“ข้ามิรู้ว่าความรู้ของเจ้ามีมากน้อยเพียงใด แต่ในยุทธภพกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้วรยุทธ์ด้วยทางลัดนั้นมีอยู่สองทางด้วยกัน หนึ่งก็คือค้นหาน้ำเต้าหยกพันปีที่ภายในจะมียาอยู่เม็ดหนึ่ง มันจะช่วยหล่อหลอมพลังที่บริสุทธิ์จากสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายเปลี่ยนเป็นพลังปราณ เปิดทะลวงจุดในร่างกาย มิว่าใครก็ตามที่ได้รับยานี้ จะเป็นหนึ่งในยุทธภพที่มิอาจสิ้นกายภายใต้คมหอกคมดาบ แม้กระทั่งพิษร้ายที่มิมียารักษาก็มิอาจทำอันใดได้”
สายตาที่เปี่ยมด้วยความหวัง ใบหน้าที่เคยรื่นเริงกลับหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว ที่ซานเกอก็อยากจะบอกกับสี่หนิงเหอว่าเขามิได้กล่าวเท็จให้เจ้าใจเสียหรอกเลย แต่ยาที่มีสรรพคุณเลิศเช่นนี้...บนพื้นแผ่นดินนี้คงมิอาจจะค้นพบได้เลย เพราะว่ามันคงมิมีอยู่จริง มันคงเป็นยาที่เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์เท่านั้นที่มีได้
“แต่ข้าว่า อีกวิธีนี่...เจ้าน่าจะทำได้อยู่นะ”
“วิธีใดหรือขอรับซานเกอ”
มาแล้ว...ใบหน้ากระจ่างสดใสด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่แวววาวดังหยกเนื้อดี มันเหมือนกับมีพลังพิฆาต ที่ทำให้ผู้ใดได้พานพบหากจิตใจไม่แข็งแกร่งมั่นคงเพียงพอ ย่อมจะถูกสี่หนิงเหอชักจูงให้ตกปากรับคำทำในสิ่งที่ต้องการโดยง่าย
“แนบกายถ่ายปราณ”
“แนบกายถ่ายปราณ...มันมีวิธีเช่นนี้ด้วยหรือ”
สี่หนิงเหอบ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจในคราแรก ก่อนใบหน้านั้นจะแดงระเรื่อจรดใบหู ดวงตาเรียวเบิกกว้าง อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อพอจะตีความหมายจากคำที่เขาบอกกล่าวไปได้
“ข้าได้เตือนเจ้าแล้ว เจ้าห้ามโกรธข้านะหนิงเหอ” ซานเกอรีบห้ามปรามเอาไว้ก่อน
“ถ้าข้า...ข้ามิเอ่ยรับปากท่านไว้นะขอรับ ถึงข้าจะมิมีวรยุทธ์ มิเก่งกล้าในการใช้พละกำลัง แต่ก็จะหาทางทำให้ท่านเลือดตกยางออกสักครั้ง”
“ข้านึกว่าเจ้าจะขอบคุณข้าเสียอีกที่เสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า เพราะถ้าทำเช่นนี้แล้ว เจ้าจะเก่งกว่าพวกข้าที่ต้องฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยมากเลยเชียวล่ะ” ถ้าหากว่า...สี่หนิงเหอทำเช่นที่เขาบอกกล่าวไป ผู้ที่จะช่วยเหลือเขาในครั้งนี้ก็คงจะมิพ้นท่านอ๋อง...เขาสมควรได้รับความดีความชอบอยู่นะ
“ข้ามิเอ่ยคำนั้นให้เสียปากหรอกขอรับ ท่านมิสมควรได้รับมัน”
สี่หนิงเหอกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ ขณะเดินไปทรุดกายลงนั่งบนเตียง ยกสองขาขึ้นไขว้กันและยกสองแขนขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก มองข้าด้วยสายตาเกรี้ยวกราด...หากมันเป็นมีดได้ ร่างกายอันแข็งแกร่งด้วยการฝึกฝนและต่อสู้ห้ำหั่นในสมรภูมิรบมิอาจนับครั้งได้คงจะเต็มไปด้วยบาดแผล
“เจ้ามีวาจาเป็นเลิศ...แม้กระทั่งพวกข้าเองยังต้องขอคารวะ เพราะมิอาจหาถ้อยคำมาโต้เถียงกับเจ้าได้ เจ้าเก่งเช่นนี้...มีหรือที่จะคิดหาหนทางให้ท่านอ๋องยอมจำนนมิได้”
“ท่านมิต้องมายกยอข้าเลย ข้ามิหลงกลท่านกับท่านอ๋องวิปริตนั่นหรอก อย่าได้หวัง!”
