เขาเนี่ยนะ...ท่านคิดอันใดของท่านขอรับซานเกอ สี่หนิงเหอส่ายศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดเสียแล้วซานเกอ ข้าจะได้หาทางหลบหลีกการต่อยตีแย่งชิงจากพวกนางต่างหากเล่า ท่านมิรู้หรืออย่างไรกัน จะมีเรื่องกับคนมึนเมาหรือกับอันธพาลก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องและทำให้สตรีโกรธ เพราะนางสามารถทำทุกทางเพื่อให้ท่านรู้ว่าผิด จนสำนึกได้ก็เกือบจะสายเกินไปนะขอรับ”
อย่างเช่นแม่นางสี่ซูเจียวนั่นไง นางแค้นฝั่งหุ่นมาก ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กไง เพียงแค่สะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มใส่นาง จนนางล้มหน้าไปกระแทกกับขอบโต๊ะ ทำให้นางเลือดไหลนิดเดียวเอง หลังจากนั้นนางก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้เขาบาดเจ็บจนเลือดออกเช่นกัน
“อีกอย่างนะซานเกอ...ข้าขอบอกให้ท่านวางใจได้เลย ข้ามิปรารถนาจะเป็นอนุท่านอ๋องแม้แต่น้อย แต่เพราะมิหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกิดขึ้นได้และข้าก็มิอาจทำให้คนที่เรือนข้าเดือดร้อนด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือไม่ควรพาตัวเองไปทำให้ท่านอ๋องโปรดปรานที่คงจะเป็นไปได้ยาก อาจจะกลายเป็นพาตนเองไปพบเจอกับความยุ่งยากและเดือนร้อนเสียมากกว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ เมื่อถึงที่นั้นแล้ว ข้าขอเพียงแค่มีอาหารรสเลิศให้ทาน มีเตียงอุ่น ๆ ให้นอนหลับสบาย ข้าขอเพียงแค่นี้เท่านั้นเอง” สี่หนิงเหอฉีกยิ้มใส่ดวงตาของซานเกอที่มองมาอย่างตะลึงงัน
“เจ้า!”
คาดไม่ถึงใช่ไหมล่ะซานเกอ...เขามีความคิดเช่นนี้
สี่หนิงเหอเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อหูคล้ายจะได้ยินคำพูดแปลก ๆ จากซานเกอ
“ท่านอ๋องเป็นบุรุษรูปงาม มิว่าใครก็ตามที่เคยเห็นใบหน้าท่าน เป็นไปมิได้เลยที่จะมิหลงใหลและปรารถนาจะอยู่เคียงข้างกาย”
“รูปงามแล้วเป็นเช่นไรหรือขอรับ เป็นถึงท่านอ๋อง ย่อมจะต้องคิดมีพระชายาเคียงคู่พร้อมบุตรในอุทร หากตัวข้าเป็นบุรุษที่มิอาจมอบสิ่งนั้นให้กับท่านอ๋องได้ เห็นทีว่าการสมรสของข้านั้นคงจะเป็นเรื่องของผลประโยชย์ทางการเมือง อาจใช้เพื่อตบตาใครบางคนเท่านั้น” อา...เป็นเช่นนี้เอง สี่หนิงเหอพยักหน้าเมื่อคิดว่าที่ตนเองคิดไปนั้นถูกต้อง
“นั่นลำธาร เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเสียเถอะ ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป[1]เราก็ต้องเดินทางกันต่อแล้ว ระวังด้วยล่ะ ก้อนหินมันลื่น”
‘เพราะกล่าวสู้ข้ามิได้ใช่ไหมหรือไม่ซานเกอ ท่านถึงได้รีบไล่ให้ข้าไปทำธุระส่วนตัวเช่นนี้’ หากสี่หนิงเหอก็รีบตอบรับด้วยการเดินอย่างระมัดระวังลงไปรองรับน้ำมาล้างหน้าและล้างเนื้อล้างตัว
อา...น้ำเย็นสบายดีจัง นี่ถ้าได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายก็คงจะดีมิใช่น้อย แต่ท่ามกลางลำธารสายเล็ก ทิวไม้ที่พัดไหวไปตามแรงลมหากไร้ซึ่งสรรพเสียงของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ สี่หนิงเหอก็มิอาจจะคิดในแง่ดีได้ เกิดว่ามีคนที่หวังจะปลิดชีวิตเขาซ่อนตัวอยู่ในลำธารเล่า...หากเป็นเช่นนั้น เขาคงมิอาจได้ทานอาหารรสเลิศนะสิ!
