฑ์ที่ขึ้นคันรออยู่แล้วปล่อยใส่พวกเราเล่า ท่านหลบได้ แต่สี่หนิงเหอผู้นี้มิเก่งเหมือนท่านนะขอรับ“เจ้า!”“หรือข้ากล่าววาจาอันใดผิดไป แม้นพวกเจ้า...เหวินไป๋เหลียนและฉินจินเป่าจะมาพร้อมกัน ก็มิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้กระมัง” นับรวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในที่นี่ด้วยก็ยังมิอาจประมือกับเขาได้เช่นกัน“ฮึ! เจ้าช่างหลงตัวเองได้อย่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัวตายได้เลย”สี่หนิงเหออยากจะบอกซานเกอด้วยสาย
“ข้าทำเช่นนั้นเมื่อไหร่กัน ที่ทำลงไปก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าทั้งนั้น เจ้าควรจะขอบใจข้ามากกว่าโกรธเคืองกันหรือไม่”หากสี่หนิงเหอก็ยังทำหน้าบึ้งตึงใส่และตอบไปว่า...ฮึ! เช่นเดิม“เอาล่ะ...ถ้าหากเจ้าเห็นว่าที่สิ่งที่ข้าทำไปนั้นผิดมหันต์ โกรธเคืองจนมิยอมฟังเหตุผลของข้า เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัยแก่เจ้าด้วย...แต่สิ่งที่ทำลงไปนั้น ข้าหวังดีแก่เจ้าจริง ๆ นะหนิงเหอ เจ้าจะมิยอมยกโทษให้ข้าจริง ๆ เหรอ...หนิงเหอ” ไม่ต้องมาทำเสียงออดเสียงอ้อนเลย เขามิหลงกลคนมากเล่ห์เช่นท่านหรอกนะ หากเมื่อคนที่คนที่กล่าวขอโทษขออภัยเงียบไปจริง สี่หนิงเหอก็เริ่มจะแปลกใจจนต้องรีบหันหน้าไปมองมิได้ แต่เพราะไม่รู้ว่าใบหน้านั้นเป็นเช่นไร ด้วยถูกหน้ากากเงินปิดทับเอาไว้ แต่ก็พอจะมองออกว่าสายตาคู่นั้นมันก็ไม่ได้รู้สึกดีที่ได้ทำการปกปิดสับขาหลอกลวงกัน กล่าวกันตามความเป็นจริง สี่หนิงเหอสามารถไต่ถามเรื่องนี้ได้จากพี่ชายที่น่าจะโดนทุบให้น่วมเหมือนกัน คิดอะไรอยู่ ถึงได้ร่วมมือกับท่านอ๋องจอมเจ้าเล่ห์สับขาหลอกสับเปลี่ยนตัวกันเช่นนี้...ตั้งแต่เมื่อใดที่พวกเขาสองคนทำเช่นนี้กัน ถ้าเช่นนั้นเอาเป็นว่า เพราะอยากรู้มากนะ...เขาก็เลยจะเก็บบ
“ข้อนี้แหละที่ข้าสงสัย เหตุใดพวกนั้นถึงได้ไล่ตามทำร้ายข้า!” ครั้งแรกที่เขาคิดว่าต้นเหตุใหญ่น่าจะเป็นท่านอ๋อง แต่เหตุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมามันทำให้สี่หนิงเหอเข้าใจแล้วว่า เป้าหมายของคนพวกนั้น...คือตัวเขา!สี่หนิงเหอมิเข้าใจ คนที่มิเคยออกจากเรือนมา...ไม่น่าจะมีศัตรูปองร้ายสิ หรือว่าเขาได้ไปทำอันใดกับผู้ใดมาโดยที่มิรู้ตัว แต่บ้าน่า...จะเป็นไปได้หรืออย่างไรที่คนเราจะทำเช่นนั้นได้! มิได้เป็นผู้วิเศษมีพลังเปลี่ยนแปลงกาลเวลาสักหน่อย“เรื่องนี้...เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าขอยังมิบอกให้ล่วงรู้นะ”สี่หนิงเหอมิทันจะได้ไต่ถามว่าเพราะเหตุอันใด วาจาของท่านอ๋องก็ทำให้เขาอยากจะทุบให้ช้ำไปเลย“เพราะเจ้าอาจจะทนไม่ไหว เผลอหลุดปากถามไถ่หรือบอกกับผู้ที่เจ้าสนิทสนมเชื่อใจได้”“มันคงมิร้ายแรงเฉกเช่นนั้นหรอกน่า” หากสายตาของท่านอ๋องกลับบอกเขาว่า...มันร้ายแรงชนิดคว่ำคว้าพลิกดินได้เลย อา...มันเรื่องอันใดกันนะ เหตุใดถึงได้ร้ายแรงถึงเพียงนี้ แต่เอาเถอะ เมื่อท่านอ๋องมิยอมบอก...ในตอนนี้ แต่สี่หนิงเหอก็คิดว่ามินานท่านอ๋องก็ต้องบอกเขาอยู่ดี“ท่านบอกว่าสิ่งที่ทำน่าจะถูกล่วงรู้แล้ว หลังจากนี้ล่ะ ท่านกับพี่สามจะ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.