“เจ้ากล้ากล่าวหาท่านอ๋องเช่นนั้นได้เยี่ยงไร มิรู้หรือว่าจะต้องโทษทัณฑ์อันใด”
“กล้ามิกล้า ข้าก็กล่าวไปแล้วนี่ หรือท่านจะเอาเรื่องนี้ไปทูลฟ้องท่านอ๋อง”
ดูหน้าสี่หนิงเหอสิ เอ่ยอย่างมิกลัวเกรงสิ่งใดเลยทั้งสิ้น จะว่าไป...เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านอ๋องโดดเดี่ยวและไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก เจอกับคนเจ้าคารมคมคาย พูดจาลื่นไปดั่งสายธาร ถือได้ว่า...เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมิน้อยเลย
“ไม่หรอก ข้าไม่คิดจะทำเช่นนั้น...หากเรื่องนี้จะถึงหูท่านอ๋อง ก็มิได้มาจากปากของข้าแน่นอน” ซานเกอมองสี่หนิงเหอให้รู้ว่ามอง...ให้รู้ว่าคนที่จะกล่าวเรื่องนี้ออกไปก็เป็นตัวสี่หนิงเหอเองนั่นแหละที่ความอดทนมีมิมากพอ
“อย่ามามองข้าเช่นนั้น ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
“เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าฉลาด กระทั่งรู้ด้วยว่าข้ากำลังคิดอันใดอยู่ เป็นเช่นนี้ ข้าว่านะหนิงเหอ...การที่มีเจ้าอยู่ที่จวนท่านอ๋อง ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งไม่ดีเสียแล้วสิ จวนท่านอ๋องคงมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นเยอะเชียวล่ะ”
“ข้ามิใช่ตัวตลกของพวกท่านนะ”
สี่หนิงเหอโมโห ใบหน้าใสบึ้งตึงพลางทำเสียงขลุกขลักอยู่ในลำคอ “ข้ากล่าวเช่นนั้นเมื่อใดกัน เจ้านี่ชอบตีความวาจาของพวกข้าผิดไปเสียจริง”
“ฮึ! วาจาพวกท่านนั่นแหละที่กลับกลอกกลิ้งได้ ตัวข้าผู้มีความรู้น้อยต้อยต่ำ มีหรือจะแตกฉานในการแปลความ”
“ว่าแต่...เจ้ามิคิดจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายกับข้าจริงหรือ”
“ไม่!”