แม้จะเสียดายน้ำเย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น หากสี่หนิงเหอก็ต้องยอมตัดใจลุกขึ้นไปหาคนที่ยืนคอยอยู่ ทว่า...
หินมันลื่นทำให้เขาย่างพลาดจนร่างกายถลาไปด้านหน้า เพราะอย่างไรเสียเขาก็ต้องพลัดตกลงไปในแอ่งน้ำจนเปียกแน่ก็เลยหลับตาเตรียมตัวสัมผัสกับน้ำเย็น ทว่า...
มันก็ผ่านมานานแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีเสียงมีอะไรตกลงไปในน้ำ ตัวเขาก็ไม่ได้เปียกปอนด้วยก็เลยรีบลืมตาดูว่าทำไมถึงไม่ได้เป็นอะไร...สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สี่หนิงเหอถึงกับอึ้ง อ้าปากค้าง เพราะตอนนี้ตัวเขาได้ตกอยู่ในอ้อมแขนของซานเกอ เราสองคนใกล้กันจนเขาได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นของคนที่ช่วยมิให้เขาเปียกปอน คนที่ทำให้เขาเห็นว่าในความเย็นชาที่มีกลับมีความเป็นห่วงเป็นใยในตัวสี่หนิงเหออยู่มิน้อย มันทำให้เขาที่แทบจะไม่เคยได้รับความรักจากผู้ใดรู้สึกซาบซึ้งใจจนเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา แม้ฟางเส้นนี้จะเปื่อยยุ่ย พร้อมจะขาดลงไปเมื่อไหร่ก็ได้ หากเขาในตอนนี้ก็ขอจับมันเอาไว้ก่อน
“เอ่อ...ข้าขอบคุณซานเกอที่ช่วยเหลือและขอโทษท่านด้วยขอรับ” สี่หนิงเหอเอ่ยอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ซานเกอต้องเดือดร้อน
“บอกแล้วว่าหินมันลื่น...บาดเจ็บหรือไม่” ดวงตาเข้มกวาดมองทั่วกายคนตัวเล็กว่าที่แรกเห็นก็ว่าผอมบางมากแล้ว ยิ่งเมื่อได้จับต้องก็ยิ่งเกิดเป็นความสงสัย ทำไมสี่หนิงเหอถึงได้มีรูปกายที่ผอมบางเฉกเช่นนี้ เรียกได้ว่าหากเทียบกับเด็กขอทาน...เด็กเหล่านั้นยังจะดูอ้วนพีมากเสียอีก
“ไม่ขอรับ” สี่หนิงเหอตอบพลางดันซานเกอให้ถอยห่างไป แต่กลับถูกอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นจับมือและพาเดินขึ้นไปยืนบนริมฝั่งแทน โดยที่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเขาทำให้มิอาจฝืนแรงลากได้ จนเมื่อถึงฝั่งแล้วซานเกอก็ยังมิได้ปล่อยแขนของเขาด้วย
“ข้าไม่เป็นไรแล้วขอรับซานเกอ” สี่หนิงเหอบอกกับคนที่ยังมิปล่อยแขนของเขาให้เป็นอิสระ
“ที่สี่ฮูหยินกล่าวว่า เจ้าเป็นคนซุ่มซ่าม ชอบทำให้ตัวเองและคนอื่นบาดเจ็บบ่อยครั้ง ทำให้มิมีใครกล้าที่จะชวนเจ้าเล่นด้วย คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”
“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือขอรับ ทำไมข้าถึงจำมิได้”