“ข้ากำลังคิดจะชักชวนเจ้าออกไปชมเมืองในราตรีนี้อยู่เลย แต่ถ้าหากจะให้พาเจ้าที่เหม็นเน่าเช่นนี้ไป ข้าคงมิกล้า” เขาว่าแล้ว สี่หนิงเหอจะต้องสนใจ ดูใบหน้าที่คลี่ยิ้มจนกว้างและดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับคู่นี้สิ
“รู้สึกว่าข้าจะได้ยินเสี่ยวเอ้อร์กล่าวว่าที่นี่จัดงานขอบคุณเทพเจ้าที่มอบข้าวปลาอาหารอันอุดมสมบูรณ์ให้ หน้าที่ศาลาว่าการท่านเจ้าเมืองจะมีนางรำมาร่ายรำให้กับชาวบ้านได้ดู มีการละเล่นอีกหลายชนิด รวมถึงมีขนมมากมายมาจำหน่ายตลอดเส้นทางด้วยนะ”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็รีบจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยสิ ข้าจะได้จัดการกับตัวเองบ้าง...ข้าก็เหม็นตัวเองจนจะทนไม่ไหวแล้ว และ...ห้ามชักชวนข้าร่วมชำระล้างร่างกายกับท่านเลยนะขอรับ อย่างไรเสีย ข้าก็ยังได้ชื่อว่าเป็นว่าที่อนุภรรยาของท่านอ๋อง มิควรเปิดเผยร่างกายนี้ให้ผู้ใดได้เห็นนะขอรับ”
กล่าวจบสี่หนิงเหอก็รีบลุกจากเตียงเดินออกนอกห้องพัก
“นั่นเจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปหาเสี่ยวฝาน ท่านมีอันใดหรือขอรับ”
“อ๋อ...มิมีสิ่งใด ข้าเพียงแค่นึกว่าเจ้าจะออกไปนอกโรงเตี้ยมที่พักนะ”
“ข้ารู้หรอกน่าซานเกอ ตัวข้านั้นเป็นที่หมายจะถูกปลิดศีรษะให้หลุดจากบ่าอยู่ ข้ามิกล้าออกจากที่พำนักโดยพลการหรอกขอรับ ข้ายังรักตัวกลัวตาย ยังปรารถนาที่จะได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสทั่วแคว้นดินแดนอยู่นะขอรับ”
ดูท่า...ท่านอ๋องคงมิให้เจ้าทำเช่นนั้นได้หรอกหนิงเหอ อย่างดีที่สุด ถ้าหากไม่พาเจ้าไปพานพบด้วยตัวเอง แต่ข้อนี้มันยากยิ่งนัก เพราะการงานของท่านอ๋องมันมากมายจนแทบจะมิได้นอนหลับพักผ่อนอยู่เลย ก็คงจะมีพ่อครัวแม่ครัวจากหลายถิ่นที่มาทำให้เจ้าทานถึงจวนแล้วล่ะ
“อย่างไรเจ้าก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน เราไว้วางใจใครมิได้”
“ข้ารับทราบขอรับซานเกอ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะขอรับ”
“ฮื่อ” ซานเกอพยักหน้ารับ ขณะมองคนตัวเล็กเดินออกจากห้องไป จากนั้นก็รีบส่งสัญญาณบอกให้คนที่ซ่อนกายอยู่รับรู้ เข้ามาหาเพื่อจะได้สั่งความสำคัญ!
“บ้า! บ้าไปแล้ว ใครมันจะกล้าทำเช่นนั้นกันเล่า ข้าไม่ได้หนังหนาเช่นพวกท่านนะ”สี่หนิงเหอบ่นพึมพำ แม้จะบอกว่ามิสนใจคำชี้แนะของซานเกอ หากเขากลับมิอาจปัดไล่วาจาที่ได้ยินนั้นออกไปจากศีรษะได้เลย มันยังคงยั่วยวนยั่วยุให้เขานั้นคิดหาหนทางทำให้ท่านอ๋องใจอ่อน ยินยอมแบ่งปันพลังปราณที่ตัวเองมีมาให้ ต้องยอมรับความจริงว่า ด้วยวัยของเขาและร่างกายที่มิได้แข็งแกร่งแข็งแรงอันใดเลย การฝึกวรยุทธ์นั้นทำได้ยากแล้ว ที่เขาต้องการทำเช่นนี้ เพราะอยากปกป้องตัวเองรวมถึงเสี่ยวฝานด้วยเท่านั้น...ทำไมคนของท่านแม่ทัพถึงมิได้เข้าใจความต้องการของเขาเลย!สี่หนิงเหอเดินตะบึงตะบอนเตะลมด้วยความโมโหจนเผลอเลี้ยวผิดทาง จากที่จะไปหาเสี่ยวฝาน เขากลับเดินมาเจอหนึ่งในองครักษ์ที่มาคุ้มครองข้า ผู้ที่เมื่อแรกเจอสี่หนิงเหอก็มิได้สนใจอันใด หากตอนนี้...เห็นรูปกายภายนอกของคนผู้นี้แล้วมันก่อเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาบอกมิถูก...มันเหมือนกับเหินห่างที่ทำให้ปวดร้าวใจยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็เหมือนกับความคุ้นเคยที่ทำให้อยู่ ๆ น้ำตามันก็เอ่อล้นคลอหน่วยตาขึ้นมา ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นี้จะเร่งรีบไปที่ไหนสักแห่ง ทำให้มิได้สน
นั่น...มุมนั้นมีเหล่าเด็กน้อยใหญ่รุมล้อมกันอยู่มากมาย ต่างพยายามที่จะเอ่ยบอกกับหญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าอิ่มเอิบและยิ้มแย้มแจ่มใสว่าตนเองต้องการสิ่งใด ส่วนหนึ่งบุรุษวัยกลางคนก้มหน้าก้มตาทำตามคำบอกกล่าวด้วยใบหน้าที่เฉยเมย หากก็ดูใจดีที่มันทำให้สี่หนิงเหออดที่จะยิ้มไม่ได้“สนใจ”“เปล่าขอรับ” สี่หนิงเหอรีบปฏิเสธไปโดยเร็วไว ขณะเดินไปอย่างช้า ๆ เพื่อจะได้มองร้านรวงที่หลากหลาย ละลานตาจนเลือกมิถูกเลยว่าจะไปร้านไหนก่อนดี ก่อนสายตาของข้าจะหยุดเมื่อพบกับร้านหนึ่งที่น่าสนใจ“ถ้าข้าจะจำมิผิด...”“ร่างกายมันเรียกร้องขอรับ” สี่หนิงเหอรีบกล่าวก่อนที่ซานเกอจะกล่าวหาว่าเขานั้นกินจุ“ท่านติดค้างข้าอยู่หนึ่งอย่างด้วยนะขอรับ” สี่หนิงเหอมิรอให้ซานเกอได้กล่าวสิ่งใดต่อ เท้าก็เร่งรีบเดินไปยังร้านค้าที่หมายตาเอาไว้ ทว่า...เขาโดนบุรุษผู้หนึ่งกระแทกเอาอย่างแรงจนรู้สึกมึนงง ยังดีที่ซานเกอว่องไวเลยรีบเข้ามาช่วยมิให้เขานั้นล้มลงจนบาดเจ็บ“เป็นอย่างไรบ้างหนิงเหอ” ซานเกอไต่ถามพลางตวัดสายตาเกรี้ยวกราดมองไปยังบุรุษร่างเล็กในอาภรณ์ที่มิได้ใหม่มากนักหากก็มิเก่าจนเกินไป ใบหน้าเขาเปื้อนคราบดำขะมุกขะมอมมีอาการลุกลี้ลุกลนอย่า