เมื่อซานเกอมองมา สี่หนิงเหอก็รีบจัดการตอบไปในทันทีทันใด “แม้นข้าจะจดจำเรื่องราวในวัยเยาว์มิค่อยจะได้ หากก็พอจะคุ้นอยู่ไม่น้อย เป็นตัวข้ามากกว่าที่ถูกบ่าวไพร่และคุณหนูใหญ่กลั่นแกล้ง อย่างคราวนี้ก่อนที่ท่านจะไปรับ...ความจริงแล้วข้ามิได้ป่วยหรอก แต่ข้าถูกทำร้าย”
“ถูกทำร้าย! ใครมันกล้าทำร้ายเจ้า!” ซานเกอถามอย่างมิอาจข่มกลั้นโทสะเอาไว้ หากใบหน้านั้นมิถูกหน้ากากปกปิดอยู่ สี่หนิงเหอคงจะได้เห็นดวงตาที่แข็งกร้าวและดุร้ายราวกับพยัคฆ์ ใบหน้าที่มันเกรี้ยวกราดด้วยโทสะ พร้อมที่จะบั่นคอคนที่กล้าลงมือทำร้ายสี่หนิงเหอในทันที
สี่หนิงเหอสะดุ้งเพราะน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของซานเกอ ที่มาพร้อมกับความงุนงงและไม่เข้าใจว่าซานเกอจะโกรธเคืองเช่นนี้ทำไม ส่วนหนึ่งมันทำให้เขาสงสัยว่าพวกเขามิล่วงรู้หรือว่าสี่หนิงเหอถูกทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง เป็นไปมิได้เลยที่พวกเขาจะมิอาจล่วงรู้เรื่องภายในเรือนที่สี่หนิงเหออาศัยอยู่
สี่หนิงเหอทรุดกายลงนั่งบนพื้นหญ้า “ข้าว่าการข่าวของพวกท่านคงมิด้อยจนมิรู้ว่าข้าอยู่ในเรือนแห่งนั้นในสภาพเช่นไรนะซานเกอ” ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะเจ็บปวดมากที่เอ่ยคำนี้ออกมา มีคำถามมากมายรายที่เขาอยากได้คำตอบ
ทำไมบิดาถึงไม่รัก ทำไมถึงปล่อยปละละเลยมิใส่ใจในตัวบุตรชายผู้นี้ รู้บ้างหรือไม่ว่าสี่หนิงเหอถูกกลั่นแกล้งจนเจ็บไข้ไม่สบาย เขากินอยู่หลับนอนเช่นไร กินอิ่มหรือไม่ มีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อุ่นสบายใส่หรือเปล่า หากเดี๋ยวนี้...สี่หนิงเหอกลับขอบคุณพวกเขาที่ทำกับตนเองเช่นนั้น เป็นเพราะพวกเขาหล่อหลอมให้เขากล้าที่ยอมรับความเป็นจริง เมื่อพบเจอกับความเจ็บปวดก็กล้าที่เปลี่ยนแปลงตัวเองและตอนนี้ก็กล้าที่จะสู้ด้วย
[1] หนึ่งก้านธูป = 15 นาที
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หรือที่ผ่านมาเขาจะปล่อยปละละเลยสี่หนิงเหอมากจนเกินไป“ก็แค่ถูกตีที่ศีรษะ...ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย”คราแรกเขาเข้าใจว่าคนที่ลงมือจะเป็นคุณชายรอง หากเมื่อหวนคิดให้ดี...ฝีมือเช่นคุณชายรอง เรื่องที่จะทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้คงจะเป็นไปมิได้แน่นอน อีกทั้ง...แม้จะโกรธเกลียดกันเพียงใด แต่คุณชายรองก็มิคิดทำร้ายสี่หนิงเหอให้ถึงแก่ความตายเป็นแน่หากมองว่าเป็นการกระทำของบ่าวไพร่คนอื่น ก็มิน่าจะเป็นไปได้ ด้วยว่าน้ำหนักมือที่ฟาดลงมานั้นมัน...