บางเรื่อง...เรากำหนดมันมิได้ เขาคงมิผิดที่เผลอใจที่เกิดความรู้สึกดีกับซานเกอเข้า หากสี่หนิงเหอก็รู้ว่า...สิ่งใดควรมิควร เพียงแค่เวลานี้ที่เขาจะได้ทำตามความต้องการของตัวเอง ขอเพียงแค่...เวลานี้เท่านั้น!“ถ้าเช่นนั้น...เจ้าจะขัดข้องหรือไม่ถ้าหากว่าเรายังจะอยู่ที่นี่กันอีกสักระยะหนึ่ง”“ไม่ขอรับ” สี่หนิงเหอตอบกลับไป “ข้ารู้ว่านอกจากท่านมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้ ท่านน่าจะรอให้คนอื่น ๆ มาสมทบด้วย”“นอกจากเจ้าจะเป็นคนที่มีไหวพริบดีแล้ว ยังเข้าใจอะไรได้ง่ายด้วย ข้าได้บอกกล่าวกับทุกคนไว้แล้วว่าเราจะกลับกันช่วงใด หากมิกลับตามกำหนด ก็ให้คิดเสียว่ามีเรื่องไม่ดีเกินขึ้น ให้รีบออกติดตามหาโดยด่วน”“ถ้าเช่นนั้นเราไปดูอันนั้นกันดีกว่าขอรับ” ร้อนรนไป ก็ทำอันใดมิได้ สู้ท่องเที่ยวให้สนุกและมีความสุขจะดีกว่า สี่หนิงเหอรีบจับแขนซานเกอแล้วพาเดินไปยังร้านที่ขาย...พู่ห้อยสะเอว“เชิญชมก่อนได้เลยขอรับคุณชาย ท่านสนใจชิ้นไหนไต่ถามได้นะขอรับ เดี๋ยวข้าขายให้ท่านในราคาพิเศษเลย”เจ้าของร้านน่าจะวัยเดียวกับบิดาเขากล่าวพลางส่งยื่นพู่หยกแกะสลักหลากหลายลวดลายมาให้ มันก็สวยดีนะ...ไม่ว่าจะเป็นลายตัวอักษรมงคลอย่างตัว ฟู่[1] หรื
“อ๋อ...เจ้าคงคิดว่าเจ้าพวกนั้นจะมาช่วยเจ้าได้ทันท่วงทีเช่นนั้นหรือไร ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงประเมินความสามารถของพวกข้าน้อยไปเสียแล้ว” แล้วคนกล่าวก็หัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้ามันช่างน่าขันเสียจริงสี่หลวนซาน”“เพราะข้ารู้ชื่อ...เสีย! ของพวกเจ้าเหล่าสามขุนพลผู้ทรยศแห่งวังประจิมดีอย่างไรเล่า เพียงใครมีเงินจ้าง สวี่ชงซ่าน...ราชาแห่งมีดบินผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วแคว้น เพราะลุ่มหลงในอิสตรีจนกล้าทำร้ายอาจารย์ของตัวเอง เพียงฟังวาจาของกิ่งเหมยที่ชูออกนอกกำแพง[1]ก็รับทำทุกอย่าง เป็นบุรุษที่มิควรคบหาผูกมิตรด้วย”โธ่! ซานเกอท่ากล่าวเช่นนี้มิได้นะขอรับ ไปท้าทายเขาทำไม เกิดเขาก็ทนไม่ไหวแล้วสั่งให้พลเกาทัณฑ์ที่ขึ้นคันรออยู่แล้วปล่อยใส่พวกเราเล่า ท่านหลบได้ แต่สี่หนิงเหอผู้นี้มิเก่งเหมือนท่านนะขอรับ“เจ้า!”“หรือข้ากล่าววาจาอันใดผิดไป แม้นพวกเจ้า...เหวินไป๋เหลียนและฉินจินเป่าจะมาพร้อมกัน ก็มิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้กระมัง” นับรวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในที่นี่ด้วยก็ยังมิอาจประมือกับเขาได้เช่นกัน“ฮึ! เจ้าช่างหลงตัวเองได้อย่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัวตายได้เลย”สี่หนิงเหออยากจะบอกซานเกอด้วยสาย