พอดีเกินไป เหมือนกับต้องการจะให้สี่หนิงเหอคล้ายกับเจอเรื่องที่มิคาดคิด ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น หากมันก็เกิดขึ้น เขาก็เลยจบเห่...ลงตรงนั้น แต่คงจะผิดแผนไปหน่อย เพราะสี่หนิงเหอดัน...ได้รับพรจากสวรรค์ รอดชีวิตมาป่วนพวกเขาแทนอย่างไรเล่า และเมื่อรู้ว่าผู้ใดทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่คิดแค้นเคือง แต่จะให้มิเอาคืนบ้าง มันย่อมเป็นไปมิได้ จึงต้องหาวิธีเพื่อจัดการ...เอาคืน!สี่หนิงเหอเบี่ยงศีรษะหนีมือที่ยื่นมาหมายจะจับศีรษะ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกซานเกอ ข้าเป็นหัวแข็งนะ ให้ตีอีกหลายสิบครั้งก็มิเป็นอันใดหรอก”ร
“ข้าว่า...อย่างเจ้าคงมิยอม” สี่หนิงเหอใช้ชีวิตอยู่ในเรือนแห่งนั้นเยี่ยงไรกันแน่ คนเหล่านั้นมิดูดำดูดีเลยหรืออย่างไรกันสี่หนิงเหอหัวเราะเริงร่า “ใช่แล้วซานเกอ ท่านเก่งจังเลยที่ล่วงรู้ ในเมื่อพวกเขามินำมาให้ข้าทาน...ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไปทานเองที่โรงครัวมันเสียเลย หากก็ทำบ่อยมิได้นะขอรับ มิเช่นนั้นจะถูกคุณหนูใหญ่ซูเจียวกับคุณชายรองจับได้และลงโทษเอา นี่ข้าบอกท่านเป็นคนแรกเลยนะซานเกอ ข้าเคยสับเปลี่ยนเมนูอาหารให้สองคนนั้นด้วย ข้าจำได้ว่าวันนั้นคุณหนูใหญ่และคุณชายรองปวดท้องหนักกันหลายรอบเลยขอรับ”เป็นเพราะตัวเขาเผอิญโชคดีไปเจอกับใครบางคนเข้า เขาผู้นั้นให้เจว๋หมิงจื่อ[1] พร้อมกับบอกกล่าวแก่เขาว่า...คุณชายรองถ่ายหนักมิค่อยได้มิใช่หรือไร ท่านก็เอาสิ่งนี้ให้ทานสิ“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกจับได้หรือไร”“บอกท่านตามตรงนะขอรับ...ตอนทำข้ามีแต่ความโมโห จนพอทำลงไปแล้วเสร็จนั่นแหละ กลัวจนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องนอน...ซานเกอ ท่านรับปากข้าสักเรื่องได้หรือไม่”“ถ้าไม่ยากลำบากมากเกินไปกว่าผู้น้อยอย่างข้าจะสามารถทำให้ท่านได้นะขอรับ”“แหม...ไม่ยากหรอกซานเกอ ข้าเพียงแค่ขอให้ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นเองขอรับ” ส่วนเ
สี่หนิงเหอคิดว่าตนเองตาไม่ฝาด เมื่อได้ยินที่เขาพูด ทุกคนต่างก็ส่ายศีรษะด้วย...คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นไปได้เยี่ยงนี้“อยู่ท่ามกลางกองเพลิง คมหอกคมดาบจะยื่นมาบั่นคอเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ หากเจ้ากลับเห็นแก่ท้องมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง พวกข้าละ...เชื่อเจ้าเลยหนิงเหอ”“ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเจอคนเช่นนี้เหมือนกันขอรับต้าเกอ”“ข้ามิได้จะก่อกวนทำให้พวกท่านมีโทสะนะขอรับ แต่พวกท่านจะต้องมิลืมว่า เมื่อคืนเกิดอันใดขึ้นบ้าง ข้าก็ทานไม่อิ่ม” เป็นความผิดของพวกท่านนั่นแหละที่มิยอมให้เขาได้ทานปลากับไก่ด้วย “เมื่อเช้าพวกท่านก็มิให้ข้าทานด้วยเช่นกัน ถ้าข้าจะหิวก็มิใช่เรื่องแปลกนะขอรับ”“ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดที่นำอาหารติดตัวมาน้อยเหลือเกิน “เจ้าอย่าถือโทษโกรธตัวเองอีกเลยเสี่ยวฝาน มิใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ เท่าที่เจ้าได้มานั่นก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมว่าพวกนั้นย่อมมิต้องให้ข้าจากมาอย่างสงบและเป็นสุข สิ่งใดที่ทำให้ข้าเดือดร้อนได้ พวกเขาล้วนทำได้ทั้งสิ้น” มิอยากจะคิดแค้นเคือง แต่บางครั้งสี่หนิงเหอก็อยากที่จะทำให้คนพวกนั้นรู้เสียบ้าง การทำร้ายคนอื่นไม่ว่าด้วยเหตุผลและวิธีการควรจะไ
ใบหน้าที่เหมือนจะบอกว่า อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะ เขาไม่คิดจะใส่ใจกับมันหรอกกับแววตาคู่นั้นที่มันหม่นหมองไร้ความกระจ่างสดใสอย่างที่เห็นในคราแรกได้เปลี่ยนไป สี่หนิงเหอกล้าที่จะโต้ตอบกับพวกเราโดยไม่หวาดกลัวว่าจะทำให้เรามีโทสะจนถูกทำร้ายเข้าหนักสุดที่ทำให้เขาตกตะลึง ก็เรื่องที่สี่หนิงเหอทนหิวไม่ไหว ร้องขออาหารระหว่างที่ม้ากำลังวิ่งอยู่นั่นแหละ ช่างเป็นบุรุษที่แปลกเสียจริง ที่ซานเกอคิดว่าสี่หนิงเหอน่าจะต้องมีดีในตัวมิใช่น้อย ที่เขาจะรอดู!“ข้าพอเข้าใจแล้วล่ะ ตัวเจ้านั้นแม้ปรารถนาอยากจะมีรูปกายกำยำล่ำสัน มีกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง มีร่องรอยของบาดแผลที่มาจากการทำศึก หากตัวเจ้านั้นกลับ...ผอมแห้งยิ่งเด็กขอทานข้างถนนเสียอีก เจ้าจึงรู้สึกริษยาข้าใช่หรือไม่”“ใครว่ากันเล่า ข้าเพียงแค่สงสัยทำไมท่านถึงยังมิอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อยเสียที ข้ารอท่านนานแล้วนะ...ข้าหิวแล้ว”“ถ้าข้าจะจำมิผิด เจ้าเพิ่งจะทานเซาปิ่งไส้เนื้อ ถังหูลู่กับเสี่ยวหลงเปาไปมิใช่หรือหนิงเหอ”“แค่นั้นมันจะพออะไร ท้องข้ายังสามารถบรรจุอาหารรสเลิศได้อีกเยอะแยะเลยล่ะ”สี่หนิงเหอยังคงอวดอ้างความสามารถในการทานอาหาร แล้วยังจะส่งยิ้ม