“ข้าทำเช่นนั้นเมื่อไหร่กัน ที่ทำลงไปก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าทั้งนั้น เจ้าควรจะขอบใจข้ามากกว่าโกรธเคืองกันหรือไม่”หากสี่หนิงเหอก็ยังทำหน้าบึ้งตึงใส่และตอบไปว่า...ฮึ! เช่นเดิม“เอาล่ะ...ถ้าหากเจ้าเห็นว่าที่สิ่งที่ข้าทำไปนั้นผิดมหันต์ โกรธเคืองจนมิยอมฟังเหตุผลของข้า เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัยแก่เจ้าด้วย...แต่สิ่งที่ทำลงไปนั้น ข้าหวังดีแก่เจ้าจริง ๆ นะหนิงเหอ เจ้าจะมิยอมยกโทษให้ข้าจริง ๆ เหรอ...หนิงเหอ” ไม่ต้องมาทำเสียงออดเสียงอ้อนเลย เขามิหลงกลคนมากเล่ห์เช่นท่านหรอกนะ หากเมื่อคนที่คนที่กล่าวขอโทษขออภัยเงียบไปจริง สี่หนิงเหอก็เริ่มจะแปลกใจจนต้องรีบหันหน้าไปมองมิได้ แต่เพราะไม่รู้ว่าใบหน้านั้นเป็นเช่นไร ด้วยถูกหน้ากากเงินปิดทับเอาไว้ แต่ก็พอจะมองออกว่าสายตาคู่นั้นมันก็ไม่ได้รู้สึกดีที่ได้ทำการปกปิดสับขาหลอกลวงกัน กล่าวกันตามความเป็นจริง สี่หนิงเหอสามารถไต่ถามเรื่องนี้ได้จากพี่ชายที่น่าจะโดนทุบให้น่วมเหมือนกัน คิดอะไรอยู่ ถึงได้ร่วมมือกับท่านอ๋องจอมเจ้าเล่ห์สับขาหลอกสับเปลี่ยนตัวกันเช่นนี้...ตั้งแต่เมื่อใดที่พวกเขาสองคนทำเช่นนี้กัน ถ้าเช่นนั้นเอาเป็นว่า เพราะอยากรู้มากนะ...เขาก็เลยจะเก็บบ
“ข้อนี้แหละที่ข้าสงสัย เหตุใดพวกนั้นถึงได้ไล่ตามทำร้ายข้า!” ครั้งแรกที่เขาคิดว่าต้นเหตุใหญ่น่าจะเป็นท่านอ๋อง แต่เหตุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมามันทำให้สี่หนิงเหอเข้าใจแล้วว่า เป้าหมายของคนพวกนั้น...คือตัวเขา!สี่หนิงเหอมิเข้าใจ คนที่มิเคยออกจากเรือนมา...ไม่น่าจะมีศัตรูปองร้ายสิ หรือว่าเขาได้ไปทำอันใดกับผู้ใดมาโดยที่มิรู้ตัว แต่บ้าน่า...จะเป็นไปได้หรืออย่างไรที่คนเราจะทำเช่นนั้นได้! มิได้เป็นผู้วิเศษมีพลังเปลี่ยนแปลงกาลเวลาสักหน่อย“เรื่องนี้...เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าขอยังมิบอกให้ล่วงรู้นะ”สี่หนิงเหอมิทันจะได้ไต่ถามว่าเพราะเหตุอันใด วาจาของท่านอ๋องก็ทำให้เขาอยากจะทุบให้ช้ำไปเลย“เพราะเจ้าอาจจะทนไม่ไหว เผลอหลุดปากถามไถ่หรือบอกกับผู้ที่เจ้าสนิทสนมเชื่อใจได้”“มันคงมิร้ายแรงเฉกเช่นนั้นหรอกน่า” หากสายตาของท่านอ๋องกลับบอกเขาว่า...มันร้ายแรงชนิดคว่ำคว้าพลิกดินได้เลย อา...มันเรื่องอันใดกันนะ เหตุใดถึงได้ร้ายแรงถึงเพียงนี้ แต่เอาเถอะ เมื่อท่านอ๋องมิยอมบอก...ในตอนนี้ แต่สี่หนิงเหอก็คิดว่ามินานท่านอ๋องก็ต้องบอกเขาอยู่ดี“ท่านบอกว่าสิ่งที่ทำน่าจะถูกล่วงรู้แล้ว หลังจากนี้ล่ะ ท่านกับพี่สามจะ
ทางที่สองใช้เวลาไม่นานเหมือนกันประมาณเจ็ดถึงสิบราตรี หากเส้นทางนี้เสี่ยงกับอันตรายอย่างที่สุด เนื่องด้วยเมืองอานหยางเป็นถิ่นที่อยู่ของโจรผู้ร้ายที่ชุกชุมและเป็นที่รวมตัวของเหล่านักฆ่าที่มีฝีมือเก่งฉกาจ ซึ่งพวกเรานั้นกำลังเป็นที่หมายหัวอยู่ มิควรเสี่ยงเดินเส้นทางนี้โดยเด็ดขาด ดังนั้น...ท่านอ๋องเลยเลือกทางที่สามการเดินทางผ่านเมืองกานชุนหนาน ไปยังเมืองหงปาชาน ถึงจะเข้าเขตแดนไท่หนาน เพราะเส้นทางมันอ้อมและคดเคี้ยวการเดินทางจึงยาวนานเกินครึ่งเดือน หากตอนนี้เมื่อคิดว่าทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่วางแผนเอาไว้ ทุกคนจึงต้องเดินทางไปให้ถึงไท่หนานให้เร็วที่สุด ซึ่งทางที่ใช้ก็จะเป็นล่องไปทางแม่น้ำที่จะใช้เวลาเพียงแค่ห้าราตรีเท่านั้น ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือว่า...เขาว่ายน้ำมิเป็น!“ไม่นะท่านอ๋อง!” สี่หนิงเหอรีบร้องห้ามเมื่อรู้ความคิดของท่านอ๋อง“เจ้ามิต้องกลัวนะหนิงเหอ ข้ามิปล่อยให้เจ้าเป็นอันใดเด็ดขาด”“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็มิได้ขอรับ ท่านอย่าลืมนะว่าตอนนี้เรากำลังถูกไล่ตามล่าอยู่ ไม่ว่าการเดินทางเช่นไร ย่อมมีอันตรายด้วยกันทั้งนั้น หากเดินทางด้วยม้า อย่างน้อยเกิดอันใดขึ้น ข้าก็ยังพอจะวิ่งไปหลบซ่อนตัวตามพุ่มไม
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็มิเป็นก็ได้ขอรับ เพราะตัวข้าเองก็มิอ่อนข้อให้พวกเขาเลย แต่ท่านอ๋อง...เปลี่ยนใจเรื่องเดินทางมิได้หรือขอรับ” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบา เอาเป็นว่า...เขาลองสังเกตคนของท่านอ๋องไปสักหน่อยละกัน ถ้าหากองครักษ์เหล่านั้นเอ็นดูเขาอย่างที่ท่านอ๋องกล่าวจริง...มันก็ดีต่อเขามิใช่หรือกระไร อดีตที่เกิดขึ้น...ก็ปล่อยให้มันเลยผ่านไป ทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ ที่เขาควรมองในแง่ดีและทำทุกอย่างหลังจากนี้ให้ดีที่สุด...เพื่อตัวเขาเองและคนที่เขาคิดว่าเริ่มจะรู้สึกดีด้วย“ในขณะนี้ เส้นทางนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพียงแค่เราออกเดินทางกัน การข่าวก็กระจายไปจนทั่วแล้ว พี่ชายของเจ้าส่งข่าวมา พวกนั้นซุ่มโจมตีทุกขบวนที่คิดว่าเกี่ยวเนื่องกับเรา แม้กระทั่งขบวนของพี่เจ้า”“พี่ชายข้าเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ” สี่หนิงเหอเอ่ยถามด้วยความร้อนรนใจ“ซานเกอปลอดภัยดี อีกสามวันเราจะไปสมทบกันที่เมืองจี่จวง”สี่หนิงเหอพยักหน้ารับ ก่อนจะไต่ถามออกไปอย่างที่สลัดความกังวลที่มันครอบคลุมจิตใจมิออก นี่มันการเดินทางไกลครั้งแรกของเขาเลยนะ หากทุกอย่างที่เขาเคย...มาถึงตอนนี้มันยกมากล่าวมิได้อีกแล้วสินะ เมื่อเขาฟื้นมาทุกอ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.