“ข้ามิรู้ว่าความรู้ของเจ้ามีมากน้อยเพียงใด แต่ในยุทธภพกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้วรยุทธ์ด้วยทางลัดนั้นมีอยู่สองทางด้วยกัน หนึ่งก็คือค้นหาน้ำเต้าหยกพันปีที่ภายในจะมียาอยู่เม็ดหนึ่ง มันจะช่วยหล่อหลอมพลังที่บริสุทธิ์จากสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายเปลี่ยนเป็นพลังปราณ เปิดทะลวงจุดในร่างกาย มิว่าใครก็ตามที่ได้รับยานี้ จะเป็นหนึ่งในยุทธภพที่มิอาจสิ้นกายภายใต้คมหอกคมดาบ แม้กระทั่งพิษร้ายที่มิมียารักษาก็มิอาจทำอันใดได้”สายตาที่เปี่ยมด้วยความหวัง ใบหน้าที่เคยรื่นเริงกลับหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว ที่ซานเกอก็อยากจะบอกกับสี่หนิงเหอว่าเขามิได้กล่าวเท็จให้เจ้าใจเสียหรอกเลย แต่ยาที่มีสรรพคุณเลิศเช่นนี้...บนพื้นแผ่นดินนี้คงมิอาจจะค้นพบได้เลย เพราะว่ามันคงมิมีอยู่จริง มันคงเป็นยาที่เหล่าเทพเซียนบนสวรรค์เท่านั้นที่มีได้“แต่ข้าว่า อีกวิธีนี่...เจ้าน่าจะทำได้อยู่นะ”“วิธีใดหรือขอรับซานเกอ”มาแล้ว...ใบหน้ากระจ่างสดใสด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่แวววาวดังหยกเนื้อดี มันเหมือนกับมีพลังพิฆาต ที่ทำให้ผู้ใดได้พานพบหากจิตใจไม่แข็งแกร่งมั่นคงเพียงพอ ย่อมจะถูกสี่หนิงเหอชักจูงให้ตกปากรับคำทำในสิ่งที่ต้องการโดยง่าย“แนบกายถ่ายปราณ”“แน
“บ้า! บ้าไปแล้ว ใครมันจะกล้าทำเช่นนั้นกันเล่า ข้าไม่ได้หนังหนาเช่นพวกท่านนะ”สี่หนิงเหอบ่นพึมพำ แม้จะบอกว่ามิสนใจคำชี้แนะของซานเกอ หากเขากลับมิอาจปัดไล่วาจาที่ได้ยินนั้นออกไปจากศีรษะได้เลย มันยังคงยั่วยวนยั่วยุให้เขานั้นคิดหาหนทางทำให้ท่านอ๋องใจอ่อน ยินยอมแบ่งปันพลังปราณที่ตัวเองมีมาให้ ต้องยอมรับความจริงว่า ด้วยวัยของเขาและร่างกายที่มิได้แข็งแกร่งแข็งแรงอันใดเลย การฝึกวรยุทธ์นั้นทำได้ยากแล้ว ที่เขาต้องการทำเช่นนี้ เพราะอยากปกป้องตัวเองรวมถึงเสี่ยวฝานด้วยเท่านั้น...ทำไมคนของท่านแม่ทัพถึงมิได้เข้าใจความต้องการของเขาเลย!สี่หนิงเหอเดินตะบึงตะบอนเตะลมด้วยความโมโหจนเผลอเลี้ยวผิดทาง จากที่จะไปหาเสี่ยวฝาน เขากลับเดินมาเจอหนึ่งในองครักษ์ที่มาคุ้มครองข้า ผู้ที่เมื่อแรกเจอสี่หนิงเหอก็มิได้สนใจอันใด หากตอนนี้...เห็นรูปกายภายนอกของคนผู้นี้แล้วมันก่อเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาบอกมิถูก...มันเหมือนกับเหินห่างที่ทำให้ปวดร้าวใจยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็เหมือนกับความคุ้นเคยที่ทำให้อยู่ ๆ น้ำตามันก็เอ่อล้นคลอหน่วยตาขึ้นมา ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นี้จะเร่งรีบไปที่ไหนสักแห่ง ทำให้มิได้สน
นั่น...มุมนั้นมีเหล่าเด็กน้อยใหญ่รุมล้อมกันอยู่มากมาย ต่างพยายามที่จะเอ่ยบอกกับหญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าอิ่มเอิบและยิ้มแย้มแจ่มใสว่าตนเองต้องการสิ่งใด ส่วนหนึ่งบุรุษวัยกลางคนก้มหน้าก้มตาทำตามคำบอกกล่าวด้วยใบหน้าที่เฉยเมย หากก็ดูใจดีที่มันทำให้สี่หนิงเหออดที่จะยิ้มไม่ได้“สนใจ”“เปล่าขอรับ” สี่หนิงเหอรีบปฏิเสธไปโดยเร็วไว ขณะเดินไปอย่างช้า ๆ เพื่อจะได้มองร้านรวงที่หลากหลาย ละลานตาจนเลือกมิถูกเลยว่าจะไปร้านไหนก่อนดี ก่อนสายตาของข้าจะหยุดเมื่อพบกับร้านหนึ่งที่น่าสนใจ“ถ้าข้าจะจำมิผิด...”“ร่างกายมันเรียกร้องขอรับ” สี่หนิงเหอรีบกล่าวก่อนที่ซานเกอจะกล่าวหาว่าเขานั้นกินจุ“ท่านติดค้างข้าอยู่หนึ่งอย่างด้วยนะขอรับ” สี่หนิงเหอมิรอให้ซานเกอได้กล่าวสิ่งใดต่อ เท้าก็เร่งรีบเดินไปยังร้านค้าที่หมายตาเอาไว้ ทว่า...เขาโดนบุรุษผู้หนึ่งกระแทกเอาอย่างแรงจนรู้สึกมึนงง ยังดีที่ซานเกอว่องไวเลยรีบเข้ามาช่วยมิให้เขานั้นล้มลงจนบาดเจ็บ“เป็นอย่างไรบ้างหนิงเหอ” ซานเกอไต่ถามพลางตวัดสายตาเกรี้ยวกราดมองไปยังบุรุษร่างเล็กในอาภรณ์ที่มิได้ใหม่มากนักหากก็มิเก่าจนเกินไป ใบหน้าเขาเปื้อนคราบดำขะมุกขะมอมมีอาการลุกลี้ลุกลนอย่า
บางเรื่อง...เรากำหนดมันมิได้ เขาคงมิผิดที่เผลอใจที่เกิดความรู้สึกดีกับซานเกอเข้า หากสี่หนิงเหอก็รู้ว่า...สิ่งใดควรมิควร เพียงแค่เวลานี้ที่เขาจะได้ทำตามความต้องการของตัวเอง ขอเพียงแค่...เวลานี้เท่านั้น!“ถ้าเช่นนั้น...เจ้าจะขัดข้องหรือไม่ถ้าหากว่าเรายังจะอยู่ที่นี่กันอีกสักระยะหนึ่ง”“ไม่ขอรับ” สี่หนิงเหอตอบกลับไป “ข้ารู้ว่านอกจากท่านมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้ ท่านน่าจะรอให้คนอื่น ๆ มาสมทบด้วย”“นอกจากเจ้าจะเป็นคนที่มีไหวพริบดีแล้ว ยังเข้าใจอะไรได้ง่ายด้วย ข้าได้บอกกล่าวกับทุกคนไว้แล้วว่าเราจะกลับกันช่วงใด หากมิกลับตามกำหนด ก็ให้คิดเสียว่ามีเรื่องไม่ดีเกินขึ้น ให้รีบออกติดตามหาโดยด่วน”“ถ้าเช่นนั้นเราไปดูอันนั้นกันดีกว่าขอรับ” ร้อนรนไป ก็ทำอันใดมิได้ สู้ท่องเที่ยวให้สนุกและมีความสุขจะดีกว่า สี่หนิงเหอรีบจับแขนซานเกอแล้วพาเดินไปยังร้านที่ขาย...พู่ห้อยสะเอว“เชิญชมก่อนได้เลยขอรับคุณชาย ท่านสนใจชิ้นไหนไต่ถามได้นะขอรับ เดี๋ยวข้าขายให้ท่านในราคาพิเศษเลย”เจ้าของร้านน่าจะวัยเดียวกับบิดาเขากล่าวพลางส่งยื่นพู่หยกแกะสลักหลากหลายลวดลายมาให้ มันก็สวยดีนะ...ไม่ว่าจะเป็นลายตัวอักษรมงคลอย่างตัว ฟู่[1] หรื